ภายในลานกว้างของเรือนที่พัก ฮวาเยว่และศิษย์ของนิกายหมื่นบุปผาหลายคนกำลังล้อมรอบเหลียนซวงและเหลียนอู้ด้วยสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์
หากคนทั้งสองคิดจะทำสิ่งใดที่เป็นภัยต่อฉินอวี้โม่ พวกนางไม่มีทางอยู่เฉยอย่างแน่นอน เหลียนซวงและเหลียนอู้นิ่งเงียบผิดปกติตลอดเวลาการเดินทาง ไม่คิดเลยว่าทั้งสองจะเผยเขี้ยวเล็บเมื่อมาถึงที่ชายฝั่งทางเหนือ
“ท่านผู้คุมกฎฝั่งซ้าย ท่านเข้าใจพวกเราผิดแล้วเจ้าค่ะ เราไม่ได้มีความคิดที่จะทำอะไรศิษย์น้องอวี้โม่เลย สิ่งเหล่านั้นมีไว้เพื่อจัดการกับศัตรูที่อาจจะซ่อนตัวอยู่ในหมู่พวกเราเท่านั้นเจ้าค่ะ”
สีหน้าของเหลียนซวงและเหลียนอู้บิดเบี้ยวเหยเกเล็กน้อย พวกนางหวาดหวั่นต่อความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่จึงพยายามหาซื้อโอสถทรงพลังจำนวนหนึ่งโดยวางแผนที่จะหาโอกาสวางยาฉินอวี้โม่ก่อนสั่งสอนบทเรียนให้นางอย่างสาสมเพื่อสะสางความแค้นที่มีต่อกัน
เพียงแต่คาดไม่ถึงเลยว่าแผนการของพวกนางจะถูกเปิดโปงและถูกขัดขวางโดยฮวาเยว่และศิษย์คนอื่น ๆ เช่นนี้
“เหอะ พวกข้าทราบดีว่าเจ้าทั้งสองคิดจะทำสิ่งใด ไม่จำเป็นต้องมาเสแสร้งอยู่ที่นี่หรอก ในเมื่อพวกเจ้ามาที่นี่กับเราก็ควรที่จะประพฤติตัวให้เหมาะสม หากกล้าแม้แต่คิดจะลงมือทำอะไรอีกละก็…ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะขุดหลุมฝังพวกเจ้าอยู่ที่ชายฝั่งทางเหนือตลอดไป !”
น้ำเสียงของฮวาเยว่แสดงคำข่มขู่อย่างชัดเจนพร้อมกับมีสีหน้าที่จริงจังซึ่งพบเห็นได้ยาก
โดยปกติแล้วนางไม่สนใจการกระทำของศิษย์ฝั่งขวามากนัก ทว่านางไม่อาจทนนิ่งเฉยกับการกระทำของเหลียนซวงและเหลียนอู้ได้อีก
หากทั้งสองมีเจตนาที่ชั่วร้ายใด ๆ อีก นางก็ไม่รังเกียจที่จะขุดหลุมฝังพวกนางให้อยู่ที่ชายฝั่งทางเหนือแห่งนี้ไปตลอดกาล
“ท่านผู้คุมกฎฝั่งซ้าย เราจะจดจำไว้ให้ขึ้นใจเจ้าค่ะ”
เหลียนซวงและเหลียนอู้พยักหน้าหงึกหงักทันทีขณะพยายามซ่อนความชิงชังในแววตา
“ท่านผู้คุมกฎฝั่งซ้าย ศิษย์พี่ทั้งหลาย”
ฉินอวี้โม่ซึ่งมาถึงด้านนอกทันได้ยินบทสนทนาของคนเหล่านี้พอดิบพอดี นางก็รู้สึกซาบซึ้งใจในการกระทำของฮวาเยว่และศิษย์พี่เหล่านี้อย่างมาก เพียงแต่ไม่แสดงออกทางสีหน้าจนชัดเจนเกินไป
“อวี้โม่ เจ้ากลับมาแล้ว”
เมื่อได้ยินเสียงของฉินอวี้โม่ ฮวาเยว่และคนอื่น ๆ ก็เลิกสนใจเหลียนซวงและเหลียนอู้ทันทีขณะหันมาทักทายฉินอวี้โม่พร้อมรอยยิ้มกว้าง
“สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง ?”
ฮวาเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อยและเอ่ยถามออกไป ก่อนหน้านี้นางก็ต้องการเดินทางไปที่มหาสมุทรทางเหนือด้วยตัวเอง ทว่าบังเอิญสังเกตเห็นการกระทำลับ ๆ ล่อ ๆ ของเหลียนซวงเสียก่อนจึงล่าช้าอยู่ที่นี่และไม่ทราบถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
“เชิญผู้คุมกฎฝั่งซ้ายและศิษย์พี่ทุกท่านในเรือนก่อนเถอะเจ้าค่ะ ข้าจะเล่าทุกอย่างให้ฟังอย่างละเอียด”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะให้กับทุกคนและไม่คิดที่จะปิดบังสิ่งใดจากคนเหล่านี้
ฮวาเยว่ยังเชื่อมั่นในตัวของฮวาฟางเฟยพอสมควร หากไม่กล่าวเตือนสติออกไป เกรงว่าฮวาเยว่อาจเผชิญวิกฤตเนื่องจากความไว้วางใจดังกล่าวในอนาคต และนั่นมิใช่สิ่งที่ฉินอวี้โม่ต้องการให้เกิดขึ้น
เหลียนซวงและเหลียนอู้ต้องการตามไปด้วย ทว่าฉินอวี้โม่ขัดขวางพวกนางไว้อย่างรวดเร็ว
“ศิษย์พี่ทั้งสองไม่ต้องมาหรอก ข้าไม่มีอะไรจะพูดด้วย”
ทั้งสองเป็นศิษย์ที่ติดตามฮวาหรงและฉินอวี้โม่ก็คาดเดาไว้ว่าฮวาหรงอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับจอมยุทธ์ปีศาจเช่นกัน เพราะเหตุนั้น นางจึงไม่มีทางปล่อยให้ทั้งสองได้ทราบถึงข้อมูลของตนอย่างแน่นอน
“ฉินอวี้โม่ อย่าให้มันมากเกินไปนัก !”
เหลียนซวงกัดฟันกรอดและกล่าวอย่างฉุนเฉียว
“อวี้โม่หมายความว่าอย่างไร ข้าก็หมายความว่าอย่างนั้น เราไปหารือกันเถอะ ส่วนพวกเจ้าทั้งสอง…กลับไปที่ห้องและทบทวนความผิดของตนเองเสีย !”
ฮวาเยว่กล่าวขึ้นเบา ๆ ด้วยวาจาที่ทำให้สีหน้าของทั้งสองบิดเบี้ยวยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
ทุกคนไม่สนใจเหลียนซวงและเหลียนอู้อีกต่อไปขณะมุ่งหน้าเข้าไปในเรือนด้วยกัน จากนั้นฮวาเยว่ก็แผ่พลังมายาออกไปล้อมรอบบริเวณห้องเพื่อป้องกันมิให้ผู้ใดแอบฟังบทสนทนาที่กำลังจะเกิดขึ้น
“อวี้โม่ เล่ามาได้เลย”
ในหัวใจของนางมีข้อสันนิษฐานบางอย่างอยู่แล้ว เพียงแต่ยังไม่อยากเชื่อมันเท่านั้น
“ท่านผู้คุมกฎฝั่งซ้าย บางทีท่านอาจจะไม่อยากเชื่อ แต่ข้ามั่นใจว่าท่านจ้าวนิกายและพวกจอมยุทธ์ปีศาจมีความเกี่ยวข้องกันอย่างแน่นอน บางทีผู้อาวุโสในฝั่งขวาและผู้คุมกฎฮวาหรงก็อาจเกี่ยวข้องเช่นกัน”
ฉินอวี้โม่กล่าวบอกกฮวาเยว่และคนอื่น ๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ได้พบก่อนหน้านี้
“นี่มันเป็นไปได้อย่างไร…จ้าวนิกายของเรามีความเกี่ยวข้องกับจอมยุทธ์ปีศาจอย่างนั้นรึ ?!”
เซียงหร่วนกล่าวด้วยความไม่อยากเชื่อ แม้ไม่เคยพบปะใกล้ชิดกับฮวาฟางเฟยมากนัก นางและคนอื่น ๆ ก็ไม่อยากเชื่อเลยว่าฮวาฟางเฟยจะร่วมมือกับขุมกำลังชั่วร้ายอย่างจอมยุทธ์ปีศาจ
จอมยุทธ์ปีศาจเป็นปฏิปักษ์ต่อขุมกำลังทั้งหมดในดินแดนมหาเทพ หากฮวาฟางเฟยเกี่ยวข้องกับคนเหล่านั้นจริง ในฐานะศิษย์ของนิกายหมื่นบุปผา พวกนางควรทำอย่างไร…
“ข้าเองก็ยังไม่ทราบว่าเหตุใดท่านจ้าวนิกายถึงต้องคบหาสมาคมกับจอมยุทธ์ปีศาจเหล่านั้น ทว่ามันเป็นความจริง หากเดาไม่ผิด ท่านจ้าวนิกายน่าจะให้เหลียนซวงหาทางขัดขวางพวกเราเพื่อมิให้เราลงมือทำสิ่งใดได้อย่างเต็มที่ ตราบใดที่เราเพียงเฝ้ารอดู ข้าเชื่อว่าทุกอย่างจะชัดเจนมากขึ้น”
ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นเบา ๆ แม้ไม่ทราบเลยว่าเหตุใดฮวาฟางเฟยจึงมีปฏิสัมพันธ์กับจอมยุทธ์ปีศาจได้ ทว่านางก็คาดเดาแผนการต่อไปได้อย่างง่ายดาย
เหลียนซวงเป็นศิษย์คนโปรดของฮวาหรง ก่อนออกเดินทางมาที่นี่ เชื่อว่าฮวาหรงจะต้องมอบวิธีการบางอย่างเพื่อใช้ในการติดต่อสื่อสารกัน ก่อนหน้านี้ฮวาฟางเฟยก็ไม่คิดขัดขวางสือโหลวอย่างเต็มที่และนางจะต้องหาทางสร้างปัญหากวนใจเพื่อมิให้ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ได้เคลื่อนไหวอย่างสะดวกเป็นแน่
“ผู้คุมกฎฝั่งซ้าย ข้าขอตัวไปข้างนอกสักสองสามวันนะเจ้าคะ คงต้องฝากท่านส่งคนไปจับตาดูเหลียนซวงไว้สักหน่อย”
สำหรับการค้นหาตำแหน่งของไข่มุกเลี่ยงวารี ฉินอวี้โม่จะต้องออกไปด้วยตัวเองและไม่มีเวลาจัดการปัญหาในเรื่องนี้ เพราะเหตุนั้น นางจึงแจ้งให้ฮวาเยว่ทราบเป็นการล่วงหน้า
“เข้าใจแล้ว ไปจัดการธุระของเจ้าให้เรียบร้อยเถอะ ข้าจะจับตาดูสองคนนั้นและควบคุมให้อยู่ในโอวาทเอง จะไม่ให้เกิดปัญหาใด ๆ ขึ้นมาอย่างแน่นอน !”
ฮวาเยว่พยักศีรษะและมีแผนการอยู่ในใจแล้ว
นับตั้งแต่เรื่องของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นก่อนหน้านี้ ฮวาเยว่ก็สงสัยในตัวฮวาฟางเฟยอยู่เล็กน้อย การที่ฉินอวี้โม่กล่าวยืนยันอีกในครานี้ แม้ฟังดูเป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ แต่นางก็ปักใจเชื่อมันในทันที จ้าวนิกายของตนมีความลับบางอย่างซ่อนไว้จริงและนางจะประมาทไม่ได้โดยเด็ดขาด…
“ข้าคงต้องรบกวนท่านผู้คุมกฎฝั่งซ้ายและศิษย์พี่ทั้งหลายด้วยนะเจ้าคะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มให้กับทุกคนและรู้สึกซาบซึ้งใจที่พวกนางเชื่อมั่นในวาจาของตนอย่างไร้เงื่อนไข อีกทั้งยังยินดีช่วยเหลืออย่างเต็มที่เช่นนี้
นางเป็นเพียงศิษย์ใหม่ของนิกาย การได้รับความไว้วางใจจากคนเหล่านี้เป็นความรู้สึกที่ดียิ่งนัก
“ศิษย์น้องอวี้โม่ไม่ต้องเกรงใจพวกเราหรอก นี่คือสิ่งที่พวกเราควรทำอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องขอบคุณกันหรอก”
ศิษย์พี่หลายคนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม พวกนางไม่สามารถช่วยอะไรได้มากนัก เพราะฉะนั้น การจับตาดูเหลียนซวงและเหลียนอู้ก็ถือว่าเป็นการทำให้พวกนางได้มีส่วนช่วยอะไรสักอย่างบ้างแล้ว
หลังจากพูดคุยกันพักใหญ่ ฉินอวี้โม่ก็กลับเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัว
ภายในคฤหาสน์ล่องหน ในที่สุดไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคย
“นายหญิง ดูเหมือนจะมีกลิ่นอายของไข่มุกเลี่ยงวารีอยู่ในฝั่งตะวันออก ทว่ามันเบาบางมาก ข้าไม่สามารถระบุพิกัดที่แน่ชัดของมันได้ ท่านคงต้องไปดูด้วยตัวเอง”
เสียงของไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ดังขึ้นในหูของฉินอวี้โม่ทว่าเจือด้วยน้ำเสียงของความไม่มั่นใจนัก
“ฝั่งตะวันออกงั้นรึ ?”
ฉินอวี้โม่ขมวดคิ้วเล็กน้อยทันที น่านน้ำฝั่งตะวันออกของชายฝั่งทางเหนือคือบริเวณที่แทบไม่มีผู้ใดย่างกรายเข้าไป กล่าวกันว่ามหาสมุทรในบริเวณนั้นเต็มไปด้วยวิกฤตอันตรายและมีอสูรมายาที่ทรงพลังเป็นจำนวนมาก แม้แต่ชาวพื้นเมืองของชายฝั่งทางเหนือก็ไม่กล้าผ่านไปทางนั้นง่าย ๆ
เกาะโดดเดี่ยวที่พวกนางเดินทางไปก่อนหน้านี้อยู่ในมหาสมุทรฝั่งทิศตะวันตก ทว่าไข่มุกเลี่ยงวารีที่กำลังตามหาอยู่ในฝั่งตะวันออก ยิ่งไปกว่านั้น การที่ไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของมันก็น่าจะหมายความว่าไข่มุกเลี่ยงวารีอยู่ที่นั่นจริงและมิใช่ร่องรอยเดิมที่หลงเหลือไว้จากเมื่อหลายพันปีก่อน
ถึงอย่างไรเวลาก็ผ่านมาเนิ่นนานแล้วนับตั้งแต่ไข่มุกเลี่ยงวารีปรากฏขึ้นมาครั้งล่าสุด ต่อให้จะมีร่องรอยกลิ่นอายของมันหลงเหลือไว้ในตอนนั้น มันก็ต้องหายไปนานแล้วและไม่มีทางที่จะคงอยู่มาจนถึงตอนนี้
“ไปกันแค่เราสองคนเถอะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวและหันไปสบตากับหานโม่ฉือ บริเวณทางตะวันออกของมหาสมุทรเต็มไปด้วยอันตรายมากมายและการที่ผู้คนจำนวนมากเดินทางไปที่นั่นด้วยกันจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร เพราะฉะนั้น นางและหานโม่ฉือจะไปที่นั่นเพียงสองคน
“เข้าใจแล้ว ถ้าเช่นนั้นพวกเราจะอยู่ที่ชายฝั่งทางเหนือและคอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของพวกจอมยุทธ์ปีศาจไว้”
อวิ๋นซื่อเทียนไม่ขัดข้องและพยักศีรษะตอบตกลง
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ไม่รอช้าและออกเดินทางมุ่งหน้าไปทางตะวันออกของมหาสมุทรอย่างรวดเร็ว