บุรุษหนุ่มชี้นิ้วไปในทิศทางหนึ่งและฉินอวี้โม่ก็ขับเคลื่อนคฤหาสน์เฟิงหัวตรงไปยังทิศทางนั้นอย่างไม่ลังเล
“แม้มิติที่สองของเจ้าจะวิเศษนัก แต่ผู้อาวุโสของเราจะต้องค้นพบได้แน่ การกลับไปที่เกาะกับข้าไม่ต่างจากการเดินเข้าไปหาหลุมพรางหรอก”
เขาหาที่ว่างนั่งลงและกล่าวด้วยสีหน้าที่ยังคงเรียบเฉย
“นั่นมิใช่สิ่งที่เจ้าจะต้องกังวล”
ในเวลานี้ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็นั่งลงเช่นกัน
“สหายของพวกเรา ตอนนี้สถานการณ์ของพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง ?”
นางเอ่ยถามเบา ๆ เพื่อลองเชิงอีกฝ่ายดู
เมื่อบุรุษหนุ่มได้ยินคำถามของฉินอวี้โม่ เขาก็มีท่าทีลังเลเล็กน้อยก่อนกล่าวตอบ “ข้าจะเมตตาบอกพวกเจ้าก็ได้ สำหรับสหายของพวกเจ้าที่อยู่บนเกาะ พลังมายาของพวกเขาถูกปิดผนึกไว้แล้วและไม่มีทางดิ้นรนขัดขืนใด ๆ ได้ เพราะฉะนั้นแล้วพวกเขาก็ไม่มีทางหลบหนีออกไปได้อย่างแน่นอน ผู้อาวุโสของเราต้องการทาบทามคนจำนวนหนึ่งมาเข้าร่วมกับจอมยุทธ์ปีศาจของเราและจะยังไม่ลงมือสังหารคนเหล่านั้นเป็นการชั่วคราว”
เขาไม่ปิดบังสิ่งใดและเปิดเผยสถานการณ์ในปัจจุบันของคนอื่น ๆ ที่ถูกจับตัวไปที่เกาะ
ในสายตาของเขา การที่ฉินอวี้โม่และสหายเหล่านี้เดินทางไปที่เกาะลึกลับด้วยตัวเองเป็นการรนหาที่ตายอย่างเห็นได้ชัด เพราะเหตุนั้น เขาจึงไม่กังวลว่าตนเองจะเปิดเผยข้อมูลอะไรออกไป
เมื่อได้ยินว่าทุกคนไม่ได้เผชิญกับอันตรายใดในตอนนี้ ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาและไม่กังวลอีกต่อไป
“ข้าสามารถบอกกับพวกเจ้าได้ บนเกาะแห่งนั้นมีสมาชิกอยู่นับร้อยและทุกคนล้วนแข็งแกร่งกว่าพวกเจ้า เมื่อใดที่ถูกค้นพบ พวกเจ้าจะไม่มีโอกาสหลบหนี ข้าขอแนะนำให้พวกเจ้ากลับไปตั้งหลักที่ชายฝั่งทางเหนือก่อนจะดีกว่า”
เนื่องจากรู้สึกถูกชะตากับฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ อยู่ลึก ๆ บุรุษหนุ่มจึงอดกล่าวเตือนพวกนางไม่ได้
“เจ้ามีจิตใจที่ดีทีเดียว”
ฉินอวี้โม่หันไปสบตาบุรุษหนุ่มอีกครั้งและกล่าวพร้อมรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปาก
ในการบ่มเพาะฝึกฝนศาสตร์ด้านมืด มิใช่ทุกคนที่จะมีจิตใจชั่วช้าและโหดร้าย ผู้ที่อยู่ตรงหน้านางก็เป็นตัวอย่างที่ดี เขามิใช่คนที่เลวร้ายแต่อย่างใด ทว่าเพียงมีจุดยืนที่แตกต่างกับพวกนางเท่านั้น
ในระหว่างการเดินทางต่อไปก็ไม่มีบทสนทนาใดอีก ขณะที่ฉินอวี้โม่ขับเคลื่อนคฤหาสน์เฟิงหัวตรงไปในทิศทางดังกล่าวนานกว่าครึ่งชั่วยามก่อนที่หมอกหนารอบตัวจะค่อย ๆ เบาบางลง
ในเวลานี้ สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าฉินอวี้โม่และสหายคือเกาะขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวกลางมหาสมุทรและนี่คือจุดหมายปลายทางที่พวกนางกำลังตามหา
“มาถึงแล้ว”
บุรุษหนุ่มชุดดำชี้ไปยังเกาะเบื้องหน้าและกล่าวเพียงสั้น ๆ เนื่องจากทราบดีว่าถึงอย่างไรฉินอวี้โม่ก็ไม่มีทางปล่อยตนไปอย่างแน่นอน
เนื่องจากพลังมายาทั้งหมดของเขาถูกปิดผนึกไว้ กอปรกับการติดอยู่ในมิติที่สอง เขาจึงไม่มีวิธีส่งข่าวไปแจ้งคนอื่น ๆ ได้เลย
อย่างไรก็ตาม ต่อให้ทำได้ เขาก็ไม่มีความคิดที่จะส่งข่าวไปแจ้งผู้ใดด้วยซ้ำ อันที่จริง เขาสงสัยใคร่รู้ยิ่งนักว่าฉินอวี้โม่และสหายเหล่านี้จะวางแผนทำสิ่งใดต่อไป
ฉินอวี้โม่และมารยาพยักศีรษะอย่างรู้กันก่อนเริ่มวางข่ายอาคมหลายชนิดไว้รอบคฤหาสน์หลังน้อยเพื่อช่วยในการอำพรางตัว
“คิดไว้ไม่มีผิด พวกเจ้ามีวิธีการบางอย่างอยู่ ไม่แปลกใจเลยที่จะกล้ามาที่เกาะแห่งนี้ด้วยตัวเอง”
เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น บุรุษหนุ่มก็เข้าใจได้ทันทีว่าเหตุใดฉินอวี้โม่จึงกล้าบุกมาที่เกาะลึกลับแห่งนี้ ด้วยมิติที่สองและข่ายอาคมทรงพลังเหล่านี้ แม้แต่บรรดาผู้อาวุโสของเขาก็จะไม่สามารถค้นพบร่องรอยของคนเหล่านี้ได้ง่าย ๆ
“พาพวกข้าไปหาบรรดาสหายที่ถูกจับตัวไว้”
แม้อยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัว ฉินอวี้โม่และทุกคนก็สัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลทั่วทั้งเกาะแห่งนี้ หากบุ่มบ่ามบุกเข้าไป พวกนางอาจต้องเผชิญกับปัญหาที่ยากจะรับมือ
นางกล่าวกับบุรุษหนุ่มเพื่อให้เขานำทางพวกตนไปยังสถานที่ที่สหายจากสามสำนักและเก้านิกายถูกจับตัวไว้โดยเร็ว
“ตรงไปทางทิศตะวันตกและเจ้าจะพบกับพวกเขา อย่างไรก็ตาม บริเวณนั้นมีผีดิบที่น่าสะพรึงกลัวคอยคุ้มกันอยู่และพวกเจ้าไม่มีทางช่วยพวกเขาออกมาได้แน่”
บุรุษหนุ่มชุดดำชี้นิ้วไปยังทิศทางหนึ่งและกล่าวต่อเล็กน้อย
ใช่ว่าเขาดูถูกดูแคลนความสามารถของคนเหล่านี้ เพียงแต่การคุ้มกันทั่วบริเวณลานจัตุรัสนั้นแน่นหนาเกินไปซึ่งฉินอวี้โม่และสหายจะไม่มีโอกาสข้ามผ่านมันได้มากนัก
หากมีคนค้นพบคฤหาสน์เฟิงหัวเข้า พวกนางอาจจะไม่มีโอกาสได้ออกไปจากเกาะแห่งนี้อีก
บุรุษหนุ่มมั่นใจว่าความแข็งแกร่งของบรรดาผู้อาวุโสในเกาะนี้เหนือชั้นกว่าระดับที่ฉินอวี้โม่จะรับมือได้ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็มีไพ่ตายซ่อนไว้มากมาย หากพวกเขาค้นพบตำแหน่งของคฤหาสน์เฟิงหัว ฉินอวี้โม่และสหายเหล่านี้จะตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน
บุรุษหนุ่มกล่าวเตือนฉินอวี้โม่และสหายอย่างจริงใจและพวกนางก็รับฟังเช่นกัน อย่างไรก็ตาม พวกนางก็ยังไม่คิดหาทางช่วยสหายเหล่านั้นในตอนนี้และเพียงต้องการเห็นสถานการณ์ในปัจจุบันเท่านั้น
การหาทางช่วยคนเหล่านั้นหลังจากที่เข้าใจสถานการณ์ทุกอย่างบนเกาะอย่างชัดเจนแล้วก็ยังไม่ถือว่าสายเกินไป
หลังจากมุ่งหน้าไปยังลานจัตุรัสขนาดใหญ่ของเกาะ ฉินอวี้โม่และทุกคนก็สัมผัสได้ถึงสภาวะพลังที่แกร่งกล้าอย่างมากซึ่งทำให้พวกนางหวาดหวั่นในใจ
จอมยุทธ์ปีศาจมีวิธีการพิเศษในการฟื้นคืนชีพจิตวิญญาณที่ตายไปแล้วและพวกนางก็ตระหนักถึงความจริงข้อนี้ดี
ทั่วทั้งเกาะแห่งนี้มีผีดิบท่องอยู่เต็มไปหมด โครงกระดูกสีขาวหนาล่องลอยไปทั่วอากาศและไม่มีทางระบุได้เลยว่าพวกมันคืออสูรชนิดใดเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่
อสูรเหล่านั้นไม่สามารถรับรู้ถึงตัวตนของคฤหาสน์เฟิงหัวขณะสวนทางผ่านฉินอวี้โม่และสหายไปหลายครั้งหลายคราจนทำให้พวกนางประหม่าขึ้นและกังวลว่าผีดิบรอบตัวจะค้นพบพวกตน
นอกเหนือจากผีดิบเหล่านี้ก็ยังมีมนุษย์ที่ดูไร้สติจำนวนหนึ่งเดินสำรวจอยู่รอบ ๆ
หากเปรียบเทียบกัน จอมยุทธ์ปีศาจที่มีสติสัมปชัญญะเป็นของตนเองก็มีจำนวนไม่มากนัก
“คนเหล่านี้ต่างก็เป็นคนของชายฝั่งทางเหนืออย่างนั้นรึ ?”
ฉินอวี้โม่มองสำรวจคนชุดดำรอบตัวที่สวมผ้าคลุมบดบังใบหน้าและดูไร้จิตวิญญาณอย่างพินิจพิจารณาก่อนเกิดความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา
“ถูกต้อง ตอนนี้พวกเขากลายเป็นกองกำลังทหารที่ทรงพลังของเกาะเราแล้ว”
บุรุษหนุ่มไม่ปฏิเสธ เดิมทีคนจากชายฝั่งทางเหนือเหล่านั้นก็ล้วนมีความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดา และหลังจากที่ตายไป การใช้วิธีการพิเศษเพื่อฟื้นคืนชีพก็ทำให้พวกเขามีความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมเสียอีก กล่าวได้ว่าตอนนี้ความแข็งแกร่งของพวกเขาเหนือชั้นกว่าคนของจอมยุทธ์ปีศาจด้วยซ้ำ
ขณะพูดคุยกัน ทุกคนก็มาถึงที่ลานจัตุรัส
ณ ลานจัตุรัสแห่งนี้ ผู้คนที่ถูกจับตัวหลายคนยังล้มกองอยู่บนพื้นและใบหน้าแสดงถึงความหดหู่สิ้นหวัง
พวกเขาทราบถึงชะตากรรมของคนจากชายฝั่งทางเหนือแล้วและตื่นตระหนกอย่างมิอาจควบคุม
การที่ถูกสังหารและถูกปลุกขึ้นมาจากความตายโดยวิธีการที่พิเศษบางอย่างเพื่อให้มีความสามารถในการต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าเดิมช่างเป็นสิ่งที่ฟังดูน่าขนลุกอย่างที่สุด
“ท่านจอมยุทธ์ฉินเทียนจะมาช่วยพวกเรารึไม่ ?”
บรรดาศิษย์หลายคนมีความเคารพนับถือต่อฉินเทียนเป็นอย่างมาก และก่อนหน้านี้การที่หลานเผิงได้รับการดูแลรักษาและถูกส่งตัวไปหาฉินเทียน ศิษย์ของสามสำนักและเก้านิกายก็เริ่มมีความหวังกันขึ้นมา
“ยังมีอีกหลายคนที่ไม่ถูกจับตัวมาที่นี่มิใช่รึ ? บางทีพวกเขาอาจจะเข้ามาช่วยพวกเราก็เป็นได้”
หลายคนฝากความหวังไว้ที่ฉินอวี้โม่และสหาย ทว่าสีหน้ายังแสดงความกังวลอย่างอดไม่ได้
คนชุดดำเหล่านี้ทรงพลังมากเกินไปและเพียงแค่กลุ่มไม่กี่คนของฉินอวี้โม่อาจไม่สามารถช่วยพวกตนทั้งหมดได้ พวกเขาทุกคนต่างก็ทราบถึงความจริงข้อนี้เป็นอย่างดี
บุรุษวัยกลางคนสองคนที่นำทางทุกคนมาจากชายฝั่งทางเหนือก็ยังคงดูสงบนิ่งใจเย็น พวกเขาเพียงมองไปยังบรรดาศิษย์ของพวกตนที่ตายไปแล้วทว่ายังไม่มีโอกาสไปสู่สุคติด้วยแววตาโกรธแค้นชิงชัง
“ฉินเทียนและหลานเผิงอยู่ที่ใด ?”
เมื่อไม่เห็นวี่แววของบิดาและหลานเผิง ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยถามออกไป
“ข้าก็ไม่ทราบ”
บุรุษหนุ่มตอบกลับตามความเป็นจริง ก่อนที่เขาออกไปจากเกาะเพื่อตามหาฉินอวี้โม่และสหาย ในตอนนั้นฉินเทียนยังไม่ถูกจับตัวมา เขาจึงไม่ทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย
“พาพวกข้าไปหาบรรดาผู้อาวุโสของเจ้า”
ฉินอวี้โม่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง หากพิจารณาจากวาจาของศิษย์เหล่านี้ สถานการณ์ของฉินเทียนและหลานเผิงน่าจะดีพอสมควร
จอมยุทธ์ปีศาจเหล่านั้นคงจะกำลังสืบสวนพวกเขาอยู่ ถึงอย่างไรบิดาของนางก็เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบในครานี้และบางทีผู้อาวุโสเหล่านั้นอาจจะต้องการเจรจาร่วมมือกับเขา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ฉินอวี้โม่ก็มั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่าบิดาของตนจะยังปลอดภัยดี
บุรุษหนุ่มชุดดำก็ชี้ไปยังทิศทางที่บรรดาผู้อาวุโสรวมตัวกัน
ฉินอวี้โม่ไม่รอช้าและขับเคลื่อนคฤหาสน์เฟิงหัวตรงไปในทิศทางนั้นอย่างรวดเร็ว
เมื่อมาถึงห้องโถงใหญ่ บทสนทนาระหว่างคนหลายคนก็ดึงดูดความสนใจของพวกนางทันที