ฉินเทียนกวาดสายตามองดูและพบกับบรรดาศิษย์ของสามสำนักและเก้านิกายที่เดินทางมากับตนทันที พวกเขาล้วนได้รับบาดเจ็บในระดับหนึ่งและดูจะมีอาการที่ไม่สู้ดีนัก
พวกเขาหลายคนสังเกตเห็นฉินเทียนเช่นกันและเอ่ยขอความช่วยเหลือทันที “ท่านจอมยุทธ์ฉินเทียน โปรดช่วยพวกเราด้วย”
ก่อนหน้านี้ ทันทีที่เรือลำนั้นล่มไป พวกเขาทั้งหมดก็ร่วงลงไปในน้ำทะเลและหมดสติไป หลังจากที่ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง พวกเขาก็พบว่าตนเองปรากฏตัวอยู่บนเกาะแห่งนี้แล้วและอยู่ในสภาพที่สูญเสียพลังมายาทั้งหมดไป อีกทั้งยังถูกคุ้มกันไว้โดยคนสวมหน้ากากเหล่านี้
เมื่อพยายามหลบหนี พวกเขาก็ถูกคนเหล่านี้รุมสั่งสอนอย่างป่าเถื่อนและทำได้เพียงเฝ้ารอชะตากรรมที่จะมาถึงเท่านั้น
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของฉินเทียนทำให้พวกเขาทุกคนมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง
“ข้าอยากจะพาเขาไปด้วย”
ฉินเทียนสังเกตเห็นหลานเผิงผู้ซึ่งมีอาการบาดเจ็บสาหัสที่สุดและกล่าวออกไป
ก่อนหน้านี้ หลานเผิงพยายามต่อสู้ขัดขืนและเกือบจะหลบหนีออกไปได้สำเร็จ ทว่าท้ายที่สุดเขาก็ถูกจับตัวกลับมาและถูกรุมทำร้ายอย่างป่าเถื่อน จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้สติกลับคืนมาและลมหายใจอ่อนแอรวยรินเต็มทีซึ่งเรียกได้ว่าสภาพของเขาย่ำแย่เป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเห็นรอยเลือดและบาดแผลทั่วร่างของหลานเผิง ฉินเทียนก็รู้สึกโกรธแค้นขึ้นมาทันทีและจิตสังหารที่แรงกล้าก็ฉายชัดในแววตาชั่วขณะหนึ่ง
“นั่นหมายความว่าเจ้ากำลังพิจารณาที่จะตกลงร่วมมือกับพวกเราสินะ”
เมื่อได้ยินวาจาของฉินเทียน บุรุษสวมหน้ากากสีเงินก็ยิ้มเล็กน้อยและกล่าวขึ้นเบาๆ
“ข้าต้องขอเวลาคิดอีกสักสองสามวันก่อนให้คำตอบได้ ส่วนบุรุษหนุ่มผู้นี้..ข้าต้องการให้เขาอยู่ข้างกายข้า หากปฏิเสธละก็ เราก็ไม่มีอะไรที่ต้องพูดคุยกันอีก”
จุดยืนของฉินเทียนหนักแน่นและชัดเจนอย่างยิ่ง สิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้คือการถ่วงเวลาไว้ให้นานที่สุด ฉินอวี้โม่และสหายจะมาถึงที่เกาะนี้ในไม่ช้า เขาเชื่อมั่นว่าพวกนางจะมีหนทางจัดการกับคนเหล่านี้อย่างแน่นอน
“แน่นอนว่าไม่มีปัญหา ข้าจะส่งคนไปจัดเตรียมที่พักให้กับเจ้า ส่วนเขา..ข้าจะส่งเขาไปที่นั่นหลังจากที่ให้คนช่วยดูอาการบาดเจ็บ”
อีกฝ่ายพยักศีรษะตอบรับด้วยสีหน้าที่จริงใจ
“นั่นเป็นเรื่องที่ดี”
ฉินเทียนยิ้มและเพิกเฉยต่อบรรดาศิษย์ของสามสำนักและเก้านิกายที่แสดงสีหน้าแห่งความคาดหวัง จากนั้นเขาก็หันหลังและเดินกลับไปยังทิศทางที่เดินมาก่อนหน้านี้
“จะว่าไปแล้ว..เกรงว่าเจ้าคงจะไม่ทราบว่าคนเหล่านี้เป็นใคร?”
บุรุษข้างกายของเขาชี้ไปยังกลุ่มคนที่คุ้มกันฝูงชนซึ่งดูเหมือนเป็นมนุษย์ไร้จิตวิญญาณพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูซับซ้อนเล็กน้อย
“พวกเขาเป็นใคร?”
ฉินเทียนเอ่ยถามอย่างเรียบเฉย เขาเองก็สัมผัสได้ตั้งแต่ต้นว่าคนเหล่านี้แปลกประหลาดอย่างมาก
“พวกเขาล้วนเป็นคนรุ่นเยาว์ที่มีฝีมือโดดเด่นของชายฝั่งทางเหนือ แน่นอนว่าตอนนี้พวกเขากลายเป็นกองทหารชั้นดีของเกาะเราแล้ว”
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ภาคภูมิใจ ราวกับการที่สามารถควบคุมคนเหล่านี้ได้เป็นความภาคภูมิใจอย่างที่สุด
“ทราบหรือไม่ว่าเหตุใดพวกเขาจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้?”
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของฉินเทียนไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆแม้แต่น้อย เขาก็ยกยิ้มมุมปากและกล่าวต่อ
“เพราะเหตุใดรึ?”
ฉินเทียนถามอย่างให้ความร่วมมือ ตัวเขาเองก็สนใจและสงสัยใคร่รู้ยิ่งนักว่าเหตุใดคนเหล่านี้จึงกลายเป็นสภาพเช่นนี้ไปได้
“เพราะพวกเขาทั้งหมดตายไปแล้ว จิตวิญญาณของพวกเขาหลุดลอยไปและตอนนี้เป็นเพียงผีดิบที่ปฏิบัติตามคำสั่งของเราเท่านั้น”
น้ำเสียงของบุรุษตรงหน้าฟังดูมืดมนและเมื่อกล่าวว่าคนเหล่านี้ตายไปแล้ว เขาก็ดูจะไม่มีความรู้สึกเห็นใจใดๆแม้แต่น้อย
เวลานี้สีหน้าของฉินเทียนเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ไม่แปลกใจเลยที่ก่อนหน้านี้ผู้เฒ่าไห่กล่าวว่าบางคนตายไปแล้ว ส่วนบางคนหายตัวไป เมื่อไตร่ตรองดูตอนนี้ ฉินเทียนก็ทราบว่าคนที่หายตัวไปคือคนที่ถูกจับไว้ที่ลานจัตุรัสแห่งนี้ ส่วนผู้ที่คุ้มกันพวกเขาทุกคนก็คือคนจากชายฝั่งทางเหนือที่ตายไปแล้วนั่นเอง
แม้ไม่ทราบว่ามันคือพลังชนิดใดที่ทำให้พวกเขาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ทว่าวิธีการของพวกเขาก็ทำให้ผู้คนทั่วทั้งดินแดนหวาดกลัวจนขนลุกได้ง่ายๆ
จากนั้นบุรุษที่เป็นหัวหน้าก็ส่งคนไปเตรียมที่พักให้กับฉินเทียนก่อนแยกตัวไปจัดการกับธุระของตน
หลังจากรอพักใหญ่ หลานเผิงก็ถูกนำตัวมาส่งโดยบุรุษสวมหน้ากากสองคน
อาการบาดเจ็บของหลานเผิงดีขึ้นมากและลมหายใจก็มั่นคงกว่าก่อนซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขาได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี
คนเหล่านั้นพาหลานเผิงมาส่งและกลับออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่มีผู้ใดคุ้มกันในบริเวณเรือนที่พักของฉินเทียน
เห็นได้ชัดว่าพวกเขามั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่าฉินเทียนจะไม่มีทางหลบหนีออกไปได้อย่างแน่นอน
ทว่าก็เป็นจริงเช่นนั้น ฉินเทียนในตอนนี้ไม่สามารถใช้พลังมายาภายในร่างกายได้และหลานเผิงเองก็ยังคงบาดเจ็บสาหัส การที่จะหลบหนีออกไปจากที่นี่จึงเป็นเรื่องที่ยากอย่างที่สุด
อย่างไรก็ตาม ฉินเทียนก็ยังไม่ต้องการหนีออกไปจากที่นี่เช่นกัน หากยังไม่ได้สะสางปัญหาที่เกิดขึ้นที่นี่อย่างเหมาะสม ดินแดนมหาเทพก็ยังต้องเผชิญกับวิกฤตที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้
วิธีการของคนเหล่านี้น่าสะพรึงกลัวเกินไป หากยังปล่อยให้พวกเขาดำเนินต่อไปเช่นนี้ เกรงว่าทั่วทั้งดินแดนจะตกอยู่ในอันตรายของการล่มสลายอย่างแน่นอน
หลังจากนั่งอยู่ในเรือนพักใหญ่ หลานเผิงก็ฟื้นขึ้นมา
“ท่านลุงฉิน?”
เมื่อลืมตาและเห็นฉินเทียนตรงหน้า เขาก็อุทานออกมาอย่างประหลาดใจทันที
“เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง?”
ฉินเทียนช่วยประคองหลานเผิงลุกขึ้นนั่งและเอ่ยถามด้วยความกังวล
“ตอนนี้ข้าไม่มีเรี่ยวแรงมากนักและไม่สามารถใช้พลังมายาได้เลย ทว่านอกจากนี้ก็ไม่มีสิ่งใดที่น่าเป็นห่วงขอรับ”
หลานเผิงตรวจสอบร่างกายของตนครู่หนึ่งและยิ้มอย่างอ่อนแรง
“ท่านลุงฉินก็ถูกจับตัวมาเช่นกันหรือขอรับ?”
หลานเผิงกวาดสายตาสำรวจรอบตัวและพบว่าตนอยู่ในห้องที่ว่างเปล่าไร้ผู้คนก่อนเอ่ยถามออกไป
“นอกจากกลุ่มของเสี่ยวโม่เอ๋อร์ เราทุกคนถูกจับตัวมาที่นี่ คนพวกนั้นอยากให้ข้าเข้าร่วมขุมกำลังของพวกเขาจึงปล่อยให้ข้าพาเจ้ามาพักที่นี่เป็นการชั่วคราว อย่างไรก็ตาม ไม่เกินสามวันข้างหน้า หากข้าไม่ให้คำตอบ เกรงว่าพวกเราจะตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่”
ฉินเทียนอธิบายกับหลานเผิงอย่างคร่าวๆเพื่อมิให้เขากังวลจนเกินไป
“ภายในสามวันนี้ ข้าเชื่อว่าพี่อวี้โม่และคนอื่นๆจะหาทางช่วยพวกเราได้แน่”
หลานเผิงมั่นใจในความสามารถของฉินอวี้โม่อย่างเต็มเปี่ยม ตราบใดที่พวกนางไม่ตกไปอยู่ในเงื้อมมือของคนชั่วร้ายเหล่านี้ เขาก็เชื่อว่ายังมีประกายแห่งความหวังที่เจิดจ้ามากพอสมควร
“หลานเผิง ก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นรึ?”
ไม่ว่าฉินอวี้โม่และคนอื่นๆจะมาถึงเมื่อใด พวกเขาก็ต้องหาทางสืบทราบสถานการณ์โดยรวมของเกาะแห่งนี้ให้ได้เสียก่อน หลานเผิงเคยต่อสู้กับคนเหล่านั้นแล้วและเขาควรจะเข้าใจถึงความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายในระดับหนึ่ง
“ก่อนหน้านี้ข้าตกลงไปในน้ำทะเลและถูกคนพวกนั้นจับตัวมาที่นี่ ทว่าในตระกูลหลานของเราก็มีทักษะยุทธ์พิเศษที่สามารถทำลายผนึกบางประเภทได้ เมื่อคนพวกนั้นปิดผนึกพลังมายาของข้า ข้าจึงใช้ทักษะยุทธ์นั้นเพื่อทำลายผนึกและพยายามหลบหนีออกไป เคราะห์ร้ายที่เกาะแห่งนี้กว้างใหญ่เกินไป ตอนที่หนีออกไปได้ ข้าก็เลือกเส้นทางผิดและเผชิญหน้ากับคนที่ควรจะเป็นผู้บงการของที่นี่ หลังจากนั้นพวกเขาก็จับตัวข้ากลับมาและปิดผนึกพลังของข้าอีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็รุมทำร้ายข้าจนบาดเจ็บสาหัส”
หลานเผิงเล่าถึงเรื่องที่ตนเกือบหนีรอดออกไปได้ให้ฉินเทียนทราบอย่างละเอียด
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ในตอนนี้ เขาก็ไม่คิดที่จะหลบหนีอีกต่อไป ไม่ว่าอย่างไรคนเหล่านั้นก็มีวิธีจับตัวเขากลับมา เพราะเหตุนั้น การอยู่กับฉินเทียนจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
“ความแข็งแกร่งของคนพวกนั้นน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก พวกเขาหลายคนไม่มีสติรู้ตัวและไม่รู้จักความเจ็บปวด หากความรู้สึกของข้าไม่ได้ผิดไป ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าท่านเลย”
หลานเผิงกล่าวเสริมขึ้นมาเมื่อนึกถึงความแข็งแกร่งของคนเหล่านั้นซึ่งทรงพลังจนแม้แต่เขาเองก็ยังต้องตกใจ
ผู้คนที่อยู่บนเกาะลึกลับแห่งนี้มีความแข็งแกร่งที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าคนของสามสำนักและเก้านิกายแม้แต่น้อย เชื่อว่าจะต้องมีขุมกำลังที่ทรงพลังยิ่งกว่าอยู่เบื้องหลังพวกเขาอย่างแน่นอนและไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าขุมกำลังนั้นจะทรงพลังถึงเพียงใด
“พวกเขาคงจะเป็นพวกจอมยุทธ์ปีศาจที่ชั่วร้ายเหล่านั้น ความแข็งแกร่งของพวกเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าในอดีตเลย เกรงว่าการที่เราจะผ่านครั้งนี้ไปได้คงจะยากลำบากไม่น้อย”
ในเวลานี้ ฉินเทียนก็สามารถยืนยันตัวตนของคนเหล่านี้ได้แล้ว สำหรับขุมกำลังที่มีพลังอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้และยังวางแผนก่อความวุ่นวายครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อทั่วทั้งดินแดน มันก็มีเพียงความเป็นไปได้เดียวเท่านั้นและนั่นก็คือจอมยุทธ์ปีศาจ
แต่ทว่า…จอมยุทธ์ปีศาจเหล่านี้มีจุดประสงค์เพียงแค่การควบคุมจอมยุทธ์อย่างพวกเขาจริงๆหรือ?