ผีดิบเหล่านี้ถูกควบคุมโดยไม้มรณะและวิธีการพิเศษบางอย่าง เพราะเหตุนั้น การเปลี่ยนแปลงจิตสำนึกของพวกมันจึงแทบเป็นไปไม่ได้เลย
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือคิดถูกแล้ว ทางที่ดีที่สุดในตอนนี้คือการใช้ประโยชน์จากผีดิบเหล่านั้นและให้พวกมันทำงานแทนพวกนาง
ตราบใดที่สามารถควบคุมผีดิบเหล่านั้นและปล่อยให้พวกมันรับมือกับจอมยุทธ์ปีศาจ จากนั้นปัญหาของพวกนางก็จะง่ายขึ้นมา
“นายหญิง ในเมื่อมันเป็นพลังแห่งความตาย ท่านก็ทำได้เพียงต่อสู้กับมันได้ด้วยพลังแห่งความตายที่แกร่งกล้ากว่าเท่านั้น ตราบใดที่พลังในร่างกายของท่านเอาชนะพลังแห่งความตายของไม้มรณะได้ ท่านก็อาจจะควบคุมผีดิบพวกนั้นได้”
เสียงของมารยาดังขึ้นในโสตประสาทของฉินอวี้โม่ ก่อนหน้านี้มันได้หารือกับเนตรปีศาจ กิเลนอัคคีและอสูรอื่น ๆ จนได้ข้อสรุปนี้ออกมา
แม้เนตรปีศาจจะสูญเสียความทรงจำในอดีตไปมาก ทว่ามันก็ยังมีความรู้ความเข้าใจในระดับหนึ่ง ในความทรงจำของมันพอจะมีความคุ้นเคยกับสถานการณ์เช่นนี้อยู่บ้าง เพียงแต่มันยังไม่สามารถจดจำได้อย่างชัดเจนนัก
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบา ๆ นี่ก็เป็นวิธีการที่นางคิดไว้เช่นกัน การครอบงำพลังมายาด้วยพลังมายาที่แกร่งกล้ากว่าถือเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพเป็นทุนเดิม คนเหล่านั้นใช้พลังที่แกร่งกล้าเพื่อควบคุมพวกผีดิบ ทว่าตราบใดที่สามารถกำจัดพลังเหล่านั้นไปได้และเปลี่ยนมันให้กลายเป็นพลังของตน พวกนางก็จะไม่เผชิญปัญหากับผีดิบเหล่านี้อีก
เพียงแต่พลังแห่งความตายจะถูกยับยั้งได้โดยพลังแห่งความตายที่แกร่งกล้ามากกว่าเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือและใครอื่นก็ไม่มีพลังแห่งความตายที่แกร่งกล้าในระดับนั้น การทำเรื่องนี้ให้สำเร็จจึงมิใช่เรื่องง่ายเลย
“ตอนนี้เราหาทางสืบก่อนเถอะว่าสือโหลวยังมีไพ่ตายอื่นใดบ้าง จากนั้นเราจะวางแผนกันอีกครั้ง”
ในตอนนี้ยังมีเวลาอีกสองวัน แม้เป็นระยะเวลาที่กระชั้นชิด ฉินอวี้โม่ก็มั่นใจว่าจะสามารถเตรียมความพร้อมได้ทัน
“แล้วเราจะสืบทราบได้อย่างไรว่าสือโหลวมีไพ่ตายใดอยู่บ้าง ?”
ฟู่อวิ๋นซิวขมวดคิ้วมุ่นและเอ่ยถามด้วยความสงสัยเนื่องจากมันเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างยิ่ง พวกเขาไม่สามารถเข้าไปใกล้สือโหลวได้ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับการสืบหาไพ่ตายของอีกฝ่าย หากฉินเทียนเอ่ยถามลองเชิง สือโหลวก็ไม่มีทางบอกตามความจริง และการสืบหาด้วยตัวเองก็ยากเกินไปสำหรับพวกเขา เพราะฉะนั้น การหาทางยืนยันไพ่ตายของสือโหลวจึงยุ่งยากอย่างแท้จริง
“ข้าไปเอง”
จู่ ๆ หานโม่ฉือก็กล่าวขึ้นมาพร้อมกับมีแผนการอยู่ในใจ
“ส่วนใหญ่แล้วคนพวกนั้นไม่ได้รวมตัวกันตลอดเวลา ข้าจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนที่มีตำแหน่งในระดับสูงและหาทางเข้าไปพูดคุยกับสือโหลวเพื่อสืบหาข้อมูลดู ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากนี้เราก็จะบอกกับท่านพ่อตาและให้เขาเข้าไปกับพูดคุยกับสือโหลวพร้อมกับข้า หากทำเช่นนั้น เราก็น่าจะได้ข้อมูลกลับมา”
หานโม่ฉือกล่าวแผนการออกไปนั่นก็คือเขาจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนของจอมยุทธ์ปีศาจโดยให้เนตรปีศาจใช้วิธีการบางอย่างเพื่อตบตามิให้สือโหลวพบจุดบกพร่องใด ๆ
นอกจากนี้หานโม่ฉือจะให้ฉินเทียนไปกับเขาด้วยและเชื่อว่าการที่ร่วมมือกันสองคนจะสามารถตบตาได้อย่างแนบเนียนมากกว่า ไม่ว่าสือโหลวจะชาญฉลาดเพียงใด เขาก็ไม่มีทางสงสัยสิ่งใดอย่างแน่นอน
สำหรับเรื่องพลังแห่งความตาย หานโม่ฉือไม่สามารถช่วยได้มากนัก
หากมีความแข็งแกร่งในระดับของชีวิตภพก่อน การควบแน่นพลังแห่งความตายขึ้นมาเองคงไม่เป็นปัญหาสำหรับเขา น่าเสียดายที่พลังเหล่านั้นหายไปมากแล้วและพลังมายาในร่างของเขาตอนนี้ก็ซับซ้อนมากเกินไป การใช้พลังแห่งความตายจึงเป็นไปไม่ได้เลย
“สำหรับพลังแห่งความตาย เรามีวิธีอยู่ เพียงแต่นายหญิงอาจจะต้องเจ็บปวดทรมานสักหน่อย”
เสี่ยวม่านและอสูรอีกหลายตัวได้หารือกันแล้วและพวกมันมีวิธีที่จะช่วยให้ฉินอวี้โม่มีพลังแห่งความตายได้ อย่างไรก็ตาม วิธีการพิเศษดังกล่าวจะทำให้ฉินอวี้โม่ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดทรมานพอสมควร
“ไม่เป็นไร ข้าเคยผ่านความทุกข์ทรมานมาทุกรูปแบบ วิธีการของพวกเจ้ามิใช่สิ่งที่ต้องคำนึงถึงหรอก”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม แม้ไม่มั่นใจนักว่าเสี่ยวม่านและเหล่าอสูรมีแผนการใด นางก็เตรียมใจไว้แล้วและไม่นึกหวาดหวั่นแม้แต่น้อย
“ถ้าเช่นนั้นเราก็แยกกันก่อน โม่เอ๋อร์ปรับเวลาในคฤหาสน์เฟิงหัวด้วยล่ะ ส่วนเรื่องในโลกภายนอกปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าและท่านพ่อตาเอง”
หานโม่ฉือจับมือฉินอวี้โม่พลางกล่าวด้วยความมั่นใจ ในตอนนี้พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับความยากลำบากเพียงใด พวกเขาก็จะฝ่าฟันมันไปด้วยกัน
หลังจากขับเคลื่อนคฤหาสน์เฟิงหัวกลับมาที่เรือนที่พักชั่วคราวของฉินเทียนอีกครั้ง ฉินอวี้โม่ก็ปรับเวลาให้หนึ่งวันของโลกภายนอกเท่ากับหนึ่งเดือนในคฤหาสน์เฟิงหัวซึ่งเป็นขีดจำกัดที่คฤหาสน์เฟิงหัวสามารถทำได้ในปัจจุบัน
เป็นเวลาเดียวกับที่หานโม่ฉือพุ่งตัวออกจากคฤหาสน์เฟิงหัวก่อนที่แสงสว่างจ้าจะปกคลุมทั่วร่างของเขา จากนั้นเขาก็เปลี่ยนกลายเป็นรูปลักษณ์ของผู้อาวุโสคนหนึ่งที่ดูไม่แตกต่างไปจากตัวจริงแม้แต่น้อย
ทุกคนในเกาะนี้สวมหน้ากากบดบังใบหน้า ตราบใดที่มีพลังแห่งความตายแผ่ออกมาจากร่างกายมากพอ พวกเขาก็จะไม่นึกสงสัยสิ่งใดและไม่จำเป็นต้องกังวลมากนัก
“ท่านพ่อตา ไปกันเถอะขอรับ”
ในเวลานี้ฉินเทียนก็ได้ทราบถึงแผนการของฉินอวี้โม่แล้วและไม่ขัดข้องแม้แต่น้อย เขาทราบดีว่าตนเองควรทำอย่างไรและพยักศีรษะก่อนเดินไปยังห้องโถงหลักกับหานโม่ฉือ
ณ คฤหาสน์ของสือโหลว ในเวลานี้สือโหลวกลับไปที่ห้องนอนแล้วและเตรียมหลับตาลงเพื่อบ่มเพาะวิชา ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ก็กลับไปยังเรือนของตนแล้วเช่นกัน นี่จึงเป็นเวลาที่หานโม่ฉือและฉินเทียนจะถูกสงสัยน้อยที่สุด
“ผู้อาวุโสสือ ท่านนอนหลับไปหรือยังขอรับ ?”
เมื่อมาถึงห้องนอนของสือโหลว หานโม่ฉือก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกับผู้อาวุโสที่เขาปลอมตัว
“สือฉิน มีเรื่องอะไรรึ ?”
เสียงของสือโหลวขานตอบกลับมาก่อนประตูจะค่อย ๆ เปิดออกอย่างช้า ๆ
เวลานี้หานโม่ฉือปลอมตัวเป็นสือฉินผู้ซึ่งมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับสือโหลวอยู่เล็กน้อยและเป็นหนึ่งในคนที่สนิทสนมกับสือโหลวมากที่สุดในเกาะแห่งนี้
“ก่อนหน้านี้ข้านึกกังวลขึ้นมาจึงได้ไปตรวจดูความเรียบร้อยที่เรือนของฉินเทียน ทว่าเมื่อพบกับเขา เขาก็บอกว่าต้องการพบท่าน ข้าจึงพาเขามาที่นี่”
หานโม่ฉือเตรียมเหตุผลที่เหมาะสมมาแล้วและกล่าวออกไปโดยที่ไม่มีพิรุธแม้แต่น้อย
“โอ้ งั้นรึ ? ท่านจอมยุทธ์ฉินเทียนต้องการพบข้าเพราะเหตุอันใดรึ ?”
สือโหลวผายมือเชิญพวกเขาเข้ามาและเตรียมน้ำชาให้กับแขกทั้งสอง
เวลานี้สือโหลวไม่สวมหน้ากากบดบังใบหน้าและเผยให้เห็นใบหน้าของบุรุษวัยกลางคนที่ดูธรรมดาไม่โดดเด่น
“ผู้อาวุโสสือ ข้าไตร่ตรองพักใหญ่แล้วและรู้สึกว่าการเข้าร่วมกับจอมยุทธ์ปีศาจมิใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ท่านเคยสืบเรื่องของข้าก่อนหน้านี้แล้วและน่าจะทราบดีว่าข้าไม่ได้มาจากตระกูลที่ทรงพลัง อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ข้าก็เป็นถึงรองจ้าวนิกายของนิกายกระบี่สายฟ้า หวังว่าผู้อาวุโสสือจะแสดงความจริงใจกับข้าสักหน่อย”
ฉินเทียนไม่กล่าวเกริ่นให้เสียเวลาและกล่าวเข้าประเด็นโดยตรง นี่คือบทสนทนาที่เขาเตรียมมาก่อนหน้านี้แล้ว
“ท่านจอมยุทธ์ฉินเทียนต้องการให้เราแสดงความจริงใจอย่างไรรึ ?”
เป็นจริงดังที่คิดไว้ สือโหลวไม่นึกสงสัยแม้แต่น้อยและเอ่ยถามพร้อมขมวดคิ้วอย่างใคร่รู้
“ข้าอยากทราบข้อมูลเกี่ยวกับเกาะแห่งนี้และวิธีการควบคุมพวกผีดิบ รวมถึงเรื่องที่ว่าผู้อาวุโสสือคิดจะจัดการกับศิษย์ของสามสำนักและเก้านิกายอย่างไร”
ฉินเทียนเอ่ยถามออกไปสองสามคำถาม เขาทราบดีว่าสือโหลวอาจไม่ตอบตามความจริงทว่าเขาก็ไม่สนใจเท่าใดนัก
“ฮ่า ๆ ๆ เรื่องเกาะแห่งนี้…วันพรุ่งนี้ข้าจะพาท่านจอมยุทธ์ฉินเทียนไปเที่ยวชมรอบ ๆ เกาะเอง ส่วนเรื่องที่ว่าจะจัดการกับศิษย์ของสามสำนักและเก้านิกายอย่างไร ข้าจะให้ท่านจอมยุทธ์ฉินเทียนตัดสินใจก็แล้วกัน สำหรับวิธีการควบคุมผีดิบ…เมื่อท่านจอมยุทธ์ฉินเทียนเข้าร่วมกับขุมกำลังของเราอย่างเป็นทางการ ท่านผู้นำจะบอกกับท่านด้วยตัวเอง”
สือโหลวยิ้มและอธิบายรายละเอียดทั้งจริงและไม่จริงปะปนกัน
“เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปเที่ยวชมรอบ ๆ เกาะกับผู้อาวุโสสือในวันพรุ่งนี้ก่อนที่จะตัดสินใจครั้งสุดท้าย”
ฉินเทียนพยักศีรษะและลุกขึ้นเดินจากไป ทว่าในเวลานี้ก็เหลือเพียงหานโม่ฉือในคราบของสือฉินและสือโหลวเท่านั้น
“พี่โหลว เหตุใดท่านจึงไม่บอกเขาไปล่ะ ? หากบอกเขาไป บางทีเขาอาจจะยินดีเข้าร่วมขุมกำลังเรามากขึ้น”
หานโม่ฉือเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูสนิทสนมกัน
“เรื่องนี้เป็นความลับของพวกเรา มีที่ไหนที่จะบอกเขาได้ง่าย ๆ”
สือโหลวส่ายศีรษะเบา ๆ พร้อมกับสบตาสือฉิน