ฉินอวี้โม่จับตาดูสิ่งแวดล้อมรอบตัวอย่างไม่ละสายตา แม้แผ่พลังวิญญาณออกไป นางก็ไม่สามารถระบุได้เลยว่าสิ่งที่กำลังกระแทกเรือคือสิ่งใด
รอบตัวในตอนนี้ไม่มีกลิ่นอายของสิ่งมีชีวิตใด ๆ ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าสิ่งที่ชนเรือซ้ำแล้วซ้ำเล่านั้นมิใช่อสูรทรงพลัง
ยิ่งไปกว่านั้น นางก็สัมผัสได้อย่างเลือนรางว่าสิ่งที่ชนเข้ากับเรือใหญ่หลายครั้งหลายครามิใช่สิ่งเดียวกัน
หลังจากบอกความจริงกับทุกคนเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น หลายคนก็เริ่มกังวลจนอยู่ไม่ติด
“ท่านจอมยุทธ์ฉินเทียน เราควรทำอย่างไรเจ้าคะ ?”
สตรีนางหนึ่งที่เป็นศิษย์ของนิกายหงส์แดงซึ่งเป็นนิกายอันดับสุดท้ายในเก้านิกายเอ่ยถามด้วยสีหน้ากังวลอย่างชัดเจน
ความแข็งแกร่งของนางไม่ได้ถือว่ายอดเยี่ยมนักเมื่อเทียบกับศิษย์คนอื่น ๆ ในนิกายหงส์แดงและมีพรสวรรค์เพียงระดับธรรมดาทั่วไป ครานี้เป็นเพราะผู้อาวุโสของนิกายหงส์แดงไม่ถูกกับนางเท่าใดนัก นางและศิษย์อีกสองคนที่มีสถานการณ์คล้ายคลึงกันจึงถูกบีบบังคับให้ต้องร่วมทางมากับทุกคนเพื่อสำรวจเกาะลึกลับแห่งนั้น
ในระหว่างการเดินทาง นางและคนอื่น ๆ ก็รู้สึกประทับใจในตัวฉินเทียนเป็นอย่างมากและมองเห็นเขาเป็นเสาหลักของตนเองอย่างแท้จริง
สายตาของคนอื่น ๆ ก็เลื่อนไปหยุดที่ฉินเทียนเช่นกัน เมื่อได้รับรู้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะไม่แตกตื่นกันเลยและตอนนี้คนส่วนใหญ่ก็กระวนกระวายใจอย่างยิ่ง ทว่าเพียงเสแสร้งแสดงสีหน้าว่าใจเย็นเท่านั้น
“ทุกคนอย่าเพิ่งแตกตื่นกันไป ม่านป้องกันที่เราวางไว้ยังคงอยู่ ไม่ว่าสิ่งที่ชนเรือของเราคือสิ่งใด ตราบใดที่ม่านป้องกันยังไม่พังทลายลง เราทุกคนก็จะไม่เป็นอันตราย”
ฉินเทียนกล่าวเพื่อให้ทุกคนสงบใจเย็นลง ทว่าแท้จริงแล้วมันไม่ได้เรียบง่ายดังที่เขากล่าวแม้แต่น้อย
เขารับรู้ได้ว่าม่านป้องกันรอบตัวค่อย ๆ อ่อนกำลังลงอย่างต่อเนื่องเพราะแรงกระแทกดังกล่าว และหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป อีกไม่นานม่านป้องกันจะแตกสลายไปอย่างแน่นอน
เมื่อม่านป้องกันแตกสลายไป แรงโจมตีเหล่านั้นก็จะกระทบเข้ากับตัวเรือโดยตรงซึ่งเรือลำนี้ก็อาจจะต้านทานไว้ไม่ได้
“คนที่แข็งแกร่งไปที่ขอบเรือเร็วเข้า ส่วนคนที่เหลือรวมตัวกันตรงกลาง ท่านทั้งสองจากชายฝั่งทางเหนือมาช่วยข้าเสริมพลังให้กับม่านป้องกันเถอะ”
ฉินเทียนออกคำสั่งอย่างรวดเร็ว เนื่องจากไม่มีทางคาดเดาได้เลยว่าจะเกิดสิ่งใดต่อไป ตอนนี้เขาจึงทำได้เพียงดำเนินการไปเช่นนี้
ทุกคนพยักศีรษะและสิบคนที่แข็งแกร่งที่สุดต่างก็กระจายตัวกันออกไปในแต่ละจุดเพื่อคุ้มกันรอบด้าน หากมีอสูรทรงพลังโจมตี พวกเขาจะค้นพบได้อย่างรวดเร็ว
คนที่เหลือก็รวมตัวกันตรงกลางเรือในขณะที่สีหน้าแสดงถึงความกังวลอย่างชัดเจน
ฉินเทียนและบุรุษวัยกลางคนผู้แข็งแกร่งของชายฝั่งทางเหนือทั้งสองคนนั่งลงและถ่ายเทพลังมายาปริมาณมหาศาลออกไปเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับม่านป้องกันรอบตัวเรือ ในขณะที่ฟู่อวิ๋นซิวรับหน้าที่ควบคุมเรือเป็นการชั่วคราว
“ในช่วงเวลานี้ ทุกคนจับกลุ่มรวมกันไว้ให้ได้มากที่สุด หากเรารับมือไม่ได้และเรือรับแรงกระแทกไม่ได้อีก ข้าจะส่งทุกคนเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัว”
ฉินอวี้โม่ลองทดสอบดูและพบว่าการเชื่อมต่อกับคฤหาสน์เฟิงหัวไม่ได้ถูกตัดขาดไป เมื่อใดที่เผชิญกับวิกฤต นางจะสามารถส่งทุกคนเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวได้โดยตรงซึ่งถือเป็นไพ่ตายสำคัญอีกอย่างหนึ่ง
ทุกคนพยักศีรษะตอบรับและคนที่คุ้นเคยหลายคนขยับเข้ามาใกล้ฉินอวี้โม่มากขึ้น เมื่อเกิดสิ่งใดที่ไม่คาดฝัน ทุกคนจะเข้าประชิดตัวนางได้ทันที
ในขณะที่เวลาผ่านไป ฉินเทียนและบุรุษอีกสองคนก็พยายามเสริมความแข็งแกร่งให้กับม่านป้องกันอย่างต่อเนื่อง ทว่าพวกเขาก็สัมผัสได้ว่าพลังของมันกำลังสลายหายไปอย่างรวดเร็วและม่านป้องกันอ่อนแอลงเรื่อย ๆ หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าพวกเขาไม่มีทางยื้อไว้ได้อีกนานนัก
“ทุกคนเตรียมพร้อมต่อสู้”
อาวุธของฉินเทียนปรากฏในมือขณะเขากล่าวกับทุกคน
แม้ทุกคนยังกังวลใจ พวกเขาก็มิใช่จอมยุทธ์ที่อ่อนแอหรืออ่อนประสบการณ์ พวกเขาหยิบอาวุธของตนออกมาอย่างรวดเร็วและอยู่ในท่าทางที่เตรียมพร้อมต่อสู้ในทุกเวลา
ตูมมม !
โครมมม !
เสียงดังสนั่นอีกครั้งเมื่อม่านป้องกันรอบเรือใหญ่พังทลายลงและพลังมหาศาลกระแทกเข้ากับตัวเรืออย่างจัง
“อยากเห็นนักว่ามันคืออะไรกันแน่ !”
ทันทีที่พลังรุนแรงนั้นชนเข้ากับเรือ ฉินอวี้โม่ก็กระโดดออกไปและมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่นางคาดเดาไว้อย่างคร่าว ๆ ทันที
หานโม่ฉือและอีกหลายคนตามไปอย่างรวดเร็ว พวกเขายืนยันได้ว่ามีพลังที่ผันผวนอย่างรุนแรงเกิดขึ้นในทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของพวกตนและมั่นใจว่าจะต้องมีบางอย่างอยู่ในทิศทางนั้นอย่างแน่นอน
ทันใดนั้น พลังมายารอบตัวนางก็พุ่งพรวดอย่างรวดเร็วและเพลิงร้อนระอุก็ปรากฏขึ้นมาโดยที่ทำให้หมอกหนารอบตัวเจือจางลงเล็กน้อย
“นั่นมันอะไรกัน ?!”
เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้ชัดเจนมากขึ้น ใบหน้างดงามของอวิ๋นซื่อเทียนก็ถอดสีเล็กน้อยขณะตะโกนออกไปด้วยความตกใจ
ไม่ไกลจากตรงหน้าทุกคนในตอนนี้คือร่างขนาดมหึมาของ ‘บางสิ่งบางอย่าง’
มันคือโครงกระดูกขนาดใหญ่และไม่อาจระบุได้ว่าเป็นกระดูกของอสูรชนิดใด ดูเหมือนว่ามันตายไปนานหลายปีแล้วและมีเพียงกลิ่นอายแห่งความตายที่แผ่ออกมาโดยไม่มีกลิ่นอายของพลังอื่นใดอีก
โครมมม !
ในตอนนี้โครงกระดูกยักษ์ใหญ่ก็กระแทกเข้ากับเรืออย่างแรงจนเกิดเสียงดังสนั่น
“ไม่แปลกใจเลยที่เราจะสัมผัสถึงกลิ่นอายของสิ่งมีชีวิตใดไม่ได้ ที่แท้ก็พวกมันก็เป็นผีดิบไร้ชีวิตนี่เอง !”
ฉินอวี้โม่ทราบได้ทันทีว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือผีดิบประเภทหนึ่ง ไม่แปลกใจเลยที่ก่อนหน้านี้พลังวิญญาณของพวกนางจะไม่สามารถสัมผัสถึงสิ่งใดได้ ที่แท้สิ่งที่โจมตีพวกตนก็คือโครงกระดูกเหล่านี้นี่เอง
โครงกระดูกเหล่านี้ตายไปนานนับพันปีแล้วและถูกปลุกขึ้นมาโดยพลังลึกลับบางอย่างที่ทำให้พวกมันมีจิตวิญญาณและสามารถโจมตีพวกนางได้
พวกมันก็เป็นตัวตนที่แทบจะไม่มีจุดอ่อนและฆ่าไม่ตาย เว้นแต่ว่าจะถูกทำลายด้วยพลังแห่งแสง โครงกระดูกเหล่านี้เป็นอมตะและน่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด
“เกรงว่าคนส่วนใหญ่ที่ถูกส่งมาที่นี่คงจะถูกผีดิบพวกนี้สังหารไป และพวกเขาคงจะไม่มีโอกาสได้เห็นแม้แต่เงาของเกาะลึกลับนั่นด้วยซ้ำ”
เซิ่งเซียวถอนหายใจยาวและรับรู้ได้ว่ารอบตัวมีผีดิบมากกว่าที่เห็น ภายใต้เพลิงทรงพลังของซิว เขามองเห็นได้อย่างเลือนรางว่ามีโครงกระดูกอื่นอยู่ไม่ไกลออกไป กอปรกับกลุ่มหมอกหนาแน่นรอบตัว หากจอมยุทธ์ที่ถูกส่งมาสำรวจเกาะไม่มีไพ่ตายซ่อนไว้ พวกเขาจะไม่มีโอกาสเอาตัวรอดกลับไปด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับเดินหน้าเข้าไปไกลกว่านี้
“น่าเสียดายจริง ๆ ที่เฟยเฟยไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่เช่นนั้นโครงกระดูกพวกนี้ทำอะไรพวกเราไม่ได้อย่างแน่นอน”
เสียงของหานอวี้ดังขึ้นในโสตประสาทของฉินอวี้โม่ ไม่น่าเชื่อเลยว่าตอนนี้มันจะฟื้นสติกลับคืนมาหลังจากเก็บตัวจำศีลอยู่นาน
เพราะถึงอย่างไรเด็กสาวเฟยเฟยก็ผสานกับพลังของบุปผาแห่งแสงได้นานแล้วและมันเป็นพลังที่ดีที่สุดในการกำราบผีดิบเหล่านี้ หากนางอยู่ที่นี่ นางเพียงต้องแผ่พลังแห่งแสงออกไปส่วนหนึ่งและผีดิบโครงกระดูกเหล่านี้ก็จะล่าถอยไปอย่างแน่นอน อีกทั้งนางก็ยังใช้พลังแห่งแสงที่มีเพื่อชำระล้างพวกมันและกำจัดพวกมันได้อย่างง่ายดาย
“อย่างไรก็ตาม มันก็มิใช่ปัญหายุ่งยากนักหรอก ท่านแม่…ปล่อยผีดิบพวกนี้ให้เป็นหน้าที่ของพวกเราเถอะ”
แม้ผีดิบตรงหน้าจะแข็งแกร่งมาก ทว่าพวกมันก็ไม่มีสติปัญญาเป็นของตัวเอง หานอวี้และอสูรตัวอื่น ๆ กำลังเบื่อหน่ายอยู่พอดิบพอดีและการจัดการกับผีดิบเหล่านี้จะช่วยให้พวกมันจะได้ยืดเส้นยืดสายเป็นครั้งแรกในเวลาเนิ่นนานที่ผ่านมา
“ถ้าเช่นนั้นข้าฝากพวกเจ้าด้วย”
ฉินอวี้โม่ไม่คัดค้านและปล่อยให้อสูรมายาเหล่านั้นออกมาจากคฤหาสน์เฟิงหัว
อสูรมายาทั้งหมดก็แสดงแววตาของนักสู้และมุ่งหน้าออกไปต่อสู้กับผีดิบโครงกระดูกรอบตัวอย่างรวดเร็ว
ในขณะเดียวกัน แรงกระแทกที่ตัวเรือซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ทำให้เรือโคลงเคลงจนทุกคนบนเรือทรงตัวได้ไม่มั่นคงนัก
หากมิใช่เพราะฉินเทียนและบุรุษวัยกลางคนทั้งสองที่พยายามรักษาสมดุลของเรือไว้ เกรงว่าเรือใหญ่ลำนี้คงจะพลิกคว่ำไปนานแล้ว
“ท่านจอมยุทธ์ฉินเทียน เราสละเรือลำนี้กันเถอะ”
ศิษย์คนหนึ่งกล่าวขึ้นเมื่อเห็นว่าตัวเรือเต็มไปด้วยรูโหว่และน้ำทะเลเริ่มไหลทะลักเข้ามาซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ควบคุมไม่ได้อีกแล้ว
“ข้าไม่สนใจสิ่งใดอีกแล้ว ข้าไม่อยากอยู่บนเรือลำนี้”
ศิษย์อีกคนโพล่งเสียงดังออกมาและร่างของเขาก็เหาะขึ้นไปกลางอากาศอย่างรวดเร็ว
“อ๊ากกก !”
อย่างไรก็ตาม เสียงกรีดร้องของเขาก็ดังขึ้นทันทีที่เหาะออกไป เพราะจู่ ๆ ก็มีฝ่ามือคู่ใหญ่โผล่ออกมาจากบนท้องฟ้าและคว้าร่างของบุรุษหนุ่มผู้นั้นไว้ก่อนหายไปอย่างไร้ร่องรอย