เหมียวเจินเจินเดินลงจากสังเวียนก่อนกลับไปอยู่ข้างกายฉินอวี้โม่และได้รับคำแสดงความยินดีจากพวกนาง
“ฮ่า ๆ ๆ ต้องขอบคุณพี่อวี้โม่และพี่ซื่อเทียนมากนะเจ้าคะ หากมิใช่เพราะความช่วยเหลือจากพวกท่าน ข้าไม่มีทางเอาชนะศิษย์พี่หยิ่นลี่ได้แน่”
เหมียวเจินเจินจับมือฉินอวี้โม่และกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ
“ศิษย์น้องอวี้โม่ ถ้าเราจะขอเรียนรู้ทักษะการเคลื่อนไหวเหล่านั้นบ้างได้รึไม่ ?”
บรรดาศิษย์ฝั่งขวาหลายคนได้แต่เพียงคิดฝันในขณะที่ศิษย์ฝั่งซ้ายที่มีความสัมพันธ์อันดีกับฉินอวี้โม่เอ่ยถามออกไปอย่างตรงไปตรงมา
ทักษะการเคลื่อนไหวและท่าร่างเหล่านั้นช่างล้ำเลิศอย่างแท้จริง หากได้เรียนรู้มัน ทุกคนเชื่อว่าจะสามารถพัฒนาความแข็งแกร่งของตนได้มากอย่างแน่นอน และต่อให้จะได้เรียนรู้เพียงส่วนเล็ก ๆ มันก็ถือว่ามากพอสำหรับพวกนาง
“แน่นอนว่าไม่มีปัญหา หากคิดว่าทักษะของข้าเป็นประโยชน์ ทุกท่านก็มาหาข้าได้เลย หรือพวกท่านจะไปหาพี่ซื่อเทียนหรือเจินเจินก็ย่อมได้ ข้าจะแบ่งปันทักษะของข้ากับทุกคนโดยที่ไม่หมกเม็ดเลยล่ะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มและคิดว่าไม่มีสิ่งใดที่จะต้องปิดบัง ตราบใดที่พวกนางต้องการเรียนรู้ นางก็ยินดีแบ่งปันทักษะวิชากับทุกคนอย่างจริงใจ ถึงอย่างไรความปรองดองในหมู่ศิษย์ฝั่งซ้ายก็ถือว่าดีมาก หากช่วยพัฒนาความแข็งแกร่งโดยรวมของคณะฝั่งซ้ายได้ ฉินอวี้โม่ก็จะมีความสุขมากเช่นกัน
และก็แน่นอนว่าผู้ที่มีความบาดหมางเป็นปฏิปักษ์กับนางไม่มีสิทธิ์เรียนรู้ทักษะวิชาเหล่านี้
ฉินอวี้โม่มิใช่คนอ่อนหัดจนมองโลกในแง่ดีเกินไป หากสอนทักษะยุทธ์ให้กับศัตรู วันหนึ่งคนเหล่านั้นก็อาจใช้มันเพื่อมาทำร้ายตัวนางเองได้
“ขอบคุณศิษย์น้องอวี้โม่ หลังจากการประชันฝีมือสิ้นสุดลง เราคงต้องขอรบกวนเจ้า”
ศิษย์รุ่นพี่ของฝั่งซ้ายล้วนมีความสุขอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่สี่ยอดสตรีงามก็เกิดความกระตือรือร้นขึ้นมาและต้องการที่จะเรียนรู้ทักษะวิชาที่เหมียวเจินเจินแสดงให้เห็นก่อนหน้านี้
“ศิษย์พี่ฝั่งขวาคนใดที่อยากเรียนก็ตามมาได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม สำหรับศิษย์พี่ทั้งหลายที่ไม่ชอบหน้าข้าหรือคนที่คิดกวนใจข้าตลอดเวลาก็ไม่ต้องเสียเวลามาล่ะ ข้าทราบดีว่าศิษย์พี่คนใดเป็นปฏิปักษ์กับข้าบ้างและมันไม่มีทางเปลี่ยนแปลงไปได้ง่าย ๆ เพราะฉะนั้นต่อให้พวกท่านมา ข้าก็จะไม่มีทางสอนแน่”
เมื่อเห็นศิษย์ฝั่งขวาหลายคน รวมถึงเซียงยู่ที่ฉินอวี้โม่รู้สึกถูกชะตาก่อนหน้านี้มองศิษย์ฝั่งซ้ายด้วยแววตาอิจฉา ฉินอวี้โม่จึงกล่าวเสริมออกไป
ศิษย์ฝั่งขวาส่วนใหญ่มิใช่คนเลวร้ายโดยธรรมชาติ ทว่าการอยู่ในฝั่งที่เป็นปฏิปักษ์กันทำให้พวกนางไม่สามารถผูกมิตรกันได้อย่างเปิดเผยนัก
ไม่ว่านิกายหมื่นบุปผาแห่งนี้จะมีปริศนาใดซ่อนไว้ มันก็ไม่เกี่ยวข้องกับศิษย์เหล่านี้ ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่ก็ต้องการถือโอกาสนี้เพื่อผูกมิตรกับศิษย์พี่ส่วนใหญ่เช่นกัน บางทีพวกนางอาจมีส่วนช่วยตนได้มากในอนาคต
“เจ้าพูดจริงรึ ?”
ศิษย์ฝั่งขวาหลายคนประหลาดใจทันที คิดไม่ถึงเลยว่าฉินอวี้โม่จะมีจิตใจที่เมตตามากเช่นนี้
“ข้ากล่าวไว้แล้วว่าศิษย์น้องอวี้โม่เป็นคนใจกว้างและเข้ากับคนอื่นได้ง่าย พวกเจ้าก็ไม่เชื่อข้าในตอนแรก ทว่าตอนนี้เป็นอย่างไรล่ะ ? เชื่อข้าได้หรือยัง ?”
เซียงยู่กล่าวด้วยท่าทางที่ภาคภูมิใจ ก่อนหน้านี้นางก็เคยโต้เถียงกับสหายหลายคนเกี่ยวกับเรื่องของฉินอวี้โม่อยู่หลายครา นางรู้สึกได้ว่าฉินอวี้โม่เป็นคนใจกว้างและเข้ากับผู้คนได้ง่าย ตราบใดที่คนอื่นไม่หาเรื่องกวนใจก่อน ฉินอวี้โม่ก็จะไม่คิดร้ายกับผู้ใด ทว่าศิษย์หลายคนก็ปักใจเชื่อว่าฝั่งซ้ายและฝั่งขวาเป็นศัตรูกัน ในเมื่อฉินอวี้โม่เข้าร่วมฝั่งซ้าย นั่นก็หมายความว่าฉินอวี้โม่ไม่สามารถสร้างมิตรภาพที่ดีกับพวกนางได้
อย่างไรก็ตาม ทัศนคติที่เรียบเฉยไม่เป็นปฏิปักษ์ของฉินอวี้โม่เมื่อครู่นี้ก็แสดงให้เห็นว่านางไม่คิดบาดหมางใจกับศิษย์ฝั่งขวาเพียงเพราะอยู่ในฝั่งตรงกันข้ามกัน
“คิดจะซื้อใจทุกคนล่ะสิไม่ว่า !”
ในเวลานี้ ฮวาหรงก็อดกล่าวพึมพำด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวไม่ได้
“ฮวาหรง แม้ศิษย์สองฝั่งจะไม่ถูกกันมาตลอด ทว่าเรื่องนี้ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องระหว่างศิษย์เถอะ การที่อวี้โม่เต็มใจแบ่งปันทักษะวิชาของนางกับคนอื่น นั่นก็เป็นเรื่องที่ดีสำหรับศิษย์ของนิกายเราเช่นกัน”
ฮวาเยว่กล่าวขึ้นเบา ๆ ซึ่งแสดงถึงความเห็นดีเห็นงามกับฉินอวี้โม่ อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นข้อพิสูจน์ว่าฉินอวี้โม่ยังซ่อนไพ่ตายอื่น ๆ เอาไว้และทักษะยุทธ์ที่น่าทึ่งดังกล่าวก็เป็นเพียงทักษะพื้นฐานทั่วไปของนางเท่านั้น
“เอาล่ะ ในเมื่อมันก็ถือเป็นการพัฒนาความแข็งแกร่งของศิษย์ฝั่งขวา ข้าก็ไม่มีอะไรขัดข้อง”
ฮวาหรงผู้ซึ่งไม่ชอบหน้าฮวาเยว่มาตลอดก็นึกถึงคำสั่งของฮวาฟางเฟยขึ้นมาอย่างกะทันหัน นางจึงพยักศีรษะและกล่าวออกไป
ฮวาเยว่ก็เพียงมองอีกฝ่ายด้วยแววตาแปลกใจและระแวดระวังยิ่งกว่าเดิม ในช่วงนี้คนจากฝั่งขวามีพฤติกรรมที่ผิดปกติอย่างแท้จริง…
การประชันฝีมือของศิษย์นิกายหมื่นบุปผายังคงดำเนินต่อไป ประมาณหนึ่งชั่วยามต่อมา การต่อสู้ในรอบที่สองก็สิ้นสุดลงและเหลือผู้ผ่านเข้ารอบไม่ถึงห้าสิบคน
ฉินอวี้โม่ เหมียวเจินเจิน อวิ๋นซื่อเทียนและจางซือถงล้วนผ่านเข้ารอบที่สามได้อย่างไม่ลำบากเท่าใดนักและกลายเป็นหนึ่งในห้าสิบคนแรกของการประชันฝีมือครานี้
เหมียวเจินเจินและจางซือถงมีท่าทีตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัดในขณะที่ฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนยังคงสงบนิ่งใจเย็นเช่นเดิม เป้าหมายของพวกนางคือการเข้าสู่สิบอันดับสุดท้ายเท่านั้น
ในเวลานี้ท้องฟ้าก็มืดลงโดยสมบูรณ์แล้วและนั่นก็หมายถึงการประชันฝีมือในวันแรกจะสิ้นสุดลงตรงนี้
หานโม่ฉือและเฉียนจ้วงกลับออกไปที่หอชั้นนอกและกลุ่มของฉินอวี้โม่ก็กลับไปยังเรือนที่พักของตน
“การที่ได้ผ่านเข้ามาในรอบที่สาม ข้าก็รู้สึกดีใจมากแล้ว ศิษย์พี่อีกหลายสิบคนที่เหลือไม่อ่อนแอเลย ดูเหมือนว่าข้าจะมาได้แค่นี้”
จางซือถงกล่าวด้วยน้ำเสียงพึงพอใจ นางรู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่งที่เอาชนะศิษย์พี่สองคนที่แข็งแกร่งกว่าตนได้สำเร็จและไม่รู้สึกกดดันที่จะเข้าร่วมการต่อสู้รอบต่อไป
หากผ่านไปได้ไกลกว่านี้ก็ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี ทว่าหากต้องหยุดลงแค่รอบที่สาม นางก็ไม่รู้สึกผิดหวังใด ๆ อย่างน้อยที่สุดความแข็งแกร่งของนางก็พัฒนาขึ้นจากก่อนหน้านี้มากแล้วและจะไม่เป็นตัวถ่วงของทุกคนอีกต่อไป
“มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะผ่านเข้าไปเป็นสิบอันดับแรกได้ ทว่าพี่อวี้โม่และพี่ซื่อเทียนจะไม่ประสบกับปัญหาอย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเราจะคอยให้กำลังใจพวกนาง”
เหมียวเจินเจินเองก็ไม่กดดันเช่นกันขณะจับมือจางซือถงและกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“อวี้โม่ การที่เจ้าปล่อยให้ผู้คนมากมายได้เรียนรู้ทักษะวิชาของตัวเองเช่นนี้ เจ้าไม่กลัวว่าคนพวกนั้นจะนำมันมาใช้กับเจ้าในอนาคตรึ ?”
อวิ๋นซื่อเทียนเอ่ยถามในสิ่งที่สงสัยใคร่รู้อย่างที่สุด นางคิดว่าฉินอวี้โม่มีจิตใจที่เมตตาจนเกินไป แม้แต่ทักษะยุทธ์เฉพาะตัวของนางที่ถือเป็นสิ่งสำคัญก็ยังยินดีแบ่งปันกับคนอื่น
“พี่ซื่อเทียน ทักษะยุทธ์ของข้าล้ำลึกมากและมิใช่ทุกคนที่จะเรียนรู้ได้ แม้แต่เจินเจินและซือถงเอง หลังจากที่เรียนรู้มานานก็ยังมีความเข้าใจเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น การทำให้คนส่วนใหญ่ประทับใจในตัวข้าก็มิใช่เรื่องที่เลวร้าย ศิษย์ส่วนใหญ่ของนิกายหมื่นบุปผาเป็นคนจริงใจและไม่ทราบถึงสิ่งที่ฮวาฟางเฟยกระทำไว้ ในอนาคตข้างหน้า ข้ารับประกันไม่ได้ว่าศิษย์เหล่านั้นจะอยู่ฝ่ายเรา ทว่าอย่างน้อยที่สุดมันก็น่าจะช่วยป้องกันมิให้ศิษย์เหล่านั้นตั้งตัวเป็นศัตรูกับเราซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อเรามากทีเดียว”
ฉินอวี้โม่วิเคราะห์สถานการณ์ไว้อย่างละเอียดรอบคอบแล้วขณะกล่าวแสดงความคิดเห็นของตนเองออกไป
ยิ่งไปกว่านั้น นางก็ไม่มีทางสอนทักษะวิชาให้กับสหายที่สนิทสนมและติดตามเหลียนซวงอย่างแน่นอน
“ก็จริงของเจ้า แต่ท่าทางของฮวาหรงและคนอื่น ๆ ในวันนี้ดูไม่ชอบมาพากลจริง ๆ เราต้องระวังตัวไว้ให้มากขึ้น”
อวิ๋นซื่อเทียนพยักศีรษะด้วยความเข้าใจ เมื่อนึกถึงท่าทางไม่ชอบมาพากลของคนจากฝั่งขวาในวันนี้ นางก็เอ่ยย้ำเตือนฉินอวี้โม่
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะระวังตัวไว้”
ฉินอวี้โม่เพียงยิ้มบาง ๆ นางเองก็พอจะคาดเดาบางอย่างได้ เพียงแต่ยังไม่มั่นใจนัก