หลังจากการตัดสินใจ มารยาและเสี่ยวจิ่วก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปสู่ทุ่งน้ำแข็งทางเหนือทันที
บรรดาอสูรอื่น ๆ เองก็ตั้งใจฝึกฝนกันอย่างหนักด้วยหวังว่าจะพัฒนาความแข็งแกร่งของพวกตนโดยเร็วที่สุดและช่วยฉินอวี้โม่ให้ได้อย่างเต็มที่
ฉินอวี้โม่และทุกคนก็ฝึกวิชาอยู่ภายในนิกายหมื่นบุปผาด้วยจิตใจที่สงบสุขและในช่วงนี้ก็ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดเกิดขึ้นมากนัก…
ในเวลาเดียวกันนี้ ในดินแดนเทพมายาก็เกิดความเปลี่ยนแปลงไปมากพอสมควร
ณ นครล่าฝัน ฉินอี้เฟยและเสี่ยวโร่วกำลังพูดคุยกันภายในห้องหลอมโอสถ
“เสี่ยวโร่ว ข้าวางแผนจะเดินทางไปที่ดินแดนมหาเทพในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ตอนนี้ความแข็งแกร่งของเจ้ายังไม่มากพอ เพราะฉะนั้นตอนนี้เจ้าอยู่ที่นี่ไปก่อนเและรอฟังข่าวจากข้าก็แล้วกัน”
ฉินอี้เฟยโอบร่างบางเข้าหาอ้อมกอดและกล่าวอย่างอ่อนโยน
หลังจากเตรียมความพร้อมนานเกือบหนึ่งปี ในที่สุดความแข็งแกร่งของเขาก็พัฒนาขึ้นไปในอีกระดับ สำหรับการเดินทางไปที่ดินแดนมหาเทพในครานี้ เขาก็มีพลังมากพอที่จะปกป้องตัวเองได้แล้ว
ความแข็งแกร่งของเสี่ยวโร่วยังคงอ่อนแอมากกว่าและการเดินทางไปที่นั่นจะเต็มไปด้วยอุปสรรคอันตรายมากมาย เพราะฉะนั้น สิ่งที่เหมาะกับนางที่สุดในตอนนี้ก็คือการประจำอยู่ที่นครล่าฝันและรอฟังข่าวความคืบหน้าจากเขา
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ข้าจะรอท่านและคุณหนูอยู่ที่นี่”
เสี่ยวโร่วพยักศีรษะด้วยความเข้าใจ นางไม่สามารถช่วยอะไรได้มากนัก การอยู่ที่นี่จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด อย่างน้อยที่สุดนางก็จะไม่กลายเป็นภาระของฉินอี้เฟย
ด้านนอกเรือน เด็กน้อยทั้งสองที่กำลังแอบฟังบทสนทนานี้ก็มองหน้ากันและเดินจากไปอย่างระมัดระวัง
“อ้ายฉือ ท่านลุงกำลังจะไปที่ดินแดนมหาเทพเพื่อตามหาท่านแม่ ท่านพ่อ ท่านตาและท่านยาย เราจะทำอย่างไรกันดี ?”
หานอ้ายโม่ในวัยหกขวบเป็นศูนย์รวมความโดดเด่นทั้งหมดของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ นางมีรูปลักษณ์ที่ไร้ที่ติและสวมใส่อาภรณ์ยาวสีม่วงที่ดูงดงามหรูหรา ทว่าเจือด้วยแรงกดดันจาง ๆ ซึ่งทำให้ผู้คนอดที่จะยอมจำนนต่อนางไม่ได้
“เราแอบตามท่านลุงไปกันเถอะ ตอนนี้เราโตแล้วและปกป้องตัวเองได้ ข้าไม่ได้พบหน้าท่านพ่อท่านแม่นานแล้ว ข้าคิดถึงทั้งสองอยู่เล็กน้อย”
ฉินอ้ายฉือก็สืบทอดรูปลักษณ์และความหล่อเหลาของหานโม่ฉือได้อย่างสมบูรณ์แบบ แม้ด้วยวัยเด็กเช่นนี้ เขากลับมีกลิ่นอายของการเมินเฉยต่อโลกทั้งใบ ใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือของเขาเต็มไปด้วยความสุขุมลุ่มลึกและร่องรอยของความเป็นเด็กโดยธรรมชาติก็ปรากฏให้เห็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“ตกลง เราจะแอบตามท่านลุงไปด้วยกัน”
เสี่ยวอ้ายโม่ก็พยักหน้าและจับไหล่เสี่ยวอ้ายฉือพร้อมกล่าวอย่างมั่นใจ “ไม่ต้องกังวลล่ะ ข้าจะปกป้องเจ้าเอง ท่านแม่กล่าวไว้แล้วว่าในฐานะที่ข้าเป็นพี่สาว ข้าจะต้องดูแลปกป้องน้องชายอย่างเจ้า !”
“ข้าต่างหากที่จะปกป้องเจ้า !”
สีชมพูระเรื่อปรากฏบนพวงแก้มของเสี่ยวอ้ายฉือทันที ทว่าแววตาเปี่ยมไปด้วยความแน่วแน่
“อีกอย่าง…เจ้าก็เป็นน้องสาว มิใช่พี่สาวของข้า”
เรื่องที่ว่าผู้ใดโตกว่าเป็นหัวข้อที่ทั้งสองโต้เถียงกันมาตลอดหกปีและไม่เคยได้รับบทสรุปที่แท้จริง…
เวลานี้ เยว่ชิงเฉิงและคนอื่น ๆ ก็รวมตัวกันที่ห้องโถงของจวนเจ้าเมือง
“พี่อี้เฟย ท่านตัดสินใจที่จะเดินทางไปที่ดินแดนมหาเทพจริง ๆ รึ ?”
เยว่ชิงเฉิงอดเอ่ยถามเพื่อยืนยันไม่ได้ พวกนางหมั่นฝึกวิชาอย่างเต็มที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาทว่าความเร็วในการพัฒนาของพวกนางก็ยังช้ากว่าพอสมควรและยังไม่แข็งแกร่งมากพอที่จะเดินทางไปยังดินแดนมหาเทพได้ในตอนนี้
“ใช่ เราไม่ได้ข่าวจากเสี่ยวโม่เอ๋อร์มานานแล้วและข้าก็กังวลใจมาก แม้ว่าข้าจะไม่ได้ทรงพลังมากนัก ตัวตนในฐานะผู้หลอมโอสถก็สามารถรับประกันความปลอดภัยของข้าได้ ทุกคนไม่ต้องห่วงล่ะ”
ฉินอี้เฟยพยักศีรษะและกล่าวบอกการตัดสินใจของตนกับทุกคน
“เอาล่ะ หากมีโอกาส ท่านอย่าลืมส่งข่าวมาบอกพวกเราด้วยล่ะ”
เนื่องจากทราบดีว่าไม่สามารถรั้งฉินอี้เฟยไว้ได้ เยว่ชิงเฉิงและทุกคนจึงแสดงความสนับสนุนต่อเขาอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ พวกนางก็ตัดสินใจหมายมั่นไว้แล้วว่าจะฝึกฝนให้หนักยิ่งขึ้นและเดินทางไปที่ดินแดนมหาเทพเพื่อรวมตัวกับฉินอวี้โม่และทุกคนโดยเร็วที่สุด
“หลังจากที่ข้าเดินทางไป คงต้องฝากนครล่าฝันไว้กับทุกคนด้วย ดินแดนเทพมายาไม่ได้ปลอดภัยอย่างที่คิดไว้ มันอาจดูเงียบสงบ ทว่าแท้จริงแล้วก็มีวิกฤตอันตรายที่คาดไม่ถึงซ่อนอยู่ พวกเจ้าจะต้องจับตาดูสถานการณ์ให้ดีล่ะ”
เขากำชับให้ทุกคนจับตาดูสถานการณ์ของดินแดนเทพมายาเพื่อเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม
ทุกคนพยักศีรษะตอบรับและยืนยันว่าจะดูแลนครล่าฝันและจับตาดูสถานการณ์ทุกอย่างเพื่อมิให้ฉินอี้เฟยต้องพะวงหรือกังวลใจ
หลังจากพูดคุยและยืนยันว่าจะออกเดินทางในอีกสองวัน ฉินอี้เฟยก็กลับไปยังเรือนที่พักของตน
เสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่เองก็มีแผนการที่เตรียมไว้เช่นกัน ทั้งสองเขียนจดหมายทิ้งไว้และเดินทางออกจากนครล่าฝันไปเป็นการล่วงหน้า
เนื้อหาในจดหมายดังกล่าวก็เรียบง่ายและไม่ซับซ้อนโดยระบุเพียงว่าพวกเขาทั้งสองออกไปสั่งสมประสบการณ์ในดินแดนและทุกคนไม่ต้องเป็นห่วงความปลอดภัยของพวกเขา
เสี่ยวโร่วเป็นคนแรกที่พบจดหมายจากเด็กน้อยทั้งสองและสีหน้าของนางเต็มไปด้วยความกังวลทันที
“ทำอย่างไรดี ? ข้าจะทำอย่างไรดี ?”
ในเวลานี้ เด็กน้อยทั้งสองได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยซึ่งทำให้เสี่ยวโร่วกระวนกระวายใจจนทำตัวไม่ถูก
ฉินอี้เฟยก็พอจะคาดเดาบางอย่างได้ในใจ ทว่าไม่กล่าวมันออกไป
“ไม่ต้องกังวลหรอก เจ้าหนูทั้งสองมิใช่คนที่จะถูกใครรังแกได้ง่าย ๆ ทั้งสองชาญฉลาดมาก ในเมื่อพวกเขาอยากออกไปสั่งสมประสบการณ์ในดินแดนก็ปล่อยพวกเขาไปเถอะ คงจะไม่เกิดอะไรขึ้นหรอก”
เสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่เป็นเด็กที่ไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง แม้อยู่ในวัยเพียงหกขวบ ทั้งสองก็มีความเป็นผู้ใหญ่เกินวัยมากและฉลาดเฉลียวกว่าทุกคนในรุ่นเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้น พรสวรรค์ของทั้งสองก็ถือว่าเย้ยฟ้าท้าดินและตอนนี้ก็มีความแข็งแกร่งที่บรรลุถึงขอบเขตพสุธาเซียนแล้ว ต่อให้เอาชนะยอดฝีมือผู้แกร่งกล้าไม่ได้ ทั้งสองก็สามารถหลบหนีเอาตัวรอดได้ไม่ยาก
ก่อนหน้านี้ฉินอวี้โม่ก็ได้ช่วยสยบอสูรที่ทรงพลังให้กับเด็กน้อยทั้งสองแล้วและคงจะไม่มีสิ่งใดในดินแดนเทพมายาที่เป็นอันตรายต่อทั้งสอง
สิ่งที่เขากังวลก็คือหลานทั้งสองจะแอบตามเขาไปที่ดินแดนมหาเทพอย่างลับ ๆ ดินแดนแห่งนั้นเหนือชั้นกว่าดินแดนเทพมายามากนัก ไม่ว่าเด็กน้อยทั้งสองจะมีไหวพริบและมีความชาญฉลาดเพียงใด ทั้งสองก็จะไร้ซึ่งพลังเมื่อเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งของดินแดนมหาเทพ…
เวลาสองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในวันนี้ฉินอี้เฟยก็บอกลาทุกคนและออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังช่องทางที่นำไปสู่ดินแดนมหาเทพ
ช่องทางนี้เป็นช่องทางที่ถูกค้นพบในภายหลังและมันอยู่ไกลจากนครล่าฝันมากพอสมควรซึ่งจะต้องใช้เวลาเดินทางอย่างน้อยเจ็ดวัน
ฉินอี้เฟยไม่ต้องการให้ใครไปส่งตนและเลือกเดินทางไปที่นั่นเพียงลำพัง เขาใช้เวลาเดินทางนานเจ็ดวันก่อนปรากฏตัวตรงหน้าค่ายกลเคลื่อนย้ายที่นำไปสู่ดินแดนมหาเทพ
“ออกมาเถอะ”
เขากวาดสายตาและสำรวจทั่วบริเวณก่อนกล่าวขึ้นเบา ๆ เนื่องจากสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเด็กน้อยทั้งสองแล้ว
“ฮ่า ๆ ๆ ท่านลุง ท่านจับได้ซะแล้ว…”
เสี่ยวอ้ายโม่เดินออกมาเป็นคนแรกและตามด้วยเสี่ยวอ้ายฉือผู้ซึ่งมีสีหน้าที่จริงจัง
“คิดไว้แล้วเชียวว่าพวกเจ้าทั้งสองจะต้องมีความคิดเช่นนี้อยู่ จงเชื่อฟังลุงและกลับไปที่นครล่าฝันเสีย อย่าทำให้ทุกคนต้องเป็นห่วงเลย”
ฉินอี้เฟยก้าวออกไปข้างหน้าและลูบศีรษะเล็ก ๆ ของเด็กทั้งสองพร้อมกล่าวอย่างจนปัญญา
เสี่ยวอ้ายโม่และเสี่ยวอ้ายฉือเป็นที่รักที่เอ็นดูของผู้คนทั่วทั้งนครล่าฝันซึ่งทุกคนต่างก็เอาอกเอาใจและตามใจพวกเขาเป็นอย่างมาก ทว่าทั้งสองก็ทำตัวอยู่ในโอวาทมาตลอด การที่ทั้งสองแอบออกจากนครล่าฝันและต้องการตามเขาไปที่ดินแดนมหาเทพเช่นนี้ถือเป็นสิ่งที่เลยเถิดมากที่สุดเท่าที่ทั้งสองเคยทำมา
“ท่านลุง พาพวกเราไปด้วยเถอะนะเจ้าคะ เราทั้งสองจะไม่สร้างปัญหาให้ท่านลำบากใจอย่างแน่นอน”
เสี่ยวอ้ายโม่เกาะต้นขาของฉินอี้เฟยและทำท่าทางเหมือนเด็กน้อยที่น่าสงสารพร้อมกับแสดงสีหน้าที่อ้อนวอนอย่างถึงที่สุด
“เราไม่พบท่านพ่อท่านแม่มานานมากแล้วและก็คิดถึงพวกท่านมากจริง ๆ ความแข็งแกร่งของเราทั้งสองในตอนนี้มากพอที่จะปกป้องตัวเองได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น พวกเราก็น่ารักน่าชังกันเช่นนี้ ใครกันที่จะกล้าทำร้ายพวกเราได้ เพราะฉะนั้นท่านลุงพาพวกเราไปด้วยเถอะนะ เรารับปากว่าจะไม่สร้างปัญหาความเดือดร้อนใด ๆ”
เสี่ยวอ้ายโม่กล่าวให้สัญญาด้วยน้ำเสียงที่วิงวอน
เสี่ยวอ้ายฉือเองก็แสดงท่าทางอ้อนวอนอย่างที่แทบไม่เคยเห็นเช่นกันขณะเกาะขาอีกข้างหนึ่งของฉินอี้เฟยด้วยสีหน้าท่าทางเศร้าสร้อยจนผู้พบเห็นต้องใจอ่อน
“เอาล่ะ เอาล่ะ ข้าจะพาพวกเจ้าไปด้วยก็ได้ แต่พวกเจ้าทั้งสองต้องให้คำมั่นว่าจะเชื่อฟังคำสั่งทุกอย่างของข้าและไม่คิดทำสิ่งใดตามใจตัวเอง เข้าใจรึไม่ ?”
ฉินอี้เฟยพยักศีรษะอย่างจนปัญญา เขาทราบดีว่าต่อให้ปฏิเสธไปในตอนนี้ ทั้งสองก็ต้องหาทางไปที่ดินแดนมหาเทพให้ได้แน่ การที่ยินยอมตอบตกลงเช่นนี้ อย่างน้อยเขาก็ยังสามารถดูแลและปกป้องทั้งสองได้