“แค่ก แค่ก แค่ก !”
เสียงไอดังขึ้นหลายครั้งและร่างที่ดูมีสภาพน่าเวทนาก็เหาะขึ้นมาจากหลุมใหญ่ก่อนลงเหยียบบนพื้นดิน
ในเวลานี้ เสื้อผ้าอาภรณ์ของเหลียนซวงขาดวิ่นในขณะที่มุมปากเปื้อนเลือดและใบหน้าก็เต็มไปด้วยสิ่งสกปรกมากมายจนมองไม่เห็นเค้าโครงหน้าเดิมด้วยซ้ำ ลมหายใจของนางอ่อนแอลงอย่างมากและเห็นได้ชัดว่านางบาดเจ็บหนักพอสมควร
“เจ้าชนะ !”
สายตาของนางจ้องตรงไปที่ฉินอวี้โม่อย่างเย็นชาและกล่าวเพียงสั้น ๆ ก่อนหันหลังเดินออกจากสังเวียนอย่างรวดเร็ว
นางพ่ายแพ้ไปอย่างราบคาบและการประชันฝีมือหลังจากนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องกับนางอีกต่อไป ต่อให้จะไม่เต็มใจนัก นี่ก็เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธ
ความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่เหนือชั้นกว่าที่นางคาดคิดไว้มากนัก แม้แต่กระบวนท่าโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของนางก็ยังไม่อาจทำอันตรายต่ออีกฝ่ายได้แม้แต่น้อย
เมื่อร่างของเหลียนซวงค่อย ๆ หายไปท่ามกลางสายตาของทุกคน ทุกคนก็เรียกสติกลับคืนมาได้อีกครั้ง
“ศิษย์น้องอวี้โม่ชนะแล้วจริง ๆ รึ ?”
ศิษย์คนหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ยังตกตะลึงและยังไม่อยากเชื่อ
ไม่คิดเลยว่าการปะทะด้วยทักษะยุทธ์ที่ทรงพลังเพียงครั้งเดียวจะกำหนดผู้ชนะได้อย่างชัดเจนเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ทุกคนล้วนคิดตรงกันว่าเหลียนซวงมีความได้เปรียบเหนือกว่า ทว่านางกลับเป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้ไปอย่างน่าอับอายเช่นนี้
“เมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้นกัน ?”
ศิษย์คนหนึ่งอดกล่าวด้วยความฉงนสงสัยไม่ได้ ทักษะยุทธ์ของทั้งสองเมื่อครู่นี้ทำให้เกิดความผันผวนรุนแรงจนทุกคนไม่สามารถลืมตามองได้อย่างชัดเจน เพราะเหตุนั้นนางจึงไม่มั่นใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่
“ข้าก็ไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้เช่นกัน เมื่อเรียกสติกลับคืนมาได้ เหลียนซวงก็ถูกศิษย์น้องอวี้โม่ฟาดจนกระแทกจมดินไปแล้ว”
คนส่วนใหญ่ไม่เห็นถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่อย่างชัดเจนนักและมีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่มีสายตาเฉียบคมพอที่จะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นได้
“อวี้โม่คงจะมีอสูรพันธสัญญาที่น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก”
ฮวาเฉินกล่าวพร้อมถอนหายใจเบา ๆ พายุหมุนสะท้านเวหาของฉินอวี้โม่เมื่อครู่นี้อัดแน่นไปด้วยพลังธาตุไฟที่แกร่งกล้า ซึ่งนั่นก็คือสิ่งที่ทำลายพายุหมุนสะท้านเวหาของเหลียนซวงและเอาชนะนางได้โดยสมบูรณ์
ด้วยการที่ร่างกายของฉินอวี้โม่ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงวี่แววของเพลิงใด ๆ นั่นก็พิสูจน์ให้เห็นว่านางจะต้องมีอสูรมายาธาตุไฟที่น่าสะพรึงกลัวอยู่กับตัว
“การพ่ายแพ้ของเหลียนซวงไม่ได้ถือว่าไร้ความเป็นธรรม”
สีหน้าของฮวาหรงหม่นหมองอย่างเห็นได้ชัด ชัยชนะของฉินอวี้โม่ทำให้นางรู้สึกซับซ้อนเกินเข้าใจ หลังจากการประชันฝีมือครานี้ ชื่อเสียงและเกียรติยศของฉินอวี้โม่ในนิกายหมื่นบุปผาจะต้องเพิ่มสูงอย่างที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้อย่างแน่นอน เกรงว่าแม้แต่ผู้คุมกฎและผู้อาวุโสทั้งหลายก็ไม่ได้มีบารมีที่เทียบกับฉินอวี้โม่ได้ด้วยซ้ำ แม้เหตุการณ์ครานี้จะมีอิทธิพลต่อศิษย์ฝั่งซ้ายเพียงไม่มาก ทว่าศิษย์ฝั่งขวาส่วนใหญ่จะรู้สึกชื่นชมฉินอวี้โม่มากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งมิใช่สิ่งที่ดีสำหรับนาง
“ท่านผู้คุมกฎ ถึงอย่างไรพวกนางทั้งหมดก็เป็นศิษย์ของนิกายหมื่นบุปผาเหมือน ๆ กัน พวกเราควรที่จะชื่นชมที่ฉินอวี้โม่มีความแข็งแกร่งที่โดดเด่นถึงเพียงนี้ หากท่านจ้าวนิกายรู้เข้า นางก็คงจะมีความสุขอย่างมากเช่นกัน”
ฮวาอวี่กล่าวพร้อมรอยยิ้มและเป็นวาจาที่ช่วยเตือนให้ฮวาหรงใจเย็นต่อไป
“ใช่ อวี้โม่ทรงพลังมากและข้าก็รู้สึกยินดีกับนางจริง ๆ ดูเหมือนว่าในการประชันฝีมือครานี้อวี้โม่จะได้อันดับหนึ่งไปครอง ข้าต้องขอแสดงความยินดีกับผู้คุมกฎฝั่งซ้ายด้วย”
รอยยิ้มปรากฏบนหน้าของฮวาหรงและซ่อนความสับสนซับซ้อนในแววตาเอาไว้
“ขอบคุณมาก”
ฮวาเยว่และฮวาหรงบาดหมางใจกันมานานหลายสิบปี ฮวาเยว่จึงรู้จักอีกฝ่ายเป็นอย่างดี การที่ฮวาหรงแสดงท่าทางเป็นมิตรและยิ้มแย้มเช่นนี้หมายความว่ามีแผนการสมคบคิดบางอย่างซ่อนไว้เบื้องหลังเป็นแน่ อย่างไรก็ตาม ด้วยความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ของฉินอวี้โม่ นางก็ไม่จำเป็นต้องกังวลใจมากนัก นอกจากนี้ก็ยังมีหานโม่ฉือที่คอยอยู่ข้างกาย เพราะเหตุนั้นฮวาหรงและคนอื่น ๆ จะไม่สามารถทำอันตรายต่อฉินอวี้โม่ได้
ในเวลานี้ หานโม่ฉือก็ก้าวเข้าไปโอบประคองฉินอวี้โม่ไว้และเดินกลับมานั่งลงในตำแหน่งเดิม
แม้ว่าคนอื่น ๆ จะสัมผัสไม่ได้ ทว่าเขาก็สัมผัสได้อย่างชัดเจน แม้สภาพของฉินอวี้โม่ในตอนนี้จะไม่ได้ดูเลวร้ายอะไร ทว่าแท้จริงแล้วนางก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อยเลยทีเดียว
พายุหมุนสะท้านเวหาของเหลียนซวงทรงพลังเกินกว่าที่นางจินตนาการไว้ หากมิใช่เพราะสภาวะร่างกายพิเศษของฉินอวี้โม่ที่แข็งแกร่งมากพอ เกรงว่านางคงจะต้านทานไว้ไม่ได้
“ข้าไม่เป็นไร เพียงแค่ใช้พลังงานมากเกินไปเท่านั้น”
ฉินอวี้โม่กล่าวเพื่อมิให้หานโม่ฉือเป็นกังวล การประจันหน้าเมื่อครู่ทำให้นางใช้พลังมายาไปมากถึงเก้าในสิบส่วนและทำให้ตัวนางอ่อนแอลงเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ด้วยสภาวะร่างกายพิเศษ นางสามารถฟื้นฟูพลังมายาเหล่านั้นกลับคืนมาได้แปดในสิบส่วนภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูปด้วยซ้ำ
หานโม่ฉือก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อขณะโอบร่างบางไว้ในอ้อมแขนและถ่ายทอดพลังมายาของตนไปให้กับนาง
“ว้าว ศิษย์น้องโม่ฉือช่างอ่อนโยนต่อศิษย์น้องอวี้โม่จริง ๆ !”
เมื่อเห็นความใกล้ชิดของหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ ศิษย์พี่คนหนึ่งก็อดกล่าวขึ้นไม่ได้
“นั่นเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อศิษย์น้องโม่ฉือและศิษย์น้องอวี้โม่ยืนเคียงข้างกัน ทั้งสองก็ดูราวกับเป็นคู่ที่ชะตาฟ้าลิขิตไว้และไม่อาจแยกจากกันได้เลย ยิ่งไปกว่านั้น ข้าได้ยินมาว่าศิษย์น้องโม่ฉือไม่อยากพลัดพรากจากศิษย์น้องอวี้โม่ เขาจึงยินดีเข้าร่วมกับนิกายหมื่นบุปผาของเราในฐานะศิษย์นอก”
ศิษย์ฝั่งซ้ายคนหนึ่งกล่าวด้วยสีหน้าภาคภูมิใจราวกับการกล่าวชมฉินอวี้โม่คือการชมตนเองและไม่อาจปิดบังรอยยิ้มของตนไว้ได้เลย
“จริงรึ ? ถ้าเช่นนั้น ศิษย์น้องโม่ฉือก็คงจะแข็งแกร่งมากสินะ ?”
ศิษย์ฝั่งขวาคนหนึ่งกล่าวอย่างสงสัยใคร่รู้ก่อนลอบมองหานโม่ฉือเป็นระยะ ๆ และใบหน้าเริ่มแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อย
หานโม่ฉือมีรูปลักษณ์ที่หล่อเหลาอย่างแท้จริงและดูโดดเด่นน่ามองจนทำให้ทุกคนอดหลงใหลในตัวเขาไม่ได้
“ข้าได้ยินมาว่าเขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าศิษย์น้องอวี้โม่เสียอีก พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร ?”
หมิงเยี่ยนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม อันที่จริงนางก็ไม่มั่นใจนักว่าหานโม่ฉือแข็งแกร่งเพียงใด เพียงแต่ศิษย์นอกหลายคนก็กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าฉินอวี้โม่เสียอีก
การที่ฉินอวี้โม่ทรงพลังถึงเพียงนี้ ความแข็งแกร่งของหานโม่ฉือก็คงจะเหนือจินตนาการของพวกนางไปอย่างสิ้นเชิง ผู้ที่มากพรสวรรค์และโดดเด่นเช่นนี้สามารถเข้าร่วมเป็นศิษย์ของสำนักเมฆาคราม—ขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในสามสำนักและเก้านิกายได้อย่างง่ายดาย การที่เขายอมเป็นเพียงศิษย์นอกของนิกายหมื่นบุปผาเช่นนี้เป็นเรื่องที่ผิดแปลกอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม หากกล่าวว่าเป็นเพราะฉินอวี้โม่ มันก็ถือว่าสมเหตุสมผล ไม่ว่าบุรุษใด หากมีภรรยาเช่นฉินอวี้โม่ก็คงไม่ต้องการพลัดพรากจากนางเช่นกัน
เวลานี้พลังมายาของฉินอวี้โม่ก็ฟื้นฟูกลับคืนมาเป็นส่วนใหญ่แล้วและเมื่อเห็นว่าทุกคนมองมาที่พวกตนอย่างสงสัยใคร่รู้ นางจึงผละออกจากอ้อมแขนของหานโม่ฉือ
“เราชมการประชันฝีมือกันต่อเถอะ”
นางจับมือหานโม่ฉือไว้และนั่งอยู่ข้างกายเขาโดยที่รอชมการประชันฝีมือคู่ต่อ ๆ ไป
บรรดาศิษย์คนอื่น ๆ ก็เลื่อนสายตากลับไปมองที่สังเวียนประลองเช่นกันและตั้งตารอชมการประชันฝีมือต่อไป
เมื่อเทียบกับการประชันฝีมือระหว่างฉินอวี้โม่และเหลียนซวง แน่นอนว่าการต่อสู้ทั้งหมดหลังจากนั้นกลายเป็นการต่อสู้ที่น่าเบื่อไปอย่างสิ้นเชิง
สี่ยอดสตรีงามได้ประชันฝีมือกับศิษย์น้องที่อ่อนแอกว่าพวกตนและเอาชนะไปได้อย่างง่ายดาย ถึงอย่างไรอวิ๋นซื่อเทียนก็ไม่คิดท้าดวลกับศิษย์ฝั่งซ้ายด้วยกันทว่าเลือกคู่ต่อสู้เป็นศิษย์ที่สนิทสนมกับเหลียนซวงซึ่งเป็นหนึ่งในสิบอันดับแรกจากคราก่อนเช่นกัน
ศิษย์พี่ผู้นั้นแม้จะแข็งแกร่งพอสมควร ทว่าก็ยังอ่อนแอกว่าเหลียนซวงมากนักและมิใช่คู่ต่อสู้ของอวิ๋นซื่อเทียนแม้แต่น้อย
อวิ๋นซื่อเทียนไม่จำเป็นต้องลงมืออย่างสุดความสามารถด้วยซ้ำก่อนเอาชนะได้อย่างง่ายดายและครองตำแหน่งสิบอันดับสุดท้ายได้สำเร็จ
ไม่นานนัก การต่อสู้ทั้งหมดก็สิ้นสุดลงและผลลัพธ์สุดท้ายของการประชันฝีมือครานี้ก็เป็นที่ประจักษ์ต่อทุกคน
ฉินอวี้โม่คืออันดับหนึ่ง เหมยเซียงคืออันดับสอง หลานเซียงคืออันดับสาม อวิ๋นซื่อเทียนคืออันดับสี่และเซียงยู่อยู่ในอันดับห้า ส่วนจู๋เซียงและจวี๋เซียงก็ครองสองอันดับถัดจากนั้น ส่วนสามอันดับที่เหลือก็เป็นของศิษย์ฝั่งซ้ายหนึ่งคนและศิษย์ฝั่งขวาอีกสองคน
หากไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น รายชื่อเหล่านี้ก็จะเป็นผู้ชนะสิบอันดับสุดท้ายของการประชันฝีมือในครานี้
“มีใครอยากจะท้าดวลกับอวี้โม่หรือไม่ ?”
ฮวาหรงยืนขึ้นและเอ่ยถามตามกระบวนการ
การที่ฉินอวี้โม่เอาชนะเหลียนซวงได้สำเร็จ ตราบใดที่ไม่มีผู้ใดท้าดวลต่อ นางก็จะครองอันดับหนึ่งของการแข่งขันประชันฝีมือภายในของนิกายหมื่นบุปผาในครานี้
“ท่านผู้คุมกฎฝั่งขวา แม้แต่ศิษย์พี่เหลียนซวงก็ยังมิใช่คู่มือของศิษย์น้องอวี้โม่ ไม่จำเป็นต้องถามสิ่งใดแล้วเจ้าค่ะ ประกาศผลลัพธ์เลยเถอะ”
ศิษย์ทั้งหมดต่างก็ตระหนักถึงความเป็นจริงดี ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงฉินอวี้โม่ด้วยซ้ำ ต่อให้เป็นอวิ๋นซื่อเทียนก็คงจะไม่มีผู้ใดเอาชนะนางได้