บนภูเขาสูงตระหง่าน สตรีนางหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิและหลับตาลงอย่างใช้ความคิดโดยที่มีรอยยิ้มบาง ๆ ประดับบนใบหน้า
หากพิจารณาจากรูปลักษณ์ภายนอก นางมีความคล้ายคลึงกับฉินอวี้โม่มากถึงเจ็ดส่วน ทว่าก็มีเสน่ห์ของการเป็นผู้ใหญ่และความอ่อนโยนมากกว่า
“หลังจากผ่านมานานหลายปี ไม่รู้เลยว่าเสี่ยวโม่เอ๋อร์และเฟยเอ๋อร์จะเป็นอย่างไรกันบ้าง…”
เสียงหนึ่งดังขึ้นซึ่งเจือไปด้วยความกังวลอย่างชัดเจน
สตรีผู้นี้มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นอวี๋เสี่ยวอวิ๋นที่หายตัวไปนานกว่าสิบปีนั่นเอง
ไม่อาจทราบได้อย่างแน่ชัดว่าสถานที่ที่นางถูกกักขังไว้คือที่ใด ทว่าก็มีม่านป้องกันและข่ายอาคมที่ถูกจัดวางไว้ทั่วบริเวณจนไม่มีทางหลบหนีไปได้เลย บางครั้งบางคราก็จะมีคนขึ้นมาที่นี่เพื่อตรวจดูสถานการณ์ความเรียบร้อยของนางและส่วนใหญ่นางมักจะอาศัยอยู่เพียงลำพัง
ในเวลานี้นางก็คุ้นเคยกับบุปผางดงาม นกน้อยโบยบิน ปลาที่แหวกว่ายในน้ำและแมลงตัวน้อยรอบตัวแล้ว และดูเหมือนว่าพวกมันก็ปรารถนาที่จะเข้าใกล้นางเช่นกัน
“อวี๋เสี่ยวอวิ๋น เจ้าอยากจะพบหน้าลูกสาวของเจ้ารึไม่ ?”
เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับร่างที่ปรากฏตรงหน้าอวี๋เสี่ยวอวิ๋น
ร่างดังกล่าวดูเลือนรางไม่ชัดเจนและไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นบุรุษหรือสตรี อวี๋เสี่ยวอวิ๋นเพียงทราบว่าผู้ที่ปรากฏตรงหน้ามีพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่ทำให้หัวใจของนางสั่นระรัวได้ง่าย ๆ
“เหอะ อยากหรือไม่อยากแล้วมันต่างกันอย่างไร ? ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่มีทางปล่อยให้ข้าได้พบกับเสี่ยวโม่เอ๋อร์อยู่ดี”
อวี๋เสี่ยวอวิ๋นกล่าวตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย แน่นอนว่านางต้องการพบฉินอวี้โม่และฉินอี้เฟยที่พลัดพรากจากกันมานาน รวมถึงญาติพี่น้องอีกมากมาย อย่างไรก็ตาม นางถูกจับตัวไว้ที่นี่และไม่มีทางหลบหนีออกไปได้ ความหวังที่จะได้พบหน้าคนเหล่านั้นเป็นได้เพียงความฝันลม ๆ แล้ง ๆ เท่านั้น
“ฉลาดดีนี่ แต่ถึงอย่างไรข้าก็จะบอกเรื่องบางอย่างเกี่ยวกับฉินอวี้โม่ให้เจ้าได้รับรู้”
ร่างดังกล่าวส่งเสียงออกมาอีกครั้งโดยไม่แสดงถึงความมุ่งร้ายหรือจิตสังหารใด ๆ
“ตอนนี้ความแข็งแกร่งของนางเหนือกว่าเจ้ามากแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่ก็แต่งงานและมีลูกน้อยถึงสองคนแล้ว ว่าอย่างไรล่ะ ? ตอนนี้เจ้าอยากพบพวกนางหรือยัง ?”
คนผู้นี้ทราบถึงข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับฉินอวี้โม่ แม้แต่เรื่องของเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่ก็ยังรับรู้เช่นกัน
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์แต่งงานแล้ว…”
ในตอนแรกสีหน้าของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นแสดงถึงความสุขและปลื้มปริ่มอย่างมาก จากนั้นมันก็กลายเป็นความเคร่งขรึมทันที
“หากเจ้ากล้าทำร้ายพวกนาง ต่อให้ข้าทำอะไรเจ้าไม่ได้ ข้าก็ไม่มีทางปล่อยให้เจ้าได้มีความสุขแน่ หากข้ารู้ว่าเจ้าทำร้ายพวกนางละก็…ข้าจะฆ่าตัวตายโดยการกระโดดลงไปจากที่นี่ซะ !”
นางกล่าววาจาข่มขู่ด้วยสีหน้าที่จริงจังอย่างที่สุด
นางทราบดีว่าคนเหล่านี้จับตัวนางมาเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง หากพวกเขาต้องการปลิดชีวิตนาง พวกเขาก็คงจะทำไปนานแล้วและนางก็คงจะไม่ได้อยู่อย่างปลอดภัยมาจนถึงทุกวันนี้
ชีวิตของนางน่าจะสำคัญกับคนเหล่านี้มากและสามารถใช้ชีวิตของตนเองเพื่อข่มขู่พวกเขาได้
“สบายใจได้ เราจะไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องของดินแดนมหาเทพในตอนนี้และจะยังไม่ทำอะไรพวกนาง เจ้าเฝ้ารออยู่ที่นี่ด้วยจิตใจที่สงบเถอะ ข้าเชื่อว่าอีกไม่นานฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ จะตามหาเจ้าจนพบ…”
คนผู้นั้นกล่าวทิ้งท้ายก่อนค่อย ๆ จางหายไปในอากาศราวกับไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน
“หวังว่าพวกนางจะไม่พบข้า…”
อวี๋เสี่ยวอวิ๋นกล่าวพลางถอนหายใจยาว แม้ไม่เคยออกไปจากที่นี่ นางก็ทราบดีว่าที่นี่คือถ้ำเสือซึ่งเต็มไปด้วยอันตราย หากฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ บุ่มบ่ามบุกเข้ามา เกรงว่าพวกนางจะเผชิญกับวิกฤตร้ายแรงและอวี๋เสี่ยวอวิ๋นไม่ต้องการให้พวกนางมาที่นี่จนกว่าจะแข็งแกร่งมากพอ…
ในอีกฟากหนึ่ง ณ ดินแดนมหาเทพ ฉินอวี้โม่และคณะก็เดินทางกลับมาถึงที่นิกายหมื่นบุปผา
ทันทีที่เข้ามาในนิกาย ฮวาฟางเฟยก็ส่งคนมาเรียกฉินอวี้โม่ไปพบทันที
“ฮ่า ๆ ๆ เรื่องวุ่นวายที่ชายฝั่งทางเหนือได้รับการคลี่คลายแล้วสินะ ?”
ฮวาฟางเฟยกล่าวพร้อมหัวเราะออกมา นางทราบดีว่าเรื่องวุ่นวายที่นั่นได้รับการคลี่คลายแล้วและเพียงกล่าวออกไปอย่างลอย ๆ เท่านั้น
“เจ้าค่ะ ท่านจ้าวนิกาย เรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นที่นั่นได้รับการสะสางแล้ว ทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของจอมยุทธ์ปีศาจและพวกเขาถูกไล่ต้อนจนถอนกำลังกลับกันไปแล้ว”
ฮวาเยว่กล่าวสรุปเรื่องราวและรู้สึกในหัวใจว่าฮวาฟางเฟยช่างตีสองหน้าได้อย่างแนบเนียนจริง ๆ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นที่นั่นดีอยู่แล้ว ทว่ายังเสแสร้งแสดงสีหน้าราวกับไม่รู้เรื่องรู้ราวซึ่งเป็นการกระทำที่น่ารังเกียจยิ่งนัก
“ในเมื่อปัญหาได้รับการคลี่คลาย มันก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี”
ฮวาฟางเฟยไม่ทันสังเกตเห็นถึงความผิดปกติทุกคนขณะมองไปที่ฉินอวี้โม่และกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “อวี้โม่ ข้าได้ยินว่าครานี้เจ้าไม่เพียงแต่สะสางปัญหาให้กับชายฝั่งทางเหนือได้เท่านั้น ทว่าเจ้ายังได้ไข่มุกเลี่ยงวารีมาครองด้วยใช่รึไม่ ?”
ไข่มุกเลี่ยงวารีคือสมบัติพลังฟ้าดินที่ล้ำค่า หากได้มันมาครอบครอง มันจะช่วยเพิ่มอัตราความเร็วในการฝึกยุทธ์ได้ ซึ่งนางก็สนใจในตัวมันเป็นอย่างมากเช่นกัน
“ท่านจ้าวนิกายได้ยินเรื่องนี้มาจากผู้ใดรึเจ้าคะ ?”
ฉินอวี้โม่ตอบกลับด้วยคำถาม มีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่ทราบถึงเรื่องของไข่มุกเลี่ยงวารี นอกจากนางและหานโม่ฉือ คนในนิกายหมื่นบุปผาก็มีเพียงฮวาเยว่เท่านั้นที่ทราบเรื่องนี้ การที่ฮวาฟางเฟยเอ่ยถามทั้ง ๆ ที่นางยังไม่ได้บอกกล่าวสิ่งใดออกไปเช่นนี้ยิ่งพิสูจน์ให้เห็นว่านางติดต่อสื่อสารกับจอมยุทธ์ปีศาจอยู่จริง ๆ
ฮวาฟางเฟยชะงักไปเล็กน้อยทันที นางกระตือรือร้นมากเกินไปจนละเลยถึงประเด็นนี้ มีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่ทราบเกี่ยวกับไข่มุกเลี่ยงวารีและทราบว่าฉินอวี้โม่ได้มันมาครอง การที่นางเอ่ยถามออกเป็นเช่นนี้ก็มีแต่จะกระตุ้นความสงสัยของอีกฝ่าย
“ข้าสัมผัสได้ ถึงอย่างไร สำหรับสมบัติพลังฟ้าดินที่ล้ำค่าอย่างไข่มุกเลี่ยงวารี มันย่อมมีกลิ่นอายที่รั่วไหลออกมาบ้าง”
นางนึกหาข้ออ้างและกล่าวตอบออกไปทันทีโดยไม่สนใจว่าฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ จะเชื่อมันหรือไม่ นางคาดการณ์ไว้ว่าคนเหล่านี้คงจะไม่เคยมีความคิดสงสัยแม้แต่น้อยว่านางมีความเกี่ยวข้องกับจอมยุทธ์ปีศาจ เพราะเหตุนั้นนางจึงไม่สนใจสิ่งใดมากนัก ทว่าสิ่งที่ฮวาฟางเฟยไม่ทราบเลยก็คือฉินอวี้โม่และคนเหล่านี้ทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างนางและจอมยุทธ์ปีศาจแล้ว รวมถึงระแวดระวังนางเป็นอย่างมาก
“เป็นเช่นนี้นี่เอง เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่ไม่เอ่ยถามต่อและหยิบไข่มุกเลี่ยงวารีออกมาให้ฮวาฟางเฟยได้ชม
“ข้าได้ไข่มุกเลี่ยงวารีมาโดยบังเอิญและมันยืนยันว่าจะอยู่เป็นสหายกับไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ มีคนจากจอมยุทธ์ปีศาจต้องการมันเช่นกันและแม้แต่ผู้นำของจอมยุทธ์ปีศาจก็ยังปรากฏตัวขึ้นมาที่มหาสมุทรทางเหนือ ทว่าสุดท้ายพวกเขาก็พ่ายแพ้จนต้องล่าถอยกันกลับไป”
ฉินอวี้โม่เก็บไข่มุกเลี่ยงวารีไว้ตามเดิมและจงใจกล่าวออกไปเช่นนั้น
“ฮ่า ๆ ๆ แม้ว่าข้าจะไม่ได้อยู่ที่นั่น มันก็ฟังดูน่าตื่นเต้นยิ่งนัก !”
ฮวาฟางเฟยยิ้มบาง ๆ อย่างเป็นพิธีและกล่าวต่อ “อวี้โม่ เจ้าเป็นศิษย์ของนิกายหมื่นบุปผาและเจ้าก็คงจะคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมของนิกายเป็นหลัก ก่อนหน้านี้เจ้าได้รับไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ล้ำค่าไปแล้วและตอนนี้ก็ยังมีไข่มุกเลี่ยงวารีอีก ข้าคิดว่าเจ้าควรจะแบ่งพวกมันมาหนึ่งอย่างเพื่อช่วยในการฝึกวิชาของศิษย์ในนิกายของเรา เจ้าคิดว่าอย่างไร ?”
ก่อนหน้านี้นางได้รับคำสั่งจากผู้นำของจอมยุทธ์ปีศาจให้หาทางครอบครองไข่มุกเลี่ยงวารีมาให้ได้ ในเมื่อฉินอวี้โม่เป็นศิษย์ของนิกายหมื่นบุปผา นางในฐานะจ้าวนิกายก็มั่นใจว่าจะครอบครองมันมาได้อย่างแน่นอน
“ใช่ว่าข้าไม่ต้องการแบ่งปันมัน เพียงแต่สมบัติพลังฟ้าดินเช่นนี้เลือกนายของมันเองและข้าก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจพวกมันได้ ก่อนหน้านี้ข้าตั้งใจไว้ว่าเมื่อได้ไข่มุกเลี่ยงวารีมาครอง ข้าก็จะมอบให้ท่านจ้าวนิกายเพื่อให้ศิษย์พี่ทั้งหลายได้ใช้ประโยชน์จากมัน ทว่าน่าเสียดายที่ความจริงมันไม่ง่ายเช่นนั้น”
ฉินอวี้โม่ปฏิเสธอย่างไม่ลังเลและกล่าวด้วยข้อแก้ตัวที่ไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจโต้แย้งได้
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าเพียงแค่หยอกเจ้าเล่นเท่านั้น ข้าทราบดีว่าสมบัติพลังฟ้าดินพวกนี้เป็นอย่างไร ในเมื่อมันทำพันธสัญญากับเจ้าแล้ว นั่นก็หมายความว่าเจ้าคือผู้ที่ถูกเลือกและเจ้าควรจะเก็บมันไว้ ในอนาคตข้างหน้า เมื่อใดที่ประจันหน้ากับจอมยุทธ์ปีศาจอีกครา ไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และไข่มุกเลี่ยงวารีจะเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้พวกเราได้รับชัยชนะมา !”
ฮวาฟางเฟยแตะมือฉินอวี้โม่เบา ๆ และเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันทีเพื่อมิให้เป็นการกระตุ้นความสงสัยของอีกฝ่ายมากจนเกินไป
“ถ้าอย่างนั้นหากไม่มีอะไรแล้ว พวกเราทุกคนขอตัวไปพักผ่อนก่อนเจ้าค่ะ หลังจากทำภารกิจมานานหลายวัน ข้ารู้สึกเหนื่อยล้ามากเหลือเกิน”
ในเวลานี้ ฮวาเยว่ริเริ่มกล่าวขึ้นมา แม้ว่านางจะรู้สึกผิดหวังในตัวฮวาฟางเฟยเป็นอย่างมาก ทว่านางก็ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้าใด ๆ