หลังจากเตรียมความพร้อมอย่างรวดเร็ว ฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนก็มุ่งหน้าไปยังเรือนของฮวาเยว่ด้วยกัน
ในเวลานี้ เว้นเพียงแต่หานโม่ฉือและเถียนเล่ยที่รอสมทบกับทุกคนอยู่ข้างนอก คนอื่น ๆ ล้วนมารวมตัวกันพร้อมหน้าแล้ว
“เหอะ !”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนปรากฏตัว เหลียนซวงและเหลียนอู้ซึ่งไม่ชอบหน้าพวกนางเป็นทุนเดิมก็ถึงกับแค่นเสียงเย็นชาพร้อมกันและแสดงออกถึงความเป็นปฏิปักษ์อย่างชัดเจน
เซียงยู่และเซียงหร่วนไม่สนใจท่าทางของพวกนางขณะเดินเข้าไปใกล้ฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนเพื่อทักทายอย่างกระตือรือร้น
“เหอะ พอได้ผลประโยชน์เข้าหน่อยก็ลืมตัวทันทีว่าเป็นศิษย์ของฝั่งใดกันแน่ !”
เหลียนซวงไม่พอใจรอยยิ้มระรื่นของทั้งสองเป็นอย่างยิ่งและแค่นเสียงในลำคอก่อนกล่าววาจาเหน็บแนม
“เหลียนซวง อย่าพยายามแบ่งแยกเลย เราทุกคนต่างก็เป็นสมาชิกของนิกายหมื่นบุปผา เหตุใดจะต้องแบ่งพรรคแบ่งพวกกันด้วยเล่า ? ครานี้พวกเราก็เดินทางไปทำภารกิจที่ชายฝั่งทางเหนือในฐานะตัวแทนของนิกาย ศิษย์ทั้งสองฝั่งควรจะปรองดองกันเข้าไว้ อีกอย่าง…พวกข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบศิษย์น้องอวี้โม่ แล้วอย่างไรล่ะ ? เจ้าไม่ชอบนางแล้วหมายความว่าพวกข้าจะต้องไม่ชอบนางไปด้วยงั้นรึ ?”
เซียงยู่มีลักษณะนิสัยที่ตรงไปตรงมาเสมอและตอบกลับไปโดยที่ไม่ไว้หน้าเหลียนซวงแม้แต่น้อย
“นั่นสิ เจ้าช่างมีจิตใจที่คับแคบยิ่งนัก เพราะว่าศิษย์น้องอวี้โม่ทั้งมากพรสวรรค์และแข็งแกร่งกว่าเจ้า เจ้าจึงริษยาและพยายามหาเรื่องเล่นงานนางอยู่ทุกเมื่อ น่าเสียดายที่ศิษย์พี่ส่วนใหญ่ในนิกายต่างก็ชื่นชมและชื่นชอบศิษย์น้องอวี้โม่เป็นอย่างมาก หากเจ้าไม่พอใจ เจ้าก็แค่ไม่จำเป็นต้องไป พวกเราก็ไม่ได้มีความสุขกับการต้องร่วมเดินทางไปกับพวกเจ้าเช่นกัน”
เซียงหร่วนกล่าวเสริมอย่างตรงไปตรงมาเพื่อช่วยปกป้องฉินอวี้โม่เช่นกัน
“เซียงยู่ เซียงหร่วน แม้ว่าศิษย์พี่เหลียนซวงจะพ่ายแพ้ให้กับฉินอวี้โม่ พวกเจ้าคิดว่านางจะจัดการกับพวกเจ้าไม่ได้งั้นรึ ?”
เหลียนอู้กัดฟันกรอดขณะจ้องหน้าฝ่ายตรงข้ามตาเขม็งและกล่าวออกไป
ทว่าวาจาของเหลียนอู้กลับเป็นการจี้ปมของเหลียนซวงอย่างจังจนสีหน้าของนางบิดเบี้ยวและบูดบึ้งยิ่งกว่าเดิม
“เฮอะ เหลียนอู้ อย่ามัวแต่กล่าววาจาไร้สาระเลย ถ้าอยากจะต่อสู้กัน พวกข้าก็ไม่กลัวพวกเจ้าหรอก !”
เซียงยู่และเซียงหร่วนก็ไม่เคยชอบหน้าเหลียนอู้ตั้งแต่แรก เมื่อได้ยินวาจาของนาง ทั้งสองก็รู้สึกรังเกียจอย่างที่สุดและกล่าวพร้อมกันโดยที่เปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณนักสู้
เหลียนอู้ชะงักนิ่งไปทันที ความแข็งแกร่งของนางไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับเซียงหร่วนและเซียงยู่ด้วยซ้ำ ก่อนหน้านี้นางเพียงพึ่งพาอิทธิพลของเหลียนซวงในการกดขี่ข่มเหงศิษย์ฝั่งขวามาโดยตลอด หากต้องต่อสู้กับทั้งสองจริง นางก็ยังไม่มีความกล้ามากพอ
“พวกเจ้าทั้งหมดหุบปาก !”
ฮวาเยว่ก้าวออกมาจากเรือนและได้ยินเสียงการทะเลาะเบาะแว้งของศิษย์หลายคนอย่างชัดเจน
“เหลียนซวง เหลียนอู้ หากพวกเจ้าไม่อยากไปก็เชิญกลับไปซะตั้งแต่ตอนนี้ ข้าจะไม่บังคับฝืนใจพวกเจ้า ครานี้พวกเจ้าทุกคนเป็นตัวแทนของนิกาย ทุกการกระทำและวาจาที่กล่าวออกมาถือเป็นหน้าเป็นตาของนิกายหมื่นบุปผา หากใครกล้าทำสิ่งใดที่จะเป็นการสร้างปัญหาละก็…อย่าหาว่าข้าไม่ปรานีก็แล้วกัน !”
ฮวาเยว่กล่าวอย่างเย็นชาและแสดงสีหน้าจริงจังออกมา ซึ่งพบเห็นได้ยากยิ่ง
ปกติแล้วนางเป็นคนจิตใจดีและมีท่าทีที่อ่อนโยนมาเสมอ นางแทบไม่เคยแสดงสีหน้าท่าทางที่จริงจังและกล่าววาจาที่ดุดันหนักแน่นเช่นนี้ เพราะเหตุนั้น เหลียนซวงและเหลียนอู้จึงหน้าเจื่อนลงเล็กน้อยและไม่กล้ากล่าวสิ่งใดออกมาอีก
ถึงอย่างไรพวกนางก็เป็นศิษย์ฝั่งขวาและไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้คุมกฎฝั่งซ้ายอย่างฮวาเยว่ หากนางไม่พอใจขึ้นมาจริง ๆ ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกนาง
ในครานี้พวกนางก็มีภารกิจสำคัญที่ชายฝั่งทางเหนือเช่นกัน การเปลี่ยนใจไม่ไปที่นั่นจึงเป็นไปไม่ได้ ตอนนี้พวกนางจึงทำได้เพียงอดทนอดกลั้นไปก่อนชั่วคราว
“อวี้โม่ ซื่อเทียน พวกเจ้าพร้อมหรือยัง ?”
เมื่อเห็นว่าเหลียนซวงและเหลียนอู้ไม่กล้ากล่าวสิ่งใดอีก สีหน้าท่าทางของฮวาเยว่ก็อ่อนลงเล็กน้อยก่อนหันไปยิ้มกับฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนพร้อมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เราออกเดินทางกันได้เลยเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนพยักศีรษะเป็นการยืนยันว่าพร้อมออกเดินทางแล้ว
“ไปกันเถอะ”
ฮวาเยว่เดินนำทุกคนไปข้างนอกนิกายโดยที่มีฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ตามไปอย่างใกล้ชิด
ณ หน้าประตูนิกาย หานโม่ฉือและเถียนเล่ยก็กำลังรอทุกคนอยู่ที่นี่แล้ว เมื่อเห็นทุกคนเดินออกมา เขาก็โค้งคำนับฮวาเยว่อย่างนอบน้อมก่อนเดินเข้ามาอยู่ข้างกายฉินอวี้โม่
“เราจะไปที่เมืองเทียนยงเพื่อรวมตัวกับขุมกำลังอื่น ๆ กันก่อน”
ฮวาเยว่กล่าวกับทุกคนเพื่อบ่งบอกถึงจุดหมายแรกซึ่งก็คือเมืองเทียนยง ที่นั่นจะเป็นจุดรวมตัวกับอีกสามสำนักและแปดนิกาย หลังจากนั้นทุกคนจะเดินทางไปยังชายฝั่งทางเหนือด้วยกัน
ภายในเมืองเทียนยง ตัวแทนจากขุมกำลังใหญ่ ๆ ก็มาถึงตาม ๆ กันในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาส่งผลให้ชาวเมืองเทียนยงสงสัยใคร่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เหตุการณ์ที่ชายฝั่งทางเหนือยังไม่ถูกประกาศให้ทราบโดยทั่วกันและคนส่วนใหญ่ไม่ทราบถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นที่นั่น นั่นคือสาเหตุที่พวกเขาเหล่านั้นไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดจู่ ๆ คนจากสามสำนักและเก้านิกายจึงมารวมตัวกันในเมืองเทียนยง
ณ จวนเจ้าเมืองเทียนยง ตัวแทนจากนิกายกระบี่สายฟ้ากำลังนั่งหารือกันภายในห้องโถง
ตัวแทนจากนิกายกระบี่สายฟ้าครานี้ล้วนเป็นคนที่ฉินอวี้โม่คุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี และผู้นำคณะตัวแทนนี้ก็มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นฉินเทียนผู้ดำรงตำแหน่งรองจ้าวนิกายคนใหม่นั่นเอง
“เหตุใดเสี่ยวโม่เอ๋อร์และคนอื่น ๆ ถึงยังไม่มากันอีกล่ะ ?”
พวกเขามาถึงที่นี่เป็นเวลาสองวันแล้วและยังไม่เห็นวี่แววใด ๆ ของตัวแทนจากนิกายหมื่นบุปผา เมื่อเห็นว่าตัวแทนจากขุมกำลังใหญ่อื่น ๆ มากันเกือบครบแล้ว ฉินเทียนจึงเริ่มกังวลขึ้นมา
“ท่านลุงฉินไม่ต้องห่วงขอรับ ข้าเชื่อว่าเสี่ยวโม่เอ๋อร์และคนอื่น ๆ จะมาถึงในไม่ช้า”
เซิ่งเซียวเองก็ไม่ได้พบหน้าฉินอวี้โม่มานานแล้วเช่นกัน ทว่าเขามั่นใจว่านางจะไม่พลาดโอกาสเข้าร่วมในเหตุการณ์ใหญ่เช่นนี้อย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ทราบดีว่าฉินอวี้โม่ต้องการไข่มุกเลี่ยงวารีและชายฝั่งทางเหนือเป็นจุดที่ใกล้กับเขตมหาสมุทรทางเหนือซึ่งเป็นสถานที่ที่มันเคยปรากฏ เพื่อให้ได้ไข่มุกเลี่ยงวารีมาครอง นางจะต้องหาทางไปที่นั่นด้วยตัวเอง
“ไม่ต้องห่วง ข้าส่งคนไปรอที่หน้าประตูเมืองแล้ว ตราบใดที่พวกนางมาถึง จะมีคนมาแจ้งข่าวเราทันที”
ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ จ้าวไห่ส่งผู้พิทักษ์ของจวนเจ้าเมืองไปดักรอที่หน้าประตูเมืองแล้ว ตราบใดที่เห็นวี่แววของคณะฉินอวี้โม่ เขาจะได้ทราบข่าวโดยเร็วที่สุด
“ครานี้ชายฝั่งทางเหนือเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน เกรงว่าสถานการณ์คงจะไม่ธรรมดาแน่ ทว่าข้าก็ทิ้งเมืองเทียนยงและไปที่นั่นด้วยตนเองไม่ได้ เพราะฉะนั้นขอให้ทุกคนระวังตัวด้วย”
จ้าวไห่สนิทสนมกับฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ มากพอสมควร เขาจึงกล่าวกำชับอย่างจริงใจ
เขาอาจจะเป็นเจ้าเมืองเพียงคนเดียวที่ทราบถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทว่ากล่าวตามตรง เขาเองก็ต้องการเข้าไปร่วมสนุกที่นั่นด้วยเช่นกัน
เพียงแต่เขาก็ไม่สามารถทิ้งเมืองเทียนยงได้นานจนเกินไป เพราะเหตุนั้นจึงทำได้เพียงคอยส่งแรงใจให้กับคนอื่น ๆ เท่านั้น
“ไม่อาจทราบได้เลยว่าผู้ใดก่อให้เกิดความวุ่นวายและส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อชายฝั่งทางเหนือเช่นนี้”
ประชากรของชายฝั่งทางเหนือล้วนเป็นคนแข็งแกร่งอันดับต้น ๆ ของดินแดนและฝีมือดียิ่งกว่าคนจากสามสำนักและเก้านิกายเสียด้วยซ้ำ ตัวการของเหตุการณ์ครานี้ต้องทรงพลังมากเพียงใดกันจึงทำให้คนเหล่านั้นจนปัญญาได้ถึงเพียงนี้ ?
“ท่านเจ้าเมือง คนจากนิกายหมื่นบุปผามาถึงแล้วขอรับ”
ในขณะที่พูดคุยกันอยู่นั้น ผู้พิทักษ์คนหนึ่งก็วิ่งหน้าตั้งเข้ามาพร้อมรอยยิ้มประดับบนใบหน้าอย่างชัดเจน
เมื่อครู่นี้คณะตัวแทนจากนิกายหมื่นบุปผาเดินทางเข้ามาในเมืองเทียนยงแล้ว เนื่องจากคำสั่งของจ้าวไห่ก่อนหน้านี้ บุรุษหนุ่มจึงเชิญคนเหล่านั้นมาที่จวนเจ้าเมืองทันทีทว่าถูกขัดจังหวะโดยขุมกำลังอื่น ๆ ที่ต้องการทักทายกันเสียก่อน อย่างไรก็ตาม เขาทราบดีว่าเจ้าเมืองและคนจากนิกายกระบี่สายฟ้ากำลังตั้งตารออย่างใจจดใจจ่อ เขาจึงรีบมาที่นี่เพื่อแจ้งข่าวก่อน
“ออกไปต้อนรับพวกนางกันเถอะ”
ทุกคนไม่รอช้าและยืนขึ้นทันทีก่อนเดินออกจากห้องโถงของจวนเจ้าเมือง
ไม่ไกลจากจวนเจ้าเมือง ฮวาเยว่และคณะถูกหยุดไว้โดยคนของนิกายเมฆาล่องลอยและนิกายอื่น ๆ โดยที่กำลังทักทายกันอย่างอบอุ่น
เมื่อมองจากระยะไกลและเห็นกลุ่มคนที่กำลังเดินออกมาจากจวนเจ้าเมือง ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็รีบกล่าวขอตัวจากขุมกำลังเหล่านั้นก่อนเดินตรงเข้าไปทักทายพวกเขา
“รองจ้าวนิกายฉิน ไม่ได้พบกันเสียนานเลย”
ฮวาเยว่ยกกำปั้นประกบกันและกล่าวทักทายฉินเทียน
“ท่านพ่อ ในกลุ่มคนเหล่านี้มีสองคนที่ไม่ถูกกับพวกเรานัก ตอนนี้อย่าเพิ่งเปิดเผยความสัมพันธ์ของเราเลยนะเจ้าคะ”
ฉินอวี้โม่ส่งกระแสจิตตรงไปหาฉินเทียนเพื่อให้เขาแสดงละครว่าไม่สนิทสนมกับพวกตนต่อไป
ฉินเทียนพยักศีรษะอย่างเข้าใจดีและกล่าวตอบฮวาเยว่พร้อมรอยยิ้ม “หลังจากที่ไม่ได้พบกันนาน ไม่ทราบว่าผู้คุมกฎฝั่งซ้ายสบายดีรึไม่ ?”