ฮวาฟางเฟยก็เพียงพยักศีรษะและปล่อยให้ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ กลับไปพักผ่อน
ฉินอวี้โม่และทุกคนก็ไม่รอช้าเช่นกันขณะแยกย้ายกันกลับไปยังเรือนที่พักของพวกตน
“ดูเหมือนว่าฮวาฟางเฟยจะเกี่ยวข้องกับจอมยุทธ์ปีศาจอย่างแท้จริง หลังจากนี้นิกายหมื่นบุปผาของเราคงจะไม่สงบสุขอีกต่อไป !”
ฮวาเยว่ตามฉินอวี้โม่ไปยังที่พักของนางและกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“ผู้คุมกฎฝั่งซ้ายไม่ต้องกังวลไปเจ้าค่ะ ศิษย์ส่วนใหญ่ของนิกายเราเป็นคนดีและมีเพียงไม่กี่คนที่ร่วมมือกับฮวาฟางเฟย”
ฉินอวี้โม่แตะมือฮวาเยว่เบา ๆ เพื่อมิให้นางคิดมากจนเกินไป ในฐานะผู้คุมกฎฝั่งซ้ายของนิกายหมื่นบุปผา ฉินอวี้โม่ทราบดีว่าตอนนี้ฮวาเยว่ต้องรับมือกับความกดดันเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม บางสิ่งบางอย่างไม่อาจควบคุมได้และนิกายหมื่นบุปผาจะเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในไม่ช้าก็เร็ว สิ่งเดียวที่พวกนางทำได้ในตอนนี้คือช่วยให้นิกายหมื่นบุปผาเผชิญความเสียหายให้น้อยที่สุด
หลังจากพูดคุยกับฉินอวี้โม่ ฮวาเยว่ก็กลับไปยังเรือนของตนและหานโม่ฉือก็กลับไปที่หอชั้นนอกเช่นกัน
เหมียวเจินเจินและจางซือถงก็สงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นที่ชายฝั่งทางเหนือเป็นอย่างมาก และอวิ๋นซื่อเทียนก็เป็นคนอธิบายเรื่องราวต่างๆให้พวกนางฟัง
“เหอะ หากรู้เช่นนี้ข้าก็คงไม่เข้าร่วมนิกายหมื่นบุปผาตั้งแต่แรก !”
หากทราบมาก่อนว่าจ้าวนิกายของนิกายหมื่นบุปผามีความเกี่ยวข้องกับจอมยุทธ์ปีศาจ พวกนางก็คงไม่ยินดีที่จะเข้าร่วมขุมกำลังนี้
“สาเหตุที่เรามาที่นี่ก็เพื่อช่วยอวี้โม่ตามหาเบาะแสของมารดา มันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฮวาฟางเฟยนัก เราเพียงบังเอิญค้นพบธาตุแท้ของนางและก็จะพยายามหาทางหยุดยั้งนางให้ได้”
ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ จางซือถงเองก็โตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากและสุขุมหนักแน่นมากกว่าก่อน
“เจินเจิน หลังจากนี้เราต้องตีสนิทกับศิษย์ฝั่งขวาเข้าไว้ เราจะต้องทราบให้ได้ว่าคนใดสนิทสนมกับเหลียนซวงและเชื่อฟังคำสั่งของฮวาหรง เราสันนิษฐานไว้ก่อนได้เลยว่าคนเหล่านั้นเป็นสุนัขรับใช้ของจอมยุทธ์ปีศาจและเป็นศัตรูของเรา เราต้องหาทางชักชวนให้ศิษย์ที่เหลือมาอยู่ฝ่ายเดียวกับเรา เมื่อถึงเวลาที่นิกายหมื่นบุปผาตกอยู่ในความโกลาหลวุ่นวาย เราก็จะมีโอกาสชนะมากขึ้น”
นางกล่าวขณะจับมือเหมียวเจินเจินไว้ แม้พวกนางจะหมั่นฝึกวิชาอย่างหนักและมีพรสวรรค์ที่โดดเด่น ทว่าพวกนางก็ไม่มีทางพัฒนาความแข็งแกร่งได้ในเวลาสั้น ๆ ทางที่ดีคือพวกนางต้องหาทางสานสัมพันธ์อันดีกับศิษย์ในนิกายเพื่อให้มีคนสนับสนุนพวกตนมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนก็ต้องหมั่นฝึกฝนบ่มเพาะวิชาเพื่อพัฒนาฝีมืออย่างต่อเนื่อง เพราะเมื่อถึงคราวที่เกิดสงครามขึ้นจริง พวกนางจะกลายเป็นกองกำลังที่ทรงพลังที่สุดสำหรับสงครามนั้น
“เจ้าค่ะ ข้าจะเชื่อฟังพี่ซือถง”
เหมียวเจินเจินพยักศีรษะและเห็นด้วยกับวาจาของจางซือถง
หลังจากหารือกันต่อเล็กน้อย ฉินอวี้โม่ก็เข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวเพื่อตรวจดูความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน
หลังจากได้รับพลังส่วนหนึ่งจากไข่มุกเลี่ยงวารี คฤหาสน์เฟิงหัวก็แข็งแกร่งขึ้นกว่าก่อนมาก ฉินอวี้โม่สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าสภาวะพลังภายในคฤหาสน์เฟิงหัวไหลเวียนเร็วขึ้นกว่าเดิมและการฝึกวิชาข้างในนี้จะได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วกว่าก่อนถึงหลายเท่าตัว
ในเวลาส่วนใหญ่ ไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และไข่มุกเลี่ยงวารีก็จะตัวติดกันตลอดและพูดคุยเรื่องราวต่าง ๆ อย่างไม่รู้จบ และแม้ว่าซิวจะออกมาจากสภาวะจำศีลแล้ว ส่วนใหญ่มันก็ยังคงอยู่ในมิติเชื่อมอสูรของฉินอวี้โม่และไม่ได้เข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัว
อสูรตัวอื่น ๆ ก็หมั่นฝึกวิชาอย่างหนัก ส่วนสือฉินที่ถูกขังไว้ในห้องหนึ่งเพื่อมิให้รับรู้เรื่องใดมากเกินไปและเพื่อให้คนอื่น ๆ ลืมเลือนเรื่องเขาไปเช่นกัน
นอกจากนี้ก็ยังมีบุรุษผู้เป็นใบ้ที่พยายามจะฝึกวิชาให้ได้เช่นกัน ทว่าจนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด
เมื่อทุกอย่างในคฤหาสน์เฟิงหัวดำเนินไปด้วยดีและไม่มีสิ่งใดที่ฉินอวี้โม่จะต้องกังวลอีก นางก็ออกไปจากคฤหาสน์หลังน้อยและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับดินแดนมหาเทพเพื่อสืบหาตำแหน่งของวัตถุดิบอื่น ๆ ที่จำเป็นต้องใช้ในการพัฒนาปรับโฉมคฤหาสน์เฟิงหัวให้สมบูรณ์ต่อไป
ตอนนี้สิ่งที่ตามหาได้ยากที่สุดซึ่งก็คือไข่มุกเลี่ยงวารีก็ถูกพบแล้ว สำหรับวัตถุดิบอื่น ๆ แม้พวกมันจะล้ำค่าอย่างยิ่ง ทว่าการตามหาพวกมันก็คงจะไม่ยากเกินความสามารถของนาง
หลังจากนั้นค่ำคืนก็ผ่านไปอย่างเงียบ ๆ
ทว่าในเช้าตรู่วันต่อมา ฮวาเยว่ส่งคนมาเรียกนางไปพบตั้งแต่ยังไม่ลืมตาตื่นด้วยซ้ำ
ฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนมุ่งหน้าไปยังเรือนที่พักของฮวาเยว่และพบว่าทุกคนที่เดินทางไปที่ชายฝั่งทางเหนือก่อนหน้านี้ล้วนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่แล้ว ไม่อาจทราบได้เลยว่าพวกนางกำลังหารือเรื่องใดกัน
ผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์หลักก็คือฮวาเยว่โดยมีฮวาหรงนั่งอยู่ตรงข้ามด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว
“ฮวาเยว่ ศิษย์ฝั่งขวาสองคนไปกับเจ้าทว่าป่านนี้แล้วพวกนางก็ยังไม่กลับมา เจ้าไม่ควรจะอธิบายอะไรกับข้าหน่อยรึ ?”
เมื่อวานนี้ ฮวาเยว่และคณะศิษย์ส่วนใหญ่เดินทางกลับมาถึงนิกายแล้ว ทว่าเหลียนซวงและเหลียนอู้ซึ่งล่วงหน้ามาก่อนพวกนางกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เดิมทีฮวาหรงคาดว่าทั้งสองจะกลับมาถึงในวันนี้ ทว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีเบาะแสข่าวคราวใด ๆ เกี่ยวกับพวกนางและนั่นทำให้นางกังวลใจขึ้นมา
ฮวาหรงแสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจน ในช่วงที่ผ่านมานี้ ศิษย์ฝั่งขวาหลายคนเริ่มมีปัญหากันเองและเอนเอียงไปทางฝั่งซ้ายซึ่งทำให้นางไม่สบอารมณ์นัก ครานี้เหลียนซวงและเหลียนอู้ก็ไม่กลับมาที่นิกาย แน่นอนว่านางไม่พลาดโอกาสที่จะโยนความผิดของเรื่องนี้ไปให้กับคณะฝั่งซ้าย
“ฮวาหรง ข้าบอกเจ้าแล้วว่าศิษย์ทั้งสองคนนั้นไม่อยากเดินทางร่วมกับเรา พวกนางจึงได้ออกเดินทางมาล่วงหน้าหนึ่งวัน ส่วนสาเหตุที่พวกนางยังไม่กลับมาถึงที่นี่นั้น เจ้าคงต้องรอถามจากพวกนางเอาเอง การที่มาถามข้าจะเกิดประโยชน์อะไรกัน ?”
ฮวาเยว่กล่าวตอบอย่างตรงไปตรงมา การที่เหลียนซวงและเหลียนอู้ไม่กลับมาเช่นนี้ก็ทำให้นางสับสนไม่น้อย อย่างไรก็ตาม หากทั้งสองไม่กลับมาจริง ๆ นั่นก็ไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับนางเช่นกัน
ทั้งสองคนออกเดินทางล่วงหน้ามาก่อนหนึ่งวันและตามหลักความเป็นจริงทั่วไป ทั้งสองก็ควรจะเดินทางมาถึงก่อนพวกนางหนึ่งวันเช่นกัน
“เหอะ ในฐานะผู้ดูแลรับผิดชอบของตัวแทนที่เดินทางไปทำภารกิจครานี้ การที่ศิษย์สองคนไม่กลับมา นั่นก็ถือว่าเป็นความรับผิดชอบของเจ้า พวกนางเป็นศิษย์ของนิกายหมื่นบุปผา เหตุใดเจ้าจึงปล่อยให้พวกนางกลับมาก่อน ? ดินแดนนี้เต็มไปด้วยภยันตรายมากมาย หากเกิดอะไรขึ้นกับพวกนาง เจ้าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร ?”
ฮวาหรงแค่นเสียงเย็นชาและมีท่าทางที่เกรี้ยวกราดมาก ราวกับว่าไม่มีทางที่จะปล่อยวางเรื่องนี้ได้
“เหอะ ท่านผู้คุมกฎฝั่งขวาช่างน่าสนใจจริง ๆ พวกนางมีขาเดินได้ด้วยตัวเอง หากพวกนางอยากไปที่ใดก็ไม่มีใครขัดขวางได้หรอก ท่านผู้คุมกฎฝั่งซ้ายเสนอให้ทุกคนเดินทางกลับมาพร้อมกันแล้ว ทว่าศิษย์พี่ทั้งสองไม่อยากอยู่กับพวกเรา เพราะเหตุนั้นเราก็ทำอะไรไม่ได้ ในเมื่อศิษย์พี่ทั้งสองมีความคิดเป็นของตนเอง เราก็ไม่อาจบีบบังคับอะไรพวกนางได้”
ฉินอวี้โม่ก้าวเข้ามาและกล่าวปกป้องฮวาเยว่ทันที
“ใช่ พวกนางอยากเดินทางกลับกันเองและเราก็ไม่อยากอยู่ใกล้พวกนางเช่นกัน ก่อนออกไป พวกนางก็เหมือนจะอยู่กับศิษย์ของนิกายเมฆาล่องลอย เหตุใดท่านผู้คุมกฎฝั่งขวาไม่ไปสอบถามจากศิษย์ที่นิกายเมฆาล่องลอยละเจ้าคะ ? มาสอบสวนหาความจริงจากผู้คุมกฎฝั่งซ้ายไปเพื่ออะไรกัน ? เกรงว่าสมองของท่านคงจะมีปัญหาไม่น้อย”
อวิ๋นซื่อเทียนกล่าวเสริมและน้ำเสียงแสดงความดูแคลนอย่างไม่ไว้หน้าฮวาหรงแม้แต่น้อย
“เหอะ ผู้คุมกฎฝั่งซ้าย ศิษย์ของเจ้ากล้าพูดจากับข้าเช่นนี้เชียวรึ ?”
ในตอนนี้ฮวาหรงฉุนเฉียวยิ่งกว่าเดิม ฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนกล่าววาจาหยาบคายและไม่เคารพนางแม้แต่น้อย ในฐานะผู้คุมกฎฝั่งขวาของนิกายหมื่นบุปผา การที่ศิษย์อย่างฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนกล่าววาจากับนางเช่นนี้ถือว่าช่างกล้ายิ่งนัก !
“ถ้าเช่นนั้นจะให้พวกเราทำอย่างไรเจ้าคะ ? จะให้เราคุกเข่าต่อหน้าผู้คุมกฎฝั่งขวาอย่างนั้นหรือ ? ท่านจงใจหาเรื่องและยัดเยียดความผิดให้กับท่านผู้คุมกฎฝั่งซ้าย ตอนนี้ก็ถือว่าเราสุภาพกันมากแล้ว”
ฉินอวี้โม่ตอบโต้ด้วยแววตาดูแคลนอย่างไม่ปิดบัง
“ฮวาหรง ข้าทนต่อการกระทำของเจ้ามานานแล้ว การที่เหลียนซวงและเหลียนอู้ไม่กลับมา นั่นก็เป็นเรื่องของพวกนาง หากต้องการจะหาคำตอบให้คลายกังวลก็เชิญออกไปสืบหาด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องมาถามจากข้าที่นี่ ตลอดเวลาที่ผ่านมาสาเหตุที่ฝั่งซ้ายของเราปล่อยให้พวกเจ้าฝั่งขวาได้ทำอะไรตามอำเภอใจมิใช่เป็นเพราะเรากลัวพวกเจ้า เพียงแต่เกียจคร้านเกินกว่าจะเสียเวลาสนใจพวกเจ้าก็เท่านั้น ! หากเจ้ายังแสดงท่าทีเกรี้ยวกราดเช่นนี้อีก อย่าหาว่าข้าไม่ปรานีก็แล้วกัน !”
ฮวาเยว่ยืนขึ้นและกล่าวอย่างเย็นชา วาจาของนางแสดงถึงความข่มขู่และไม่ไว้หน้าฮวาหรงแม้แต่น้อย