“นายหญิง ข้ารู้เจ้าค่ะ คำตอบที่ถูกต้องคือ หากว่าเราเห็นความอยุติธรรมเราก็ต้องรีบเข้าไปช่วย”
เสือสาวตัวน้อยเสี่ยวเยี่ยเอ่ยคำตอบออกมาเป็นตัวสุดท้าย ในที่สุดฉินอวี้โม่ก็ได้ยินคำตอบที่น่าฟังเสียที
“ใช่ ถูกอย่างที่เสี่ยวเยี่ยพูด วันนี้พวกเราทุกคนจะทำตัวเป็นคนดีกัน”
ฉินอวี้โม่ประกาศด้วยรอยยิ้ม นางคิดว่ากลุ่มของสือซานเป็นคนดี เมื่อได้เห็นพวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเช่นนี้แล้ว ถ้าหากนางยังไม่คิดช่วยเหลือก็ถือว่าใจดำมากเกินไป
“แหม ที่นี่ช่างครึกครื้นกันจริง ๆ นะเจ้าคะ– อุ๊ย !”
ฉินอวี้โม่เดินเข้าไปในสมรภูมิเลือดพล่านนั้นอย่างช้า ๆ คุณหนูคนงามเล่นละครเป็นสาวน้อยใสซื่อไร้เดียงสาที่บังเอิญเดินผ่านมาพบพวกเขาเข้า ต่อจากนั้นนางก็แสร้งทำทีเป็นตกใจเมื่อเห็นว่าตนกำลังอยู่ในสถานการณ์นองเลือด
เมื่อได้ยินเสียงเอ่ยถามหวานสดใสและพบว่าจู่ ๆ สตรีงดงามราวเทพเซียนก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน กลุ่มบุรุษที่กำลังต่อสู้กันอยู่อย่างเอาเป็นเอาตายก็หยุดชะงักไป
“พี่ใหญ่ นั่นไม่ใช่แม่นางที่เราเจอก่อนหน้านี้หรือ ?”
เมื่อการต่อสู้หยุดลงชั่วคราว กลุ่มคนที่มากับสือซานก็รีบไปยืนรวมตัวกันข้าง ๆ พี่ใหญ่ของพวกเขา พวกเขาทุกคนจดจำฉินอวี้โม่ได้จึงจ้องมองนางด้วยความประหลาดใจ
สือซานนั้น เมื่อเห็นสตรีบอบบางที่ก่อนหน้านี้เขาเคยรุกรานเพราะความเข้าใจผิดก็นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ทว่าไม่นานนักแววแห่งความกังวลก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา สุภาพบุรุษนภมายาไม่มีความลังเลใด ๆ เขาพาคนของเขาเข้าไปยืนบังร่างฉินอวี้โม่เอาไว้ก่อนที่ฝ่ายของหลิวเหนิงจะได้สติรู้ตัว
“บ้าจริง แม่นาง เหตุใดเจ้าถึงได้เดินเข้ามาที่นี่ ?!”
สือซานถามอย่างร้อนรนก่อนจะกล่าวต่อ “ตอนนี้พวกเรากำลังรับมือกับคนพวกนั้นอยู่ เจ้าหลิวเหนิงหัวหน้าของพวกมันเป็นคนต่ำช้ามาก รีบหนีไปก่อนที่มันจะเพ่งความสนใจมาที่เจ้า”
เมื่อได้ยินที่สือซานกล่าว มุมปากของฉินอวี้โม่ก็ปรากฏเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ ขึ้น แม้สถานการณ์ของตัวเองจะย่ำแย่ถึงเพียงนี้ แต่กลุ่มคนตรงหน้าก็ยังเลือกจะช่วยระวังความปลอดภัยให้นางก่อน ที่นางคิดไว้ไม่ผิด คนเหล่านี้เป็นคนดีจริง ๆ
“แม่นาง รีบหนีไปเร็ว พวกเราจะช่วยสกัดพวกมันไว้ให้”
เสี่ยวอู่เองก็เอ่ยขึ้นมาขณะพยายามคุ้มกันสตรีร่างบางที่อยู่ด้านหลังอย่างเต็มที่ ยามนี้พวกพ้องของหลิวเหนิงเริ่มเปิดฉากการโจมตีขึ้นมาอีกครั้งแล้ว
“เหอะคิดจะหนีอย่างนั้นรึ ฝันไปเถอะ !”
เมื่อหายจากอาการตกตะลึงและรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนแล้ว หลิวเหนิงก็ให้ความสนใจกับเทพธิดาผู้หลงทางมาทันที บุรุษใจอำมหิตโบกมือเพียงหนึ่งครั้งคนของเขาทั้งหมดก็เข้าไปล้อมฉินอวี้โม่รวมถึงกลุ่มของสือซานไว้อย่างรวดเร็ว
“หลิวเหนิง ความบาดหมางระวังเราไม่เกี่ยวกับแม่นางคนนี้”
แต่เดิมสือซานตัดสินใจจะทุ่มพลังทั้งหมดเล่นงานอีกฝ่ายก่อนจะทำลายป้ายแล้วยอมสอบตก ในตอนนี้เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปแล้วเขาจึงต้องคิดใหม่อีกครั้ง ใบหน้าของจอมยุทธ์นภมายาผู้มีคุณธรรมเต็มไปด้วยความกังวลชัดเจน การมีหญิงสาวอ่อนแอเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยทำให้เขาเริ่มทำสิ่งใดไม่ถูก
“หึ หึ หึ ฮึ หึ หึ ฮ่า ฮะ ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ไม่คิดเลยว่าคุณชายสือจะยังอุตส่าห์มีน้ำใจทำตัวเป็นวีรบุรุษผู้กล้าช่วยเหลือสาวงามในเวลาเช่นนี้อีก ! ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ วะ ฮะ ฮะ ฮ่า ๆ ๆ ๆ”
หลิวเหนิงระเบิดหัวเราะอย่างวิปริตก่อนจะกล่าวต่อ “พวกเราจะยอมปล่อยนางไปก็ได้ เพียงแต่เจ้าต้องยอมคุกเข่าต่อหน้าข้าและร้องขอความเมตตาจากข้าผู้นี้เสียก่อน แล้วก็จงส่งป้ายผู้เข้าสอบที่พวกเจ้ามีมาให้หมดด้วย”
วาจาของหลิวเหนิงทำให้สีหน้าของสือซานเปลี่ยนไป
“เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้ ไอ้คนบัดซบ แม้แต่ในความฝันก็อย่าหวังว่าพี่ใหญ่ของเราจะคุกเข่าให้”
เสี่ยวอู่ตวาดเสียงดังปฏิเสธข้อเสนอของหลิวเหนิงในทันที ข้อเสนอที่ให้ส่งแผ่นป้ายทั้งหมดไปให้พวกมันนั้นยังพอรับได้ แต่การจะให้สือซานพี่ใหญ่ของเขาคุกเข่าให้คนหยาบช้าเช่นนั้น พวกเขายอมรับไม่ได้
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ เจ้าไม่อยากจะเป็นวีรบุรุษช่วยเหลือสาวงามหรอกหรือ ? อะไรกันเล่า กับแค่ต้องคุกเข่าครั้งเดียวก็ถอดใจที่จะทำความดีเป็นวีรบุรุษแล้วอย่างนั้นรึ ?”
หลิวเหนิงกล่าวด้วยรอยยิ้มเย้ย วาจาของเขาแสดงเจตนาเสียดสีไม่ปิดบัง ยิ่งกว่านั้นน้ำเสียงที่ใช้กล่าวยังเต็มไปด้วยความหฤหรรษ์
“ก็ได้ ข้าจะยอมคุกเข่าขอเพียงเจ้าปล่อยพี่น้องของข้าและแม่นางผู้นั้นไป”
หลังจากครุ่นคิดเพียงไม่นานสือซานก็กล่าวขึ้น เขาจ้องมองหลิวเหนิงด้วยใบหน้าและแววตาอันแน่วแน่ปราศจากความลังเล
“ฮ่า ๆ ๆ ตกลง ขอเพียงเจ้ายอมคุกเข่าขอโทษข้าและพี่น้องของเจ้าส่งแผ่นป้ายมา ข้าสัญญาว่าจะยอมปล่อยพวกมันไป”
เมื่อได้ยินคำตอบของสือซาน หลิวเหนิงก็หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ
บุรุษผู้มีคุณธรรมนามว่าสือซานกัดฟันแล้วก้าวเดินออกไปด้านหน้า
“อย่าคุกเข่าเลยพี่ใหญ่ ท่านก็น่าจะรู้ดีว่าหลิวเหนิงต่ำช้าแค่ไหน ถึงมันอ้างว่าจะยอมปล่อยพวกเราไป แต่ข้าเชื่อว่ามันไม่มีทางทำตามที่พูดแน่ !”
เมื่อเห็นสิ่งที่สือซานกำลังจะทำ เสี่ยวอู่และพวกพ้องที่เหลือก็รีบร้องห้ามปราม
“เสี่ยวอู่ถ้าหากว่ามีแค่พวกเราก็ไม่มีอะไรต้องกลัว ข้าจะสู้กับมันให้รู้ดำรู้แดงไปข้างหนึ่ง แต่ตอนนี้เรามีแม่นางผู้บริสุทธิ์ผู้นี้อยู่ด้วย แม้ว่าจะมีโอกาสน้อยนิดข้าก็อยากจะลองพยายามดู พวกเจ้าก็น่าจะรู้ดีว่าหากนางตกไปอยู่ในมือของหลิวเหนิงผลลัพธ์จะเป็นยังไง !”
สือซานมองฉินอวี้โม่ก่อนจะหันไปมองพี่น้องของเขาแล้วกล่าวอย่างแน่วแน่ เขาไม่ได้โกรธเคืองการปรากฏตัวกะทันหันอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ของแม่นางผู้บอบบางผู้นี้แม้แต่น้อย
“ฟังข้าให้ดี หากว่าเจ้าคนชั่วช้านั่นยังปฏิเสธไม่ยอมให้เราไป พวกเจ้าต้องปกป้องแม่นางผู้นั้นและหาทางหนีไปให้ได้ ข้าจะทุ่มสุดกำลังเพื่อยื้อพวกมันไว้ให้เอง !”
สือซานเอ่ยปากสั่งคนของเขาก่อนจะก้าวเดินออกไปโดยไม่รั้งรออีก
วาจาของสือซานและท่าทางที่เขาเดินเข้าไปหาหลิวเหนิงอย่างอาจหาญนั้นสั่นคลอนจิตใจของฉินอวี้โม่อยู่ไม่น้อย
คนเหล่านี้เป็นคนดีเกินไปแล้ว พวกเขาออกท่าทางปกป้องนางเสียจนทำให้อดีตนักฆ่าสาวอดคิดไม่ได้ว่านางอาจจะสวมบทบาทเป็นหญิงสาวผู้อ่อนแอได้แนบเนียนเกินไป
“ขออภัย เจ้าชื่อหลิวเหนิงใช่หรือไม่?”
ในขณะที่สือซานกำลังจะคุกเข่าลง ฉินอวี้โม่ก็ไปปรากฏตัวขึ้นข้างกายบุรุษผู้องอาจและรั้งตัวเขาเอาไว้
สือซานที่ถูกฉินอวี้โม่ดึงหยุดยั้งไว้ประหลาดใจเป็นอย่างมาก ก่อนที่เขาจะหันหน้าไปทางพี่น้องของเขา “ข้าบอกพวกเจ้าไปแล้วไม่ใช่หรือว่าให้คุ้มกันแม่นางคนนี้ ?”
เสี่ยวอู่และคนอื่น ๆ ได้แต่ยืนงุนงง ในตอนที่แม่นางคนงามหายตัวไปปรากฏข้างพี่ใหญ่นั้น พวกเขาไม่รู้สึกตัวเลยด้วยซ้ำ เมื่อเห็นอีกครั้งนางก็หยุดพี่ใหญ่เอาไว้แล้ว เช่นนี้จะให้โทษพวกเขาได้อย่างไร ?
“หือ งดงาม งดงามมากจริง ๆ”
หลังจากมองเห็นรูปลักษณ์ของฉินอวี้โม่อย่างชัดเจนดวงตาของหลิวเหนิงก็เปล่งประกายขึ้นมา
“สือซาน ข้าไม่สงสัยแล้วว่าเหตุใดเจ้าถึงได้ยอมคุกเข่าต่อหน้าข้าเพื่อปกป้องสตรีผู้นี้ ที่แท้นางก็งดงามถึงเพียงนี้นี่เอง ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ข้าไม่ต้องการป้ายของพวกเจ้าแต่ข้าจะพาผู้หญิงคนนี้ไป ฮ่า ๆ ๆ ๆ”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่เข้ามาใกล้ สือซานก็รู้ได้ในทันทีว่าสถานการณ์จะต้องย่ำแย่ลงเป็นแน่ ในตอนแรกที่หลิวเหนิงยังเห็นแม่นางคนงามคนนี้ได้ไม่ชัด บางทีมันอาจจะยอมปล่อยนางไป ทว่าเมื่อมันเห็นรูปลักษณ์ของนางอย่างแจ่มแจ้งแล้ว แน่นอนว่าเวลานี้ก็ยากเหลือเกินที่หลิวเหนิงคนบัดซบจะยอมลามือไป
ในตอนนี้สือซานรู้สึกสิ้นหวังเป็นอย่างมาก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็คงไม่อาจเลี่ยงได้แล้ว บุรุษคุณธรรมสูงหันหลังไปส่งสายตาเป็นสัญญาณบอกให้พี่น้องของเขาได้รับรู้ ก่อนจะรีดเค้นพลังทั้งหมดที่เหลือเตรียมตัวเตรียมใจสู้ตายกับอีกฝ่าย
“เจ้าคิดจะพาข้าไปไหนรึ ?”
เมื่อได้ยินสิ่งที่หลิวเหนิงกล่าว ฉินอวี้โม่ก็สลัดคราบสตรีใสซื่อทิ้งไปจนหมดสิ้น นักฆ่าสาวในร่างคุณหนูคนงามยิ้มอย่างเย้ยหยัน นางกำลังอดนึกขำคำพูดนั้นไม่ได้
แต่นั่นก็ยังไม่เท่าเหล่าอสูรมายาที่อยู่ในมิติเชื่ออสูรของนาง พวกมันลงไปนอนกองหัวเราะลั่นอยู่บนพื้นกันหมดแล้ว โดยเฉพาะเสี่ยวเฮยและเสี่ยวจินที่ม้วนกลิ้งไปมาหลายตลบ เจ้าม้าดำและเหยียวทองขำจนหยุดไม่อยู่ การที่มนุษย์ขอบเขตนภมายาต่ำต้อยผู้นี้กำลังข่มขู่ว่าจะพาตัวนายหญิงของพวกมันไปถือเป็นหนึ่งในเรื่องที่ตลกที่สุดที่พวกมันได้ฟังมาในรอบหลายปีเลยทีเดียว
“แม่นางคนงาม หรือว่าเจ้าอยากจะไปกับข้าโดยสมัครใจ ข้าจะได้ไม่ต้องใช้ความรุนแรง ?”
เมื่อได้ยินเสียงหวานใสของฉินอวี้โม่ รอยยิ้มของหลิวเหนิงก็ปรากฏขึ้น แน่นอนว่าเขาชื่นชอบสตรีรูปโฉมงดงามและสตรีที่อยู่ตรงหน้าเขาก็เลอโฉมที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาในชีวิต ถึงขนาดที่ว่าสิบโฉมงามแห่งแผ่นดินก็ยังยากจะเอามาเทียบกับนางได้
“เจ้าโง่ เจ้าฝันกลางวันอยู่หรือไง ?!”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิวเหนิง ฉินอวี้โม่ก็โพล่งคำด่าทอออกไปก่อนจะกล่าวต่อ “ทำไมเจ้าไม่ลองเอากระจกขึ้นมาส่องดูหน้าตัวเองบ้าง หน้าตาเหมือนผีขนาดนี้แม้แต่อสูรมายายังไม่กล้าเข้าใกล้ ไม่ต้องกล่าวถึงสตรีโฉมงามเพราะแม้แต่คนทั่ว ๆ ไปก็ยังไม่อยากจะมองหน้าเจ้าเลย”
ด้วยวาจาที่ทั้งถากถางและเต็มไปด้วยเจตนาเหยียดหยามของฉินอวี้โม่ทำให้สีหน้าของหลิวเหนิงเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ผิดกับกลุ่มคนที่อยู่ข้าง ๆ สือซาน พวกเขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“ฮ่า ๆ ๆ แม่นางพูดได้ดี คนเลวทรามผู้นั้นคือพวกหน้าโง่หลงตัวเอง มันคิดว่าตัวเองหล่อเหลาและคิดว่าทุกคนจะต้องยอมทำตาม หากว่าไม่ใช่เพราะพอมีฝีมืออยู่บ้าง ข้าคิดว่าทั้งชาตินี้ก็คงไม่มีใครชายตามองมันอย่างแน่นอน !”
ในตอนนี้สือซานและพวกพ้องไม่คิดจะยอมอดทนกันอีกต่อไปแล้ว สือซานกล่าวด่าทอหลิวเหนิงออกไปทันที อย่างเลวร้ายสุดก็แค่สู้กันเท่านั้น หากถึงเวลานั้นจริง ๆ ขอเพียงยื้อเวลาเล็กน้อยให้แม่นางผู้นั้นหนีออกไปได้ก็ถือว่าเป้าหมายของพวกเขาบรรลุผลสำเร็จ
เมื่อหันไปมองฉินอวี้โม่ที่เมื่อครู่เพิ่งจะแสดงความองอาจไม่เกรงกลัวหลิวเหนิง สือซานก็พยักหน้าชอบใจ สตรีที่เขาคิดเห็นว่าเป็นเพียงหญิงสาวบอบบางและอ่อนแอผู้นี้ไม่คิดเลยว่านางจะเป็นคนที่มีความกล้าหาญเช่นนี้ มันทำให้เขาอดชื่นชมไม่ได้
“เจ้าพวกสารเลว เมื่อครู่พวกเจ้าพูดว่าอะไร ?!”
เมื่อหลิวเหนิงได้ยินคำด่าของฉินอวี้โม่และสือซานใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำ เขาจ้องมองไปยังฉินอวี้โม่ด้วยสายตาอาฆาตแค้น
“เจ้าคนสารเลว เจ้ากำลังถามใครอยู่ ?”
ฉินอวี้โม่โต้ตอบไปในฉับพลันด้วยเสียงไม่ดังไม่เบา
“ถามเจ้า”
แม้ว่าหลิวเหนิงจะงุนงงกับคำถาม แต่เขาก็ตอบออกไปตามที่เขาคิด
“หึ ๆ เจ้ายอมรับแล้วสินะว่าตัวเองสารเลว”
ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่สือซานและพี่น้องของเขาขำก๊ากทันทีที่ได้ยินคำยอกย้อนของสตรีโฉมงาม
“บัดซบ ! วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ว่าการดูหมิ่นหลิวเหนิงคนนี้จะได้รับผลอย่างไร !”
เมื่อรู้ตัวว่าหลงกลในคำพูดของสตรีตรงหน้าหลิวเหนิงก็หมดความอดทนไปอย่างสมบูรณ์ ร่างกายของเขาหายไปจากจุดที่เดิมยืนอยู่และพุ่งเข้าจู่โจมฉินอวี้โม่ วันนี้เขาจะขอสั่งสอนสตรีน่าตายผู้นี้
เมื่อเห็นการกระทำของหลิวเหนิง สือซานก็กำลังจะเข้าไปขัดขวาง ทว่าเขากลับเห็นฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะเป็นเชิงห้ามไว้
“ก่อนหน้านี้พวกเจ้าเคยสงสัยใช่หรือไม่ว่าสหายของข้าหายไปไหน ?”
ฉินอวี้โม่มองสือซานและคนอื่น ๆ ด้วยรอยยิ้ม
สือซานและคณะพยักหหน้า พวกเขาเองก็สงสัยเรื่องนี้มานานแล้ว ในตอนแรกพวกเขาเห็นว่าสตรีงดงามราวเทพธิดาผู้นี้อยู่รวมกลุ่มกับคนอื่นอีกห้าถึงหกคน ทว่าหลังจากที่พวกเขาพุ่งตรงเข้าไปถึงกลับพบว่ามีแม่นางคนงามยืนอยู่เพียงลำพังเท่านั้น
“ข้าจะแสดงให้พวกเจ้าดู”
ฉินอวี้โม่ยิ้ม ทันใดนั้นเองร่างหลายร่างปรากฏขึ้นตรงหน้าร่างบาง
“อสูรมายา !”
เมื่อเห็นร่างมนุษย์จำนวนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันตรงหน้าฉินอวี้โม่ ต่อให้สือซานและพวกพ้องจะโง่งมเพียงใด พวกเขาก็ยังเข้าใจความหมายของมันได้
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เข้าใจในเรื่องนี้ได้ พวกเขาทั้งหมดก็เริ่มเกิดความหวาดหวั่น
อสูรมายาที่เปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ได้จะต้องเป็นอสูรมายาระดับเทวะราชันขึ้นไป การมีอสูรเทวะราชันคอยปกป้องคุ้มครองอยู่ถึงห้าตัวนั่นแสดงว่าสตรีผู้นี้ย่อมมิใช่หญิงสาวผู้อ่อนแอ แต่คือหนึ่งในสัตว์ประหลาดที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในการสอบครั้งนี้ !
เมื่อตระหนักได้เช่นนั้น สมาชิกในกลุ่มของสือซานก็ได้แต่ยืนนิ่งอึ้งทำสิ่งใดไม่ถูก
ต้องกล่าวเลยว่าการที่พวกเขาคิดจะเข้าไปแย่งชิงป้ายจากสัตว์ประหลาดผู้นี้แล้วยังรอดชีวิตกลับมาได้อีกทั้งยังไม่สูญเสียไปป้ายผู้เข้าสอบไปก็นับว่านางเมตตาพวกเขามากแล้ว ถ้าหากพวกเขาทราบว่านางมีอสูรเทวะราชันอยู่ด้วยถึงห้าตัว ต่อให้มีนิสัยบ้าบิ่นมากกว่านี้อีกร้อยเท่าพวกเขาก็ยังไม่กล้ามีความคิดเช่นนั้น
เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของกลุ่มบุรุษที่นางชื่นชมว่าเป็นคนดี ฉินอวี้โม่ก็อดยิ้มขำออกมาไม่ได้ สาวงามส่งยิ้มงดงามให้กับทุกคนอย่างเป็นมิตร
ส่วนเหล่าอสูรมายาทั้งหลายของนางนั้น ในตอนนี้พุ่งเข้าไปเล่นงานหลิวเหนิงได้สักพักแล้ว หลังจากคันไม้คันมือมานานในที่สุดก็ได้ซัดให้สมใจเสียที
บุคคลที่พวกมันเกลียดที่สุดก็คือผู้ที่กล้ากล่าววาจาว่าร้ายและทำตัวโอหังต่อหน้านายหญิงของพวกมัน นายหญิงนั้นเก่งกาจเหนือผู้ใด การถูกคนต่ำต้อยนิสัยหยาบช้าคิดจาบจ้วงเป็นเรื่องที่พวกมันยอมรับไม่ได้ !
หลิวเหนิงที่แต่เดิมกำลังจะพุ่งเข้าไปจู่โจมฉินอวี้โม่ ในเสี้ยวอึดใจนั้นเขาก็เห็นบุรุษท่าทางเย็นชาปรากฏตัวขึ้นขว้างหน้าไว้
บุรุษผู้นั้นไม่กล่าวสิ่งใดแม้แต่คำเดียว มีเพียงกำปั้นเท่านั้นที่ตรงเข้าไปหาใบหน้าของหลิวเหนิง
ในเบื้องต้นสัญชาตญาณก็บอกให้หลิวเหนิงหลบหลีก ทว่าในเสี้ยวพริบตาถัดมาเขากลับพบว่าตนเองไม่สามารถหลบหมัดนี้ได้ สภาวะพลังของบุรุษปริศนาตรึงร่างของเขาเอาไว้ไม่ให้ขยับไปไหนก่อนที่กำปั้นอันหนักหน่วงจะกระแทกเข้าใส่ใบหน้าของเขาจนเบ้าตาข้างหนึ่งเปลี่ยนเป็นเขียวช้ำไม่ต่างจากหมีแพนด้า
“เจ้าเป็นใคร?”
หลังจากถูกชกเข้าเต็มเบ้าตาจนมึนงงไปชั่วขณะ หลิวเหนิงก็รีบรวบรวมสติอีกครั้งแล้วกล่าวถามออกไป เพราะสภาวะพลังอันยากที่จะต้านทานนั้นทำให้ตอนนี้ในใจเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
“เจ้าหน้าโง่ เมื่อครู่เจ้าลบหลู่นายหญิงของข้า พวกข้าจะทำให้พวกเจ้าทั้งหมดได้เห็นเองว่าเจ้ากำลังเล่นอยู่กับผู้ใด”
เสี่ยวเฮยและอสูรมายาตัวอื่น ๆ พุ่งเข้าไปล้อมตัวหลิวเหนิงและจ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นชา
“นายหญิงของเจ้า ?”
หลิวเหนิงหันไปมองสตรีงดงามที่เขากำลังจะเข้าไปทำร้าย และในตอนนั้นเองบุรุษใจทรามก็คิดได้ ใบหน้าของเขาฉายแววแห่งความตื่นตระหนกถึงขีดสุด
“ใช่แล้ว เจ้ามันรนหาที่ตาย !”
เสี่ยวเฮยเอ่ยอย่างเย็นชา มุมปากของมันยกยิ้มขึ้นก่อนที่หมัดหนัก ๆ ในร่างมนุษย์องอาจของมันจะพุ่งเข้าใส่เบ้าตาอีกข้างหนึ่งของหลิวเหนิงทันที
“เฮ้ ! เจ้าม้า แบ่งให้ข้าลงมือมั่งสิ”
เมื่อเห็นเสี่ยวเฮยชิงลงมือก่อนอีกครั้งแล้ว เสี่ยวจินก็รีบกระโดดถีบมนุษย์โสโครกที่มันนึกชังอย่างรุนแรง
ทันทีที่เห็นเสี่ยวจินถีบหลิวเหนิงจนกระเด็นออกไป อสูรมายาตัวอื่น ๆ ก็พุ่งเข้าไปเล่นงานอีกฝ่ายด้วยเช่นกัน ตอนนี้ร่างของหลิวเหนิงไม่ต่างจากลูกกลมกลิ้งที่ถูกโยนลอยไปลอยมาอยู่ในอากาศ
“พวกเจ้า ยั้งมือกันก่อน อย่าเพิ่งฆ่าเขา”
เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นฉินอวี้โม่ก็รีบห้ามเหล่าอสูรมายาของตนเพราะพวกมันเริ่มจะลงมือกันหนักขึ้นเรื่อย ๆ แล้วหากไม่หยุดเอาไว้ตอนนี้เกรงว่าอาจจะถึงแก่ชีวิตกันเลยทีเดียว
สือซานและคนอื่น ๆ ได้แต่ยืนอึ้งมองดูหลิวเหนิงลอยไปลอยมาอยู่ในอากาศ พวกเขาทั้งหมดแทบจะแข็งเป็นหินกันไปหมดแล้ว ซึ่งก็แน่นอนว่าพวกพ้องของหลิวเหนิงเองก็หวาดกลัวจนตัวสั่น ไม่เพียงแต่ถูกพลังอันแข็งแกร่งกดดันจนขยับหนีไปไหนไม่ได้ แต่แข้งขาของพวกเขายังอ่อนแรงจนทรุดลงไปกองกับพื้นอย่างสิ้นท่า