ณ เรือนส่วนตัวของฮวาหรง ฮวาเฉิน ฮวาอวี่และฮวาหรงกำลังนั่งหารือกัน
“จากการกระทำของฉินอวี้โม่…พวกเจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรกันบ้าง ?”
ฮวาหรงเอ่ยถามพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย การที่ฉินอวี้โม่ยินดีแบ่งปันทักษะยุทธ์อันน่าทึ่งกับศิษย์หลายคนเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายของนางยิ่งนัก
ต้องกล่าวเลยว่าการกระทำของฉินอวี้โม่ในครานี้ดึงดูดใจอย่างแท้จริง แม้แต่ศิษย์ฝั่งขวาหลายคนที่ไม่ได้รู้สึกดีอะไรกับนางในตอนแรกก็เริ่มประทับใจในตัวนางเพราะเหตุการณ์ครานี้ นับประสาอะไรกับคนอื่น ๆ ที่ถูกชะตากับนางตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ในเวลานี้ ท่ามกลางศิษย์ฝั่งซ้ายของนิกายหมื่นบุปผา ชื่อเสียงและความนิยมของฉินอวี้โม่ก็เหนือกว่าศิษย์พี่ส่วนใหญ่แล้วและเป็นรองเพียงสี่ยอดสตรีงาม หรืออาจเทียบเท่ากับพวกนางแล้วด้วยซ้ำ
“มันดูจะมิใช่ทักษะยุทธ์ธรรมดาทั่วไปเช่นกัน ทว่าฉินอวี้โม่กลับดูยินดีที่จะแบ่งปันทักษะวิชาเหล่านี้กับทุกคน”
ถึงแม้ว่าจะหมายหัวหาทางเล่นงานฉินอวี้โม่มาตลอด พวกนางก็รู้สึกชื่นชมฉินอวี้โม่อยู่ไม่น้อยเช่นกัน การที่ยินดีสอนทักษะยุทธ์เฉพาะตัวของตนเองให้กับทุกคนเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าความคิดจิตใจและลักษณะนิสัยของฉินอวี้โม่ดีกว่าเหลียนซวงและคนอื่น ๆ เป็นอย่างมาก
“ท่านจ้าวนิกายสั่งให้เราหาทางผูกมิตรกับนางไว้ ต่อให้นางจะมีกิริยาท่าทางที่เฉยชากับพวกเรา ทางที่ดีตอนนี้เราก็ไม่ควรทำให้นางลำบากใจ”
ฮวาอวี่กล่าวต่อ เป็นเพราะฉินอวี้โม่มีไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อยู่ในการครอบครอง ฮวาฟางเฟยจึงสั่งให้พวกนางทุกคนผูกมิตรกับฉินอวี้โม่ให้ได้มากที่สุด ต่อให้จะไม่ต้องการทำเช่นนั้น พวกนางก็ต้องเสแสร้งแสดงละครออกไปเพื่อแผนการในอนาคต
กิริยาท่าทางของฉินอวี้โม่ในวันนี้ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการตีสนิทกับฉินอวี้โม่มิใช่เรื่องง่ายนัก เพราะเหตุนั้น พวกนางจึงไม่จำเป็นต้องพยายามตีสนิทหรือเอาใจฉินอวี้โม่อีกต่อไป ตราบใดที่ไม่สร้างปัญหากวนใจนางก็ถือว่าดีเกินพอ
เมื่อฮวาฟางเฟยคิดหาวิธีฉกฉวยเอาไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มาจากฉินอวี้โม่ได้สำเร็จ จากนั้นก็จะไม่มีผู้ใดสนใจอีกต่อไปไม่ว่าพวกนางจะจัดการฉินอวี้โม่อย่างไรก็ตาม
“ดูจากท่าทางของเหลียนซวงแล้ว หากต้องสู้กับฉินอวี้โม่ในวันพรุ่งนี้ นางจะไม่มีทางยั้งมืออย่างแน่นอน เราควรจะห้ามนางไว้รึไม่ ?”
ฮวาเฉินครุ่นคิดครู่หนึ่งและเอ่ยถามออกไป
“ไม่ต้องหรอก ปล่อยให้ศิษย์สะสางปัญหากันเองเถอะ อีกอย่างในความคิดของข้า เหลียนซวงก็อาจจะมิใช่คู่มือของฉินอวี้โม่ด้วยซ้ำ”
ฮวาหรงโบกมือปัดและปฏิเสธทันที ทว่ายังหวังให้ความสัมพันธ์ระหว่างเหลียนซวงและฉินอวี้โม่เป็นเช่นเดิม ในเมื่อพวกนางทำอะไรฉินอวี้โม่ไม่ได้ หากมีคนอื่นคอยสร้างปัญหากวนใจนางบ้างก็ถือเป็นเรื่องที่ดี
นอกจากนี้ พวกนางยังไม่ทราบว่าฉินอวี้โม่มีไพ่ตายใดซ่อนไว้บ้าง ดังนั้นการต่อสู้กับเหลียนซวงซึ่งถือเป็นคู่ต่อสู้ที่ทรงพลังอาจจะทำให้พวกนางได้ทราบเกี่ยวกับความสามารถของฉินอวี้โม่มากยิ่งขึ้น
“แล้วเรื่องศิษย์ฝั่งขวาที่จะไปเรียนรู้ทักษะวิชาจากฉินอวี้โม่ล่ะ เราควรจะขัดขวางพวกนางรึไม่ ?”
ผู้อาวุโสรองเอ่ยถามอีกครั้งและสงสัยว่าควรที่จะเข้าไปขัดขวางเรื่องนี้หรือไม่
“ไม่จำเป็น หากพวกนางอยากจะเรียนรู้ก็ปล่อยพวกนางไป มันไม่ถือเป็นเรื่องร้ายสำหรับฝั่งขวาของเราเสียทีเดียว”
การปล่อยให้ศิษย์ฝั่งขวาได้พัฒนาความแข็งแกร่งของตนเองก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเช่นกัน เป็นที่ทราบกันดีว่าศิษย์ฝั่งขวาหลายคนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับศิษย์ฝั่งซ้าย อย่างไรก็ตาม ในเมื่อยังคงเป็นศิษย์ฝั่งขวาก็หมายความว่ายังมีข้อจำกัดสำหรับคนเหล่านั้นอยู่ ฮวาหรงจึงไม่กังวลว่าศิษย์ฝั่งขวาจะแปรพักตร์ไปเป็นอื่น
…….
เช้าตรู่ของวันต่อมา หานโม่ฉือและเหล่าศิษย์นอกมาถึงลานประลองก่อนฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เสียอีก
“วันนี้ศิษย์น้องทั้งหลายทำให้เต็มที่ล่ะ พวกเราศิษย์นอกต่างก็มั่นใจในตัวพวกเจ้ามากและจะคอยเอาใจช่วยพวกเจ้าทุกคน !”
เฉียนจ้วงส่งเสียงให้กำลังใจฉินอวี้โม่และสหายเพื่อแสดงความสนับสนุนอย่างไม่ปิดบัง
“ถูกต้อง ศิษย์น้องอวี้โม่แสดงฝีมือให้เต็มที่เลยล่ะ เอาชนะเหลียนซวงและคว้าอันดับหนึ่งของการประชันฝีมือครานี้มาครองให้ได้ เมื่อถึงตอนนั้นพวกเราจะเฉลิมฉลองกัน !”
ศิษย์นอกอีกคนกล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้าง ตอนนี้พวกเขาทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือแล้ว และแน่นอนว่าพวกเขาก็ชื่นชมศิษย์น้องทั้งคู่ที่ทั้งรูปงามโดดเด่นและจิตใจดีอย่างมาก
ทุกคนพูดคุยกันและหัวเราะร่าอย่างสบายใจขณะมาถึงลานประลอง
“เหอะ สมกับที่เป็นคนชั้นต่ำจากเมืองเล็ก ๆ ไม่คิดว่าจะกล้าเดินร่วมกับศิษย์นอกได้อย่างไม่อายหน้าเช่นนี้ !”
เหลียนอู้ผู้ซึ่งพ่ายแพ้ต่อฉินอวี้โม่ในการประชันฝีมือก่อนหน้านี้มาถึงที่ลานประลองเช่นกัน เมื่อเห็นกลุ่มของฉินอวี้โม่ที่เดินพูดคุยกับศิษย์นอกหลายคน นางก็อดกล่าววาจาดูแคลนไม่ได้
“การเดินร่วมกับศิษย์นอกมีอะไรที่ต้องอายงั้นรึ ? พวกเขาก็เป็นศิษย์ของนิกายหมื่นบุปผาเช่นเดียวกับพวกเรา การเดินด้วยกันจะผิดอะไรงั้นรึ ?”
เซียงยู่ผู้ที่รู้สึกชื่นชมในตัวฉินอวี้โม่กล่าวโต้กลับอย่างรวดเร็ว
“เหลียนอู้ เมื่อวานนี้เจ้าแพ้ต่อศิษย์น้องอวี้โม่อย่างราบคาบ ตอนนี้เจ้าก็คงจะอิจฉานางมากสินะ ต่อให้เจ้าจะต้องการเดินร่วมศิษย์นอกเหล่านั้น พวกเขาก็คงจะไม่เต็มใจแน่”
ศิษย์อีกคนที่สนิทสนมกับเซียงยู่กล่าวเสริมเช่นกันและวาจาของนางก็เป็นความจริงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง
แม้ศิษย์นอกเหล่านั้นจะไม่สามารถพัฒนาตนเองจนกลายมาเป็นศิษย์ในของนิกายหมื่นบุปผาได้ ทว่าความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ไม่ธรรมดาแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น ศิษย์พี่หลายคนก็มากพรสวรรค์และมีรูปลักษณ์ที่หล่อเหลาจนแม้แต่ศิษย์ในหลายคนก็ชื่นชอบเป็นอย่างมาก
เพียงแต่ศิษย์พี่บุรุษหนุ่มเหล่านั้นก็มักจะตีตัวออกห่างจากศิษย์ในอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือศิษย์ฝั่งขวาที่บรรดาศิษย์นอกไม่อยากเข้าใกล้เลยสักนิด
กล่าวได้ว่าอาจเป็นเพราะความสัมพันธ์ของหานโม่ฉือ ฉินอวี้โม่และสหายจึงสนิทสนมกับศิษย์นอกเหล่านั้นได้
“ใช่ เมื่อไม่กี่วันก่อน ลูกพี่ของเจ้าก็ยังสารภาพความรู้สึกที่มีต่อศิษย์น้องโม่ฉือ ทว่ากลับถูกปฏิเสธอย่างไม่ไยดี และศิษย์น้องโม่ฉือก็เป็นศิษย์นอกเช่นกัน”
ศิษย์อีกคนกล่าวอย่างเห็นด้วยขณะรุมโจมตีเหลียนอู้ด้วยวาจา
“พวกเจ้า…”
เหลียนอู้ฉุนเฉียวอย่างที่สุดและยกนิ้วชี้หน้าคนเหล่านั้น “อย่าคิดว่าฉินอวี้โม่จะสอนทักษะยุทธ์ให้กับพวกเจ้าจริง ๆ การที่นางกล่าวเช่นนั้นเมื่อวันก่อนก็เป็นเพราะอยากได้รับความนิยมและชื่อเสียงเท่านั้น แท้ที่จริงแล้วนางก็เป็นสตรีหน้าซื่อใจคดและไม่มีทางที่จะสอนอะไรพวกเจ้าหรอก !”
เนื่องจากทราบดีว่าศิษย์ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเหลียนซวงจะไม่มีโอกาสได้เรียนวิชาจากฉินอวี้โม่ เพราะเหตุนั้น นางจึงกล่าววาจาให้ร้ายฉินอวี้โม่อย่างไม่ลังเล
“เหลียนอู้ หากคิดจะกล่าววาจาให้ร้ายใครก็หัดสืบความจริงก่อนเถอะ”
ศิษย์หลายคนชายตามองเหลียนอู้ด้วยสายตาที่ดูถูกเหยียดหยามทันทีและน้ำเสียงของเซียงยู่ก็แสดงถึงความเย้ยหยันอย่างชัดเจน
“เจ้าหมายความว่าอะไร ?”
เหลียนอู้ชะงักไปทันทีและไม่เข้าใจความหมายของเซียงยู่
“เมื่อคืนนี้พวกเราไปที่ฝั่งซ้ายมาแล้ว ศิษย์น้องอวี้โม่ก็ไม่ปิดบังอะไรแม้แต่น้อย ศิษย์น้องเจินเจินและศิษย์น้องซือถงก็บอกพวกเราเกี่ยวกับสิ่งที่พวกนางได้เรียนรู้มาเช่นกัน”
เมื่อคืนนี้เซียงยู่และศิษย์อีกหลายคนเดินทางไปที่เรือนของฉินอวี้โม่เพื่อถามว่าพวกตนจะเรียนรู้ทักษะยุทธ์เหล่านั้นได้หรือไม่ และแน่นอนว่าพวกนางได้รับคำตอบที่น่าพึงพอใจกลับมา
ฉินอวี้โม่ได้สอนพวกนางเกี่ยวกับสิ่งที่เหมียวเจินเจินและจางซือถงได้เรียนรู้ไปซึ่งมีเพียงส่วนที่สำคัญที่สุดบางส่วนเท่านั้นที่นางไม่เปิดเผย อย่างไรก็ตาม ต่อให้นางจะสอนส่วนที่สำคัญไปจริง ๆ พวกนางก็ไม่มีทางทำความเข้าได้ในเวลาสั้น ๆ
“เซียงยู่ อย่ามัวแต่เสียเวลาพูดจาไร้สาระกับนางเลย คนพวกนี้เป็นพวกเดียวกับเหลียนซวงและเหลียนซวงก็จ้องเล่นงานศิษย์น้องอวี้โม่อยู่เป็นประจำ ต่อให้จะไปที่นั่น คนพวกนี้ก็ไม่มีทางได้เรียนรู้อะไรหรอก นางจึงอิจฉาที่ศิษย์น้องอวี้โม่สอนทักษะยุทธ์อันน่าทึ่งให้กับพวกเราและจงใจกล่าวให้ร้ายศิษย์น้องอวี้โม่เช่นนี้ ไม่ต้องไปสนใจนางหรอก”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และสหายที่เดินเข้ามา ศิษย์คนหนึ่งก็กล่าวขึ้นและเมินเฉยต่อเหลียนอู้ก่อนหันไปทักทายพวกนาง
ณ มุมหนึ่งของลานประลอง เหลียนซวงได้ยินบทสนทนาเหล่านั้นอย่างชัดเจน สีหน้าของนางแสดงถึงความไม่พอใจและแววตาฉายแววความมุ่งร้ายขณะจ้องตรงไปที่ฉินอวี้โม่ซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไป
ฉินอวี้โม่ผู้นี้ไม่เพียงแต่แย่งชิงประกายความเจิดจรัสทั้งหมดไปจากนางเท่านั้น ทว่าตอนนี้ก็ยังมีชื่อเสียงบารมีที่เหนือกว่านางเสียอีก แน่นอนว่าเหลียนซวงแทบจะควบคุมโทสะของตนเองไม่ได้อีกต่อไป !