ณ ดินแดนมหาเทพ เวลาสิบวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งคณะฝั่งซ้ายและฝั่งขวาของนิกายหมื่นบุปผาพยายามสืบหาความจริงเป็นเวลานานและแม้แต่ฮวาฟางเฟยก็ยังให้ความสนใจกับเรื่องนี้เช่นกัน ทว่าในที่สุดพวกนางก็พบตัวเหลียนซวงและเหลียนอู้
อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์นั้นเหนือกว่าความคาดหมายของทุกคน
แม้ว่าเหลียนซวงและเหลียนอู้จะถูกพบตัวแล้ว ทว่าสิ่งที่พบกลับเป็นเพียงร่างไร้วิญญาณของทั้งสองเท่านั้น
เวลานี้ ทุกคนมารวมตัวกันที่ลานจัตุรัสของนิกายหมื่นบุปผา สีหน้าของฮวาหรงบิดเบี้ยวเหยเก สีหน้าของฮวาเยว่เองก็เคร่งขรึมอย่างมากและจ้าวนิกายฮวาฟางเฟยมีสีหน้าที่ล้ำลึกเกินจะเข้าใจได้
“ท่านจ้าวนิกาย เราพบตัวศิษย์พี่ทั้งสองบนภูเขาจันทรา ทว่าตอนที่พวกเราพบพวกนาง พวกนางก็ได้เสียชีวิตไปแล้ว นอกจากนี้ก็เป็นจอมยุทธ์ที่อยู่ในบริเวณนั้นเป็นผู้บอกกับเราว่าพบศิษย์พี่ทั้งสองอยู่บนภูเขาจันทราเจ้าค่ะ”
ศิษย์ที่พบศพของทั้งสองบอกทุกคนเกี่ยวกับสิ่งที่สืบมาก่อนหน้านี้
พวกนางออกไปสืบข่าวเกี่ยวกับเหลียนซวงและเหลียนอู้และได้รับเบาะแสที่เมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งใกล้กับภูเขาจันทรา หลังจากรีบมุ่งหน้าขึ้นไปบนภูเขาลูกนั้น พวกนางก็พบศพของทั้งสอง จากการสันนิษฐาน คาดการณ์ได้ว่าพวกนางเสียชีวิตไปอย่างน้อยสามวันแล้วและศพก็เริ่มส่งกลิ่นเหม็นเน่าออกมา
สิ่งที่แปลกพิลึกคือภูเขาจันทราแห่งนั้นถือเป็นแนวเขาที่เต็มไปด้วยอสูรมายาทรงพลังมากมาย ทว่าศพของทั้งสองกลับอยู่ในสภาพสมบูรณ์โดยที่ไม่มีส่วนใดขาดหายไป
ยิ่งไปกว่านั้น สาเหตุการตายของพวกนางก็แปลกประหลาดอย่างมาก ไม่มีร่องรอยของการต่อสู้บนตัวของพวกนางและไม่มีแม้กระทั่งบาดแผลบนร่างกายด้วยซ้ำ ราวกับว่าพวกนางเสียชีวิตไปโดยธรรมชาติซึ่งแปลกประหลาดอย่างที่สุด
“เหอะ ฮวาเยว่ ศิษย์ทั้งสองคนของข้าติดตามเจ้าไปทำภารกิจ ทว่าตอนนี้พวกนางกลับเสียชีวิตแล้ว หวังว่าเจ้าจะมีคำอธิบายให้กับข้า !”
ฮวาหรงก้าวออกไปข้างหน้าและมองดูร่างของเหลียนซวงและเหลียนอู้ แววตาของนางไม่มีความเศร้าใจใด ๆ และเพียงแค่นเสียงเย็นชาในลำคอขณะพยายามใช้โอกาสนี้เพื่อหาเรื่องฮวาเยว่
“ฮวาหรง ข้าบอกเจ้าไปแล้วว่าพวกนางแยกตัวออกไปเองและไม่ได้บอกกับข้าว่าจะไปที่ใด พวกนางเดินทางออกไปกับศิษย์ของนิกายเมฆาล่องลอย ส่วนพวกนางไปปรากฏตัวที่ภูเขาจันทราได้อย่างไรนั้น สิ่งต่าง ๆ ก็น่าจะกระจ่างมากขึ้นในไม่ช้า เจ้าไม่จำเป็นต้องพยายามโยนความผิดให้กับข้าหรอก”
ฮวาเยว่ขมวดคิ้วมุ่น ภูเขาจันทราและนิกายหมื่นบุปผาอยู่ในทิศทางที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงและแทบจะอยู่กันคนละฝั่งด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม นิกายเมฆาล่องลอยและนิกายหมื่นบุปผาอยู่ในทิศทางเดียวกัน การที่เหลียนซวงและเหลียนอู้เดินทางกลับไปพร้อมกับคณะศิษย์ของนิกายเมฆาล่องลอย โดยหลักการแล้วพวกนางก็ไม่มีทางจะไปลงเอยที่ภูเขาจันทราได้เลย
“ผู้คุมกฎฝั่งซ้ายพูดถูก สิ่งที่เราต้องสืบให้แน่ชัดตอนนี้คือสาเหตุการตายของทั้งสองและสาเหตุที่พวกนางปรากฏตัวที่ภูเขาจันทราแทนที่จะโต้เถียงกันอย่างไร้ประโยชน์ ฮวาหรง…ข้ารู้ว่าการที่ศิษย์คนโปรดทั้งสองตายไปคงทำให้เจ้าไม่สบายใจมาก ทว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับผู้คุมกฎฝั่งซ้าย”
ครานี้ฮวาฟางเฟยไม่เข้าข้างฮวาหรงแต่กลับกล่าวเพื่อคลี่คลายสถานการณ์และขัดขวางมิให้ฮวาหรงหาเรื่องฮวาเยว่ต่อไป
ในเวลานี้ ฉินอวี้โม่ก็ก้าวออกไปข้างหน้าและนั่งยองลงเพื่อตรวจดูศพของทั้งสองอย่างละเอียดและพยายามระบุสาเหตุการตายของพวกนาง
“ฉินอวี้โม่ เจ้าคิดจะทำอะไรกัน ?!”
ฮวาหรงก้าวออกไปข้างหน้าและกล่าวเสียงดัง “ก่อนหน้านี้เจ้าคงจะสร้างความลำบากใจให้กับเหลียนซวงและเหลียนอู้จนพวกนางทนไม่ไหวและขอแยกตัวออกไปซึ่งสุดท้ายก็นำไปสู่ผลลัพธ์ที่เลวร้ายเช่นนี้ ทว่าตอนนี้เจ้าก็ยังคิดที่จะล่วงเกินศพของพวกนางอีกงั้นรึ ? เจ้าไม่คิดว่ามันมากเกินไปรึ !”
เหลียนซวงคือศิษย์ที่นางภาคภูมิใจมากที่สุด การที่นางล้มตายไปเช่นนี้ส่งผลกระทบต่อความแข็งแกร่งโดยรวมของฝั่งขวาอย่างรุนแรง สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาก็ทำให้ชื่อเสียงของฝั่งขวาเสื่อมเสียลงไปมากแล้วและทั้งหมดนี้ก็เกิดขึ้นเพราะฉินอวี้โม่ เพราะเหตุนั้นความเคียดแค้นที่ฮวาหรงมีต่อฉินอวี้โม่จึงชัดเจนอย่างมิอาจปิดบัง
“ผู้คุมกฎฝั่งขวา โปรดอย่ามโนสร้างภาพในหัวมากจนเกินไปเลย”
อวิ๋นซื่อเทียนกลอกตาไปมาและอดกล่าวออกไปไม่ได้ “ก่อนหน้านี้ในตอนที่พวกนางยังมีชีวิตอยู่ อวี้โม่ก็ไม่ได้สนใจพวกนางด้วยซ้ำ หลังจากตายไป นางก็ไม่มีความจำเป็นต้องสนใจเช่นกัน ตอนนี้นางเพียงต้องการตรวจสอบหาสาเหตุการตายของพวกนางดูก็เท่านั้น และไม่ได้คิดจะล่วงเกินศพของพวกนางอย่างที่ท่านคิดเลยสักนิด”
ฉินอวี้โม่ไม่สนใจวาจาของฮวาหรงขณะแผ่พลังวิญญาณออกไปสำรวจภายในร่างกายของเหลียนซวงและเหลียนอู้ก่อนพบกลิ่นอายบางอย่างที่ไม่คุ้นเคยอยู่ใกล้กับจุดตันเถียนของพวกนาง มันดูราวกับเป็นกลิ่นอายของความตายทว่ามันก็เหมือนจะมิใช่เช่นกัน สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือมันเป็นกลิ่นอายที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนอย่างมากและคาดว่าอาจจะเป็นสาเหตุของการตายของทั้งสอง
บนภูเขาจันทราแห่งนั้น มันจะต้องเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นอย่างแน่นอน !
สิ่งที่ฉินอวี้โม่สงสัยใคร่รู้มากยิ่งกว่าคือเหตุใดเหลียนซวงและเหลียนอู้จึงเดินทางไปที่ภูเขาจันทราอย่างกะทันหัน ? พวกนางได้รับคำสั่งใดหรือเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่นั่นที่ทำให้พวกนางอดไม่ได้ที่จะเดินทางไปด้วยตัวเอง ?
“ฮวาหรง ใจเย็นก่อน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับใครทั้งนั้น สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการหาสาเหตุการตายของพวกนางและสืบหาความจริงว่าเหตุใดทั้งสองจึงเดินทางไปที่ภูเขาจันทรา มิใช่การกล่าวโทษกันเองเช่นนี้”
ฮวาฟางเฟยตบไหล่ฮวาหรงเบา ๆ และกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
นางเองก็เสียใจกับการตายของเหลียนซวงและเหลียนอู้มากเช่นกัน ทั้งสองเป็นศิษย์ที่ยอมจำนนต่อนางอย่างเต็มใจและได้รับการฝึกฝนอย่างดีมาตลอด ความสูญเสียอย่างกะทันหันเช่นนี้ส่งผลกระทบต่อนางไม่น้อยเช่นกัน
ก่อนหน้านี้นางยังไม่ได้ถ่ายทอดคำสั่งใดออกไป การที่เหลียนซวงและเหลียนอู้เดินทางไปที่ภูเขาจันทราอย่างกะทันหันจะต้องเป็นเพราะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นที่นั่นอย่างแน่นอน และการที่ตัวนางแอบร่วมมือกับจอมยุทธ์ปีศาจอยู่ เชื่อว่าคนเหล่านั้นมิใช่ต้นเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะเหตุนั้น นางจึงมิอาจคาดเดาได้เลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือสิ่งใดกันแน่…
“ท่านจ้าวนิกาย ข้าจะเดินทางไปที่ภูเขาจันทราและสืบหาความจริงด้วยตัวเอง”
ฮวาเยว่กล่าวและแสดงความต้องการไปที่ภูเขาจันทราด้วยตัวเองเพื่อสืบหาความจริงเกี่ยวกับสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น
“ท่านจ้าวนิกาย พวกนางเป็นศิษย์ของข้าและข้าจะไปที่นั่นด้วยตัวเอง !”
ฮวาหรงเองก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฉะฉานชัดเจนและต้องการทราบให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์ทั้งสองของตน
การตายของเหลียนซวงและเหลียนอู้ทำให้นางเผชิญกับความสูญเสียที่ร้ายแรง ในอดีตที่ผ่านมา นางไม่เคยอยากออกไปจากนิกายหมื่นบุปผา ทว่าครานี้นางตั้งใจจะไปที่ภูเขาจันทราด้วยตัวเอง
“ผู้คุมกฎฝั่งซ้ายเพิ่งกลับมาจากชายฝั่งทางเหนือได้ไม่นาน ตอนนี้เจ้าพักผ่อนอยู่ที่นิกายก่อนเถอะ ปล่อยให้ผู้คุมกฎฝั่งขวานำศิษย์จำนวนหนึ่งไปที่ภูเขาจันทราด้วยตัวเอง”
ฮวาฟางเฟยตัดสินใจให้ฮวาหรงนำคณะศิษย์ไปสืบหาความจริง
“อวี้โม่ เจ้ามีไข่มุกเลี่ยงวารีและไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อยู่ในการครอบครอง เพราะฉะนั้นข้าจะให้เจ้าติดตามผู้คุมกฎฝั่งขวาไปด้วย เรายังไม่ทราบสถานการณ์ของที่นั่นอย่างแน่ชัดและข้าจะไม่ส่งคนไปที่ภูเขาจันทรามากจนเกินไป นำศิษย์นอกสองคนและศิษย์ฝั่งขวาสองคนไปด้วยก็น่าจะเพียงพอ”
นางสั่งการทันทีและไม่คิดที่จะส่งคนไปมากจนเกินไป
“เจ้าค่ะ ท่านจ้าวนิกาย”
ฮวาหรงจ้องหน้าฉินอวี้โม่ตาเขม็งทว่าพยักศีรษะตอบรับ ฉินอวี้โม่ก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดและพยักศีรษะเบา ๆ เช่นกัน
ศิษย์นอกที่จะเดินทางไปในครานี้มิใช่หานโม่ฉือ หากแต่เป็นศิษย์สองคนที่ฉินอวี้โม่ไม่สนิทสนม สำหรับศิษย์ฝั่งขวาสองคน ฉินอวี้โม่ก็พอจะรู้จักพวกนางทว่าไม่สนิทสนมเช่นกัน ก่อนหน้านี้พวกนางก็มีความสัมพันธ์อันดีกับเหลียนซวงและถือเป็นลิ่วล้อของฮวาหรง
หลังจากเตรียมความพร้อม กลุ่มคนทั้งหกก็เดินทางออกจากนิกายหมื่นบุปผาโดยที่นั่งเรือเหินเวหามุ่งหน้าไปยังทิศทางของภูเขาจันทรา
“ฉินอวี้โม่ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบข้า ทว่าครานี้เจ้าจะต้องเชื่อฟังคำสั่งของข้าเท่านั้น”
ฮวาหรงไม่เสแสร้งแสดงความชื่นชอบต่อฉินอวี้โม่แต่อย่างใด นางกล่าววาจาเย็นชาและแววตาแข็งกร้าวไม่เปลี่ยนแปลง
“ทัศนคติของข้ามิใช่เรื่องสำคัญหรอกเจ้าค่ะ เพื่อหาสาเหตุการตายของศิษย์พี่ทั้งสอง ข้าจะเชื่อฟังท่าน”
ฉินอวี้โม่ก็เหนื่อยหน่ายเกินกว่าจะเสียเวลาโต้แย้งกับอีกฝ่ายและพยักศีรษะตอบตกลงทันที อย่างไรก็ตาม หากว่าคำสั่งของฮวาหรงฟังดูไม่ชอบมาพากล นางก็ไม่คิดที่จะปฏิบัติตามอย่างแน่นอน ถึงอย่างไรฉินอวี้โม่ก็มิใช่หุ่นเชิดที่จะรับใช้ผู้ใด ยิ่งไปกว่านั้น หากว่าฮวาหรงต้องการจะใช้โอกาสนี้ในการจัดการกับนาง มันก็ขึ้นอยู่กับว่าฮวาหรงจะมีความสามารถมากพอหรือไม่ !