ทัศนคติท่าทางของคนฝั่งซ้ายแข็งกร้าวอย่างยิ่งและทำให้สีหน้าของฮวาหรงบูดบึ้งยิ่งกว่าเดิม การที่เหลียนซวงและเหลียนอู้ไม่กลับมาทำให้นางไม่พอใจเป็นทุนเดิมแล้ว และทัศนคติของฮวาเยว่ในตอนนี้ก็ทำให้นางรู้สึกโกรธเคืองยิ่งขึ้นไปอีก
“ฮวาเยว่ หากเกิดอะไรขึ้นกับเหลียนซวงและเหลียนอู้ ข้าไม่มีทางปล่อยให้เจ้ารอดตัวไปแน่ !”
ฮวาหรงลุกพรวดและกล่าวทิ้งท้ายก่อนหันหลังเตรียมเดินจากไป
“ผู้คุมกฎฝั่งขวา ท่านไปที่นิกายเมฆาล่องลอยเพื่อสืบข่าวจะดีกว่า ไม่จำเป็นต้องมาข่มขู่พวกเราอยู่ที่นี่หรอก ไม่มีใครที่จะเกรงกลัวต่อคำข่มขู่ของท่าน”
ฉินอวี้โม่กล่าวออกไปอย่างไม่แยแส ทว่านางเองก็รู้สึกแปลกใจกับเรื่องนี้มากเช่นกัน
จากลักษณะนิสัยของเหลียนซวงและเหลียนอู้ พวกนางควรจะรีบกลับมาที่นี่ก่อนและพูดจาเป่าหูทุกคนเพื่อให้ร้ายพวกนางมากกว่า ทว่าเหตุใดป่านนี้แล้วทั้งสองยังไม่กลับมาอีก ? หรือจะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นจริง ๆ ?
“เหอะ !”
ฮวาหรงแค่นเสียงดังและเดินออกไปด้วยท่าทางไม่พอใจ
“อวี้โม่ ไปจัดการธุระของตนเองเถอะ ไม่ต้องห่วง ไม่มีอะไรหรอก”
ฮวาเยว่ยิ้มให้กับฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ขณะส่งสัญญาณให้พวกนางแยกย้ายกันไปจัดการเรื่องของตนเอง
“อีกอย่าง…เจ้าต้องระวังตัวให้มากล่ะ ตอนนี้เรายังจัดการอะไรเกี่ยวกับเรื่องของจ้าวนิกายไม่ได้”
ในเวลานี้ การที่ไข่มุกเลี่ยงวารีอยู่ในการครอบครองของฉินอวี้โม่ก็หมายความว่านางจะตกอยู่ในอันตรายได้ตลอดเวลา ฮวาฟางเฟยจะพยายามหาทางแย่งไข่มุกเลี่ยงวารีไปจากนางอย่างแน่นอน ตราบใดที่ฉินอวี้โม่อยู่ในนิกายหมื่นบุปผา นางจะต้องเผชิญกับวิกฤตร้ายแรงอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้
“ไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะ ในช่วงนี้นางยังไม่กล้าเผยธาตุแท้ของตนเองออกมาแน่ !”
ฉินอวี้โม่ยิ้มด้วยความมั่นใจ ในฐานะจ้าวนิกายของนิกายหมื่นบุปผา ฮวาฟางเฟยจะไม่มีทางเปิดเผยธาตุแท้ของตนก่อนที่จอมยุทธ์ปีศาจจะเตรียมแผนการได้อย่างเสร็จสมบูรณ์
หากทุกคนทราบว่าแท้จริงแล้วจ้าวนิกายฮวาฟางเฟยยอมจำนนต่อจอมยุทธ์ปีศาจไปนานแล้ว มันจะเกิดสงครามครั้งใหญ่ขึ้นมาอย่างแน่นอนและนั่นเป็นผลลัพธ์ที่ฮวาฟางเฟยมิอาจรับมือได้
หลังฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ แยกย้ายกันกลับไป ฮวาเยว่ยังคงใช้ความคิดอยู่พักใหญ่ก่อนตัดสินใจส่งคนไปสืบข่าวที่นิกายเมฆาล่องลอย
การที่เหลียนซวงและเหลียนอู้ยังไม่กลับมาที่นิกายเป็นเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดยิ่งนัก นางจึงต้องการตรวจสอบเรื่องนี้ให้แน่ใจ
ตลอดช่วงสองวันต่อมา สถานการณ์ทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างเงียบสงบและไม่เกิดเรื่องวุ่นวายใดขึ้น
ฮวาฟางเฟยไม่ทำสิ่งใดกวนใจฉินอวี้โม่ในขณะที่ฮวาหรงเองก็เงียบหายไปและไม่มาหาเรื่องก่อกวนพวกนางอีกเช่นกัน
ภายในพริบตา เวลาอีกสามวันก็ผ่านไปแล้วและศิษย์ที่ถูกส่งไปสืบข่าวที่นิกายเมฆาล่องลอยก็กลับมาในวันนี้
เมื่อทุกคนรวมตัวกันในห้องโถง ศิษย์คนนั้นก็กล่าวขึ้นทันที “ท่านผู้คุมกฎทั้งสอง คณะศิษย์ของนิกายเมฆาล่องลอยกลับถึงนิกายเมื่อสองสามวันก่อนหน้านี้ พวกเขากล่าวว่าแยกทางกับศิษย์พี่ทั้งสองระหว่างทางและไม่ทราบว่าพวกนางไปที่ใด”
คณะศิษย์ของนิกายเมฆาล่องลอยที่เดินทางกลับมาพร้อมกับเหลียนซวงก่อนหน้านี้กลับถึงนิกายของพวกเขาเป็นเวลาสองถึงสามวันแล้ว ทว่าคนเหล่านั้นแยกกับเหลียนซวงในระหว่างทางและไม่ทราบว่าพวกนางหายตัวไปที่ใด
“ศิษย์เหล่านั้นกล่าวอีกว่าดูเหมือนศิษย์พี่ทั้งสองจะพบกับใครบางคนเข้าและรีบมุ่งหน้าออกไปด้วยกันอย่างรวดเร็ว พวกเขาไม่รู้จักคนผู้นั้นและไม่ทราบว่าพวกนางมุ่งหน้าไปในทิศทางใด”
นางกล่าวต่อด้วยข้อมูลที่พิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่าเหลียนซวงและเหลียนอู้แยกออกไปด้วยตัวเองและมิได้ถูกจับตัวไป
“เจ้าได้ยินแล้วใช่รึไม่ ? ศิษย์คนโปรดทั้งสองของเจ้าแยกทางออกไปกันเองและมันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกข้า”
ฮวาเยว่กล่าวอย่างเย็นชาทว่าในใจก็นึกสงสัยว่าทั้งสองพบกับผู้ใดในระหว่างทางและมุ่งหน้ากันไปที่ใด ?
“เหอะ ในฐานะที่เจ้าเป็นหัวหน้าของคณะศิษย์ที่เดินทางไปทำภารกิจในครานี้ หากเกิดเรื่องใดกับพวกนางขึ้นมา เจ้าก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบไปได้ เหลียนซวงเป็นศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดของฝั่งขวาและเป็นศิษย์ที่ข้าให้คุณค่ามากที่สุด หากเกิดอะไรขึ้นกับนาง ข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่ !”
ฮวาหรงแค่นเสียงและกล่าวอย่างเย็นชา นางไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าเหลียนซวงและเหลียนอู้จะหายตัวไปที่ใด ศิษย์ทั้งสองขาดการติดต่อไปเป็นเวลานานและนางก็รู้สึกสังหรณ์ใจอย่างประหลาดซึ่งเป็นความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายก็แยกตัวกันกลับไปอย่างไม่สบอารมณ์นัก ทว่าเรื่องนี้ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบใดต่ออารมณ์ความรู้สึกของฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ
ฮวาเยว่ส่งคนไปสืบข่าวเพิ่มเติมว่าเหลียนซวงอยู่ที่ใดและฉินอวี้โม่ก็กลับไปยังเรือนที่พักของตนเพื่อฝึกวิชาต่อไป
ในคฤหาสน์เฟิงหัว อสูรมายาทั้งหมดกำลังเล่นสนุกกันอย่างมีชีวิตชีวา
ฉินชิงเฉวียนนั่งอยู่บนหลังคาอย่างเงียบ ๆ และไม่อาจทราบได้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่…
เมื่อฉินอวี้โม่เข้ามาในคฤหาสน์เฟิงหัว นางก็สังเกตเห็นฉินชิงเฉวียนบนหลังคาทันที นางจึงตรงเข้าไปปรากฏตัวข้าง ๆ เขา
“เจ้ากำลังมองอะไรรึ ?”
นางเอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ ฉินชิงเฉวียนผู้นี้ทำให้นางรู้สึกคุ้นเคยอย่างอธิบายไม่ได้มาตลอดซึ่งราวกับว่าทั้งสองรู้จักกันมาเป็นเวลานานแล้ว
ตลอดช่วงหลายวันมานี้ นางก็พยายามคิดหาหนทางมากมายทว่ายังไม่พบวิธีที่จะช่วยรักษาให้ฉินชิงเฉวียนหายดีได้ ก่อนหน้านี้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสซึ่งทำให้จุดตันเถียนและเส้นเสียงของเขาเสียหายจนใช้งานไม่ได้ สิ่งที่ฉินอวี้โม่พอจะทำได้ในตอนนี้คือช่วยรักษาจุดตันเถียนของเขาอย่างช้า ๆ ในระหว่างที่ค่อย ๆ หาวิธีอื่นต่อไป
ในเวลานี้ แววตาของฉินชิงเฉวียนก็เปี่ยมไปด้วยความสุขขณะชี้นิ้วไปยังทิศทางของเสี่ยวเฮยและอสูรอื่น ๆ
แม้ตัวเขาจะพูดไม่ได้ ฉินอวี้โม่ก็คาดเดาความหมายของเขาได้ไม่ยาก นางมองไปยังเสี่ยวเฮยและบรรดาอสูรที่กำลังเล่นสนุกกันด้วยความร่าเริงและรู้สึกมีความสุขอย่างแท้จริง
แม้ยังไม่ทราบว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกับบุรุษใบ้กันแน่ ทว่าช่วงเวลาที่อยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวก็นับว่าเป็นช่วงเวลาที่เขาสบายใจมากที่สุด
เสี่ยวเฮยและอสูรอื่น ๆ ไม่ดูแคลนหรือเมินเฉยเขาแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้าม พวกมันกระตือรือร้นกันอย่างยิ่งและเสี่ยวม่านก็มักเข้ามาพูดคุยด้วยเพื่อมิให้ฉินชิงเฉวียนรู้สึกโดดเดี่ยวและเหงาหงอยเกินไป
การที่เขาอาศัยอยู่ที่นี่ก็มิใช่เพียงแค่มีอาหารเอร็ดอร่อยให้ทานเท่านั้น ทว่ายังมีสิ่งสนุกเพลิดเพลินใจมากมายซึ่งทำให้บุรุษใบ้รู้สึกอบอุ่นเป็นที่สุด หากเป็นไปได้ เขาก็หวังที่จะอยู่ที่นี่ตลอดไป
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะหาทางรักษาเจ้าให้ได้”
ฉินอวี้โม่ตบไหล่ฉินชิงเฉวียนเบา ๆ และมีความคิดผุดขึ้นในใจแล้ว
จากตำราเล่าขานกัน มีโอสถที่ทรงพลังชนิดหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า ‘โอสถอำนาจศักดิ์สิทธิ์’ การที่กลืนกินมันจะสามารถช่วยให้ร่างกายของคนผู้นั้นย้อนกลับคืนสู่สภาวะดั้งเดิมได้ นางเชื่อว่าโอสถดังกล่าวจะทำให้อาการบาดเจ็บทุกอย่างของฉินชิงเฉวียนหายดีได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม การที่ต้องการหลอมมันให้สำเร็จก็ต้องใช้ผู้หลอมโอสถที่เชี่ยวชาญเป็นอันดับต้น ๆ และต้องใช้วัตถุดิบหายากมากมายหลายชนิดซึ่งไม่ง่ายนักที่จะรวบรวมพวกมันมาได้ทั้งหมด
ฉินชิงเฉวียนก็เพียงส่ายศีรษะเบา ๆ อย่างไม่กังวล ตราบใดที่ได้ติดตามฉินอวี้โม่ต่อไปเช่นนี้ เขาก็มีความสุขมากแล้ว
อย่างไรก็ตาม เขาก็ต้องการฟื้นฟูความแข็งแกร่งกลับคืนมาเช่นกัน หากฟื้นฟูความแข็งแกร่งกลับคืนมาได้ เขาจะได้ช่วยฉินอวี้โม่ฝ่าฟันอุปสรรคในเส้นทางข้างหน้า ตอนนี้เมื่อนางตกอยู่ในอันตราย เขาก็ทำได้เพียงมองดูอย่างกังวลใจอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวแห่งนี้เท่านั้น
“เจ้าตัวจิ๋วตื่นขึ้นมาหรือยัง ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามอีกครั้ง เจ้าตัวจิ๋วจากโรงประมูลจ้าวสมุทรที่จะนำพานางไปพบโอกาสที่ยิ่งใหญ่หลับใหลไปเมื่อหลายวันก่อนและยังไม่ตื่นขึ้นมา ฉินอวี้โม่ไม่รู้สึกถึงความเชื่อมโยงกับมันทว่าฉินชิงเฉวียนสามารถรับรู้ถึงตัวตนของมันได้
ฉินชิงเฉวียนพยักศีรษะเบา ๆ เพื่อยืนยันว่าเจ้าตัวจิ๋วตื่นขึ้นมาแล้วและคาดว่าจะปรากฏตัวในอีกไม่ช้า
หลังจากที่มันปรากฏตัวขึ้นมา นั่นก็จะเป็นเวลาที่ฉินอวี้โม่จะออกตามหาโอกาสที่ยิ่งใหญ่
“นายหญิง ข้าจะเดินทางไปที่ทุ่งน้ำแข็งทางเหนือสักระยะ”
การต่อสู้ก่อนหน้านี้ทำให้มารยาตระหนักว่าความแข็งแกร่งของตนยังน้อยเกินไป ในเมื่อตอนนี้ยังไม่มีข่าวคืบหน้าเกี่ยวกับอวี๋เสี่ยวอวิ๋น การอยู่ร่วมกับฉินอวี้โม่ก็ไม่สามารถพัฒนาความแข็งแกร่งของมันได้มากนักและมันก็ไม่สามารถช่วยอะไรนางได้มาก ทางที่ดีคือการเดินทางไปยังทุ่งน้ำแข็งทางเหนือเพื่อตามหามรดกตกทอดที่ราชินีเหมันต์ทิ้งไว้ ตราบใดที่พบมรดกเหล่านั้น ความแข็งแกร่งของมันจะพัฒนาต่อไปได้ และเมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้ต้องประจันหน้ากับผู้ที่แกร่งกล้าที่สุดในจอมยุทธ์ปีศาจ มารยาก็จะมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะต่อกรด้วยได้
“ถ้าเช่นนั้นให้เสี่ยวจิ่วไปกับเจ้าด้วย”
ฉินอวี้โม่ไม่ปฏิเสธและเพียงกล่าวสั้น ๆ