ชายฝั่งทางเหนือตั้งอยู่ในทางเหนือของดินแดนมหาเทพและอยู่ติดกับมหาสมุทรทางเหนือ
เมืองขนาดเล็กเมืองหนึ่งถูกสร้างขึ้นใกล้กับน่านน้ำบริเวณนี้และมีตัวอักษรขนาดใหญ่ที่ถูกสลักชัดเจนบนป้ายของประตูเมืองซึ่งก็คือคำว่า ‘ชายฝั่งทางเหนือ’
แม้ดำรงอยู่มานานนับพันปี ตัวอักษรทั้งหมดกลับไม่มีร่องรอยของการเสื่อมสลายไปตามกาลเวลาแม้แต่น้อย เพียงเท่านี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าในอดีตผู้ที่สลักอักษรเหล่านี้ไว้เป็นจอมยุทธ์ที่ทรงพลังมากเพียงใด
นอกประตูเมืองในตอนนี้คือคนกลุ่มใหญ่ซึ่งเป็นคณะศิษย์จากทั้งเก้านิกายที่รีบเดินทางมาจากแผ่นดินใหญ่
หลังจากการรวมตัวกันที่เมืองเทียนยงในวันนั้น ทุกคนก็รีบเดินทางมุ่งหน้าไปยังมหาสมุทรทางเหนือโดยเร็ว เนื่องจากไม่เสียเวลาแวะระหว่างทางมากนัก ทุกคนจึงปรากฏตัวหน้าประตูเมืองหลังจากการเดินทางนานครึ่งเดือน
เนื่องจากเป็นช่วงฤดูเหมันต์และที่นี่เป็นอาณาเขตของมหาสมุทรทางเหนือ บรรยากาศจึงหนาวเหน็บอย่างที่สุด แม้ฉินอวี้โม่และสหายจะมิใช่คนอ่อนแอ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าพวกนางรู้สึกหนาวเย็นเป็นอย่างมาก
“โชคดีจริง ๆ ที่ข้าเตรียมอาภรณ์นุ่งห่มมาด้วย”
อวิ๋นซื่อเทียนหยิบเสื้อคลุมหนาออกมาจากแหวนมิติและสวมมันอย่างแน่นหนาราวกับปรารถนาที่จะมัดห่อตนเองจนกลายเป็นบ๊ะจ่าง
“อิจฉาคนอย่างพวกเจ้าจริง ๆ ที่สามารถดูดซับพลังมายาที่มีคุณสมบัติธาตุไฟได้ พวกเจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับอากาศหนาวรอบตัวเลยสักนิด”
หลังจากหันมองไปที่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือผู้ซึ่งยังอยู่ในอาภรณ์ปกติธรรมดา นางก็อดกล่าวขึ้นไม่ได้
เนื่องจากเพลิงแห่งชีวิตของซิว อากาศที่หนาวเย็นรอบตัวจึงไม่สามารถรุกรานเข้ามาในร่างกายของฉินอวี้โม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังมีมารยาซึ่งเป็นอสูรธาตุน้ำแข็งและความหนาวเย็นรอบตัวไม่อาจแทรกซึมเข้ามาได้เลย
หานโม่ฉือก็เดินเคียงข้างฉินอวี้โม่ไม่ห่างและจับมือบางไว้ตลอดเวลาโดยไม่รู้สึกถึงความเย็นจับขั้วหัวใจเช่นกัน
ฮวาเยว่และฉินเทียนก็กำลังพูดคุยและหัวเราะกันอย่างสบาย ๆ ในระหว่างการเดินทางครานี้ คนจากนิกายหมื่นบุปผาและนิกายกระบี่สายฟ้าก็สนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น ทว่าไม่มีผู้ใดสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างฉินอวี้โม่และฉินเทียนแม้แต่น้อย
ในขณะเดียวกัน เหลียนซวงและเหลียนอู้ก็เดินอยู่ร่วมกับศิษย์จากนิกายเมฆาล่องลอย กล่าวได้ว่าบรรดาศิษย์จากนิกายอื่น ๆ กระตือรือร้นที่จะทำความรู้จักกับเหลียนซวงเป็นอย่างมาก พวกเขาต่างก็ทราบว่าเหลียนซวงคือหนึ่งในศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดและเป็นศิษย์คนโปรดของนิกายหมื่นบุปผาโดยไม่ทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้
ระหว่างการเดินทาง เหลียนซวงและเหลียนอู้ก็พยายามยั่วยุฉินอวี้โม่หลายครั้งหลายคราราวกับต้องการจะบอกกับนางว่าต่อให้จะนางโดดเด่นเพียงใด นางก็ไม่ได้รับความนิยมมากเท่ากับพวกตน
ฉินอวี้โม่ก็เมินเฉยความพยายามทั้งหมดของทั้งสองไปอย่างสิ้นเชิงและเกียจคร้านเกินกว่าจะเสียเวลาสนใจ อวิ๋นซื่อเทียนและคนอื่น ๆ ก็มองพวกนางเป็นเพียงตัวตลกเท่านั้นและไม่คิดเสียเวลาตอบโต้ขณะปล่อยให้พวกนางกระโดดโลดเต้นกันไปเอง
เดิมทีชายฝั่งทางเหนือนั้นมีประชากรอยู่ไม่มากนัก เมื่อฉินอวี้โม่และคณะตัวแทนทุกคนปรากฏตัวขึ้นมาจึงดึงดูดสายตาทุกคู่ได้ทันที
“ทุกท่านคือยอดฝีมือจากทั้งเก้านิกายใช่รึไม่ ?”
ณ ประตูเมือง ชาวเมืองจำนวนหนึ่งรออยู่ที่นั่นและกล่าวทักทายทันทีที่คนกลุ่มใหญ่เดินเข้ามาใกล้
“คนจากสามสำนักมาถึงแล้วรึยัง ?”
ฮวาเยว่พยักศีรษะยืนยันและเอ่ยถามออกไป
ก่อนหน้านี้ตัวแทนจากสามสำนักต้องการมาที่ชายฝั่งทางเหนือเป็นการล่วงหน้า และเมื่อคำนวณจากเวลา พวกเขาก็ควรจะมาถึงที่นี่อย่างน้อยสามวันแล้ว
“มาถึงแล้วขอรับ ตอนนี้พวกเขาอยู่กับท่านผู้นำ เชิญทุกท่านตามข้ามาได้เลย”
คนเหล่านั้นพยักศีรษะและเดินนำทุกคนเข้าไปในเมือง
ณ จวนเจ้าเมือง คนของสามสำนักกำลังหารือกับบุรุษชราคนหนึ่ง เมื่อเห็นทุกคนมาถึง พวกเขาก็ลุกขึ้นและกล่าวทักทายกันทันที
ฉินอวี้โม่กวาดสายตามองตัวแทนจากสามสำนักและพบว่าบุคคลระดับสูงที่เคยพบหน้าในเมืองเทียนยงคราก่อนล้วนปรากฏอยู่ในกลุ่มคนตรงหน้าด้วย
แม้แต่ฟู่อวิ๋นซิว—นายน้อยของสำนักเมฆาครามก็เดินทางมาที่นี่เช่นกัน
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่ได้พบกันเสียนาน ความแข็งแกร่งของทุกคนพัฒนาขึ้นมากทีเดียว”
ฟู่อวิ๋นซิวยิ้มกว้างขณะกล่าวกับฉินอวี้โม่และทุกคนอย่างกระตือรือร้นโดยไม่มีความขุ่นข้องหมองใจเพียงเพราะพวกนางปฏิเสธคำเชิญชวนเข้าร่วมสำนักเมฆาครามก่อนหน้านี้
“นายน้อยฟู่ เราเข้าไปข้างในก่อนเถอะ หลังจากนี้ยังมีเวลารำลึกความหลังอีกมาก”
เริ่นชิน—ตัวแทนจากสำนักห้าขุนเขาผู้ซึ่งไม่ได้แสดงตัวเป็นมิตรหรือปฏิปักษ์กับฉินอวี้โม่และสหายกล่าวขัดจังหวะบทสนทนาเล็กน้อย
“การรำลึกความหลังของพวกเขาจะไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งที่เราจะหารือหลังจากนี้หรอก เจ้าจะรีบร้อนไปทำไมเล่า ?”
ฮว๋าสงจากสำนักเบิกภูผาพยักศีรษะให้กับฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ขณะกล่าววาจาเหน็บแนมเริ่นชิน
“เราเข้าไปหารือข้างในเถอะ”
ฮวาเยว่กล่าวเพื่อคลี่คลายสถานการณ์และเสนอให้ทุกคนเข้าไปที่จวนเจ้าเมือง
จวนเจ้าเมืองของชายฝั่งทางเหนือไม่หรูหราเท่าใดนักทว่าเป็นพื้นที่ที่กว้างขวางพอสมควร แม้ตัวแทนจากสามสำนักและเก้านิกายเกือบหนึ่งร้อยคนจะรวมตัวกันอยู่ที่นี่ก็ยังไม่แออัดแต่อย่างใด
บรรดาจอมยุทธ์ลับของน่านน้ำทางเหนือก็มีการจัดตั้งขุมกำลังขึ้นมาเช่นกัน นั่นก็คือขุมกำลังที่มีชื่อว่า ‘ชนเผ่าทะเล’ โดยผู้นำของชนเผ่าทะเลคือเจ้าเมืองของชายฝั่งทางเหนือและเขาคือบุรุษชราตรงหน้าทุกคนที่มีนามว่า ‘ผู้เฒ่าไห่’
“ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาให้ความช่วยเหลือและไม่ทอดทิ้งชายฝั่งทางเหนือของเรา”
ผู้เฒ่าไห่จัดแจงที่นั่งให้กับทุกคนก่อนกล่าวอย่างซาบซึ้งใจ
“ผู้เฒ่าไห่ไม่ต้องเกรงใจพวกเราหรอก ชายฝั่งทางเหนือก็เป็นส่วนหนึ่งของดินแดนมหาเทพ หากเกิดเรื่องขึ้นที่นี่ มันก็เป็นหน้าที่ของพวกเราที่ต้องเข้ามาช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ”
บุคคลระดับสูงหลายคนกล่าวแทบจะเป็นเสียงเดียวกันเพื่อมิให้ผู้เฒ่าไห่เกรงใจพวกตน
ไม่ว่าส่วนใดของดินแดนมหาเทพเผชิญกับปัญหา มันก็จะส่งผลกระทบต่อทั่วทั้งดินแดน เมื่อเกิดเรื่องที่ชายฝั่งทางเหนือ การที่ขุมกำลังใหญ่ในดินแดนส่งคนมาช่วยเหลือก็เป็นการช่วยป้องกันภัยให้กับพวกตนไปในเวลาเดียวกัน
“เรามาคุยเรื่องสถานการณ์ของชายฝั่งทางเหนือกันก่อนเถอะ เราได้ทราบข้อมูลบางอย่างมาก่อนหน้านี้แล้ว ทว่ารายละเอียดยังไม่ชัดเจนนัก”
ฮวาเยว่กล่าวเพื่อให้ผู้เฒ่าไห่อธิบายสถานการณ์ล่าสุดของชายฝั่งทางเหนือก่อน
ผู้เฒ่าไห่พยักศีรษะและเริ่มเล่าถึงเรื่องราวความผิดปกติที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้
ความโกลาหลที่เกิดขึ้นล่าสุดถูกค้นพบในพื้นที่ที่ห่างออกไปของมหาสมุทรทางเหนือ เหตุการณ์ประหลาดเริ่มจากการที่เกาะลึกลับปรากฏตัวในมหาสมุทรอย่างกะทันหัน จากนั้นจอมยุทธ์จำนวนหนึ่งที่ออกไปสำรวจมหาสมุทรก็หายตัวไปอย่างกะทันหันและมีหมอกหนาปรากฏเหนือน่านน้ำส่งผลให้ไม่สามารถระบุตำแหน่งของเกาะดังกล่าวได้อีก
ชนเผ่าทะเลเคยส่งคนไปสืบความจริงเรื่องนี้และคนเหล่านั้นล้วนเป็นจอมยุทธ์อันดับต้น ๆ ของชนเผ่าทะเล เคราะห์ร้ายที่ร่องรอยของพวกเขาหายไปตั้งแต่เหยียบเข้าไปที่นั่นและไม่มีผู้ใดกลับมาได้อีกเลย
ตลอดช่วงหลายวันที่ผ่านมา ประชากรชาวเมืองจำนวนไม่น้อยล้วนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยและไม่อาจหาคำตอบได้เลยว่าพวกเขาหายไปที่ใดหรือหายตัวไปได้อย่างไร
เมื่อตระหนักได้ถึงความผิดปกติที่ไม่สามารถรับมือได้ด้วยลำพังตนเอง ผู้เฒ่าไห่จึงส่งสาส์นไปยังสามสำนักและเก้านิกายเพื่อขอความช่วยเหลือ
“คนเหล่านั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ?”
เรื่องนี้คือสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมาก หากคนเหล่านั้นตายไปแล้ว สถานการณ์ครานี้ก็น่าหวาดหวั่นมากกว่าที่จินตนาการไว้ ทว่าหากพวกเขายังมีชีวิตอยู่ก็อาจเพียงเผชิญกับปัญหาบางอย่างและไม่เป็นอันตรายมากจนเกินไป
“บางคนตายไปแล้ว บางคนก็ยังมีชีวิตอยู่ ส่วนบางคนก็ไม่อาจรู้ได้เลย”
บุรุษชราขมวดคิ้วมุ่นด้วยสีหน้ากังวล นี่คือสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดเกี่ยวกับสถานการณ์นี้
สำหรับคนจากชนเผ่าทะเลที่หายตัวไป ป้ายตราจิตวิญญาณของพวกเขาหลายคนแตกหักซึ่งหมายความว่าเจ้าของมันได้เสียชีวิตไปแล้ว นอกจากนี้ก็ยังมีอีกจำนวนมากที่ป้ายตราไม่แตกหักทว่าแสงของมันสลัวลงมาก คาดการณ์ได้ว่าพวกเขาคงจะอยู่ในระหว่างขอบเขตความเป็นและความตาย
สิ่งที่แปลกประหลาดยิ่งกว่านั้นคือไม่สามารถระบุพิกัดของคนเหล่านั้นได้เลย พวกเขาก็ได้ทำการค้นหาเมืองทุกเมืองและหมู่บ้านใกล้เคียงทั้งหมดแล้ว ทว่ามีเพียงสถานที่เดียวเท่านั้นที่ยังไม่ถูกค้นหาและนั่นคือเกาะลึกลับในน่านน้ำทางเหนือ มีความเป็นไปได้สูงว่าทุกคนที่หายไปน่าจะอยู่ที่นั่น
“ผู้เฒ่าไห่หมายความว่าจะให้พวกเราส่งตัวแทนออกไปสำรวจสถานการณ์ในมหาสมุทรและเกาะแห่งนั้นรึ ?”
ฮวาเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย จากที่ได้ฟังคำอธิบายของผู้เฒ่าไห่ นางก็รับรู้ได้ว่ามหาสมุทรทางเหนือเต็มไปด้วยภยันตรายมากมาย ไม่ว่าผู้ใดถูกส่งไปที่นั่นก็อาจต้องหายไปตลอดกาล
จอมยุทธ์ส่วนใหญ่ของชายฝั่งทางเหนือแข็งแกร่งกว่าคนจากสามสำนักและเก้านิกายด้วยซ้ำ หากแม้แต่คนเหล่านั้นก็ยังไม่สามารถสำรวจที่นั่นได้อย่างปลอดภัย แล้วพวกนางจะมีโอกาสสักเพียงใดกัน ?