ทั้งสองมุ่งหน้าเดินขึ้นไปบนภูเขาจันทราอย่างช้า ๆ ขณะแผ่พลังวิญญาณออกไปสำรวจสถานการณ์โดยรอบ
ภูเขาจันทราในยามค่ำคืนเงียบสงัดอย่างยิ่งและทั้งสองไม่พบเห็นผู้ใดแม้แต่คนเดียว
อสูรมายามากมายล้วนซ่อนกลิ่นอายของตนเองไว้และพักอยู่ในอาณาเขตของตนอย่างเงียบเชียบ
ฮวาหรงเดินนำอยู่ข้างหน้าในขณะที่ฉินอวี้โม่เดินตามหลังมาไม่ไกลนัก ทว่าการที่พวกนางไม่เอ่ยปากพูดจาสนทนากันก็ทำให้บรรยากาศดูอึดอัดเล็กน้อย
เมื่อเดินขึ้นไปบนภูเขาได้ประมาณครึ่งทาง ในที่สุดพวกนางก็สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังที่รุนแรงและคาดว่าน่าจะมีอสูรทรงพลังอยู่ในบริเวณใกล้เคียง
ทั้งสองระมัดระวังตัวมากยิ่งขึ้นขณะเดินหน้าต่อไปยังยอดเขา
จากคำกล่าวของศิษย์ทั้งสองก่อนหน้านี้ ศพของเหลียนซวงและเหลียนอู้ถูกพบบนพื้นดินยกสูงใกล้ยอดเขา ฉินอวี้โม่และฮวาหรงจึงตั้งใจตามหาพื้นดินยกสูงดังกล่าวและลองเข้าไปตรวจสอบที่นั่นดู
บรรยากาศกลายเป็นความตึงเครียดมากขึ้นเรื่อย ๆ ในเวลานี้ฮวาหรงไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะหาเรื่องกวนใจฉินอวี้โม่ด้วยซ้ำขณะสีหน้าแสดงถึงความจริงจังออกมาอย่างชัดเจน
ในทางตรงกันข้าม ฉินอวี้โม่ดูผ่อนคลายอย่างมากขณะพูดคุยกับบรรดาอสูรในคฤหาสน์เฟิงหัวทางกระแสจิตด้วยท่าทางสบาย ๆ
“นายหญิง ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ชั่วร้ายบางอย่าง แต่ก็ไม่แน่ใจว่ามาจากที่ใด”
เสียงของบุปผาแห่งแสงดังขึ้นในโสตประสาทของฉินอวี้โม่ มันมีประสาทสัมผัสที่ไวต่อกลิ่นอายที่ชั่วร้ายมากที่สุด นับตั้งแต่ที่ฉินอวี้โม่ก้าวขึ้นมาบนภูเขาจันทรา มันก็รับรู้ได้ตั้งแต่ต้น กลิ่นอายดังกล่าวมืดหม่นยิ่งกว่าผู้นำของจอมยุทธ์ปีศาจก่อนหน้านี้เสียอีกและทำให้มันรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมา
บางทีเจ้าของกลิ่นอายที่ทรงพลังนี้คือต้นเหตุการตายของเหลียนซวงและเหลียนอู้
“รอดูไปก่อนเถอะ ข้าคิดว่าเรื่องนี้ไม่เรียบง่ายอย่างที่เห็นแน่”
ฉินอวี้โม่ไตร่ตรองครู่หนึ่งและสังหรณ์ใจมาตลอดว่าสถานการณ์ครานี้ซับซ้อนกว่าที่คิดไว้มาก ไม่เพียงแต่กลิ่นอายที่สัมผัสได้เท่านั้น ทว่าภูเขาจันทราลูกนี้ก็ทำให้นางรู้สึกถึงความแปลกพิลึกอยู่ตลอด
เหล่าอสูรมายาของฉินอวี้โม่ก็ไม่กล่าวสิ่งใดอีกต่อไปขณะจดจ่อกับสถานการณ์รอบตัวเพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน
ขณะเดินหน้าขึ้นไปบนยอดเขาอย่างระแวดระวัง ฉินอวี้โม่และฮวาหรงก็ยังไม่เผชิญกับภยันตรายหรือพบกับผู้ใด
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ทั้งสองก็มาถึงพื้นยกสูงที่กล่าวว่าเป็นจุดที่พบศพของเหลียนซวงและเหลียนอู้ มันคือพื้นยกสูงที่มีขนาดใหญ่มากพอที่จะรองรับคนหลายร้อยชีวิตได้ และเมื่อก้าวขึ้นไป พวกนางก็พบกับขั้นบันไดที่นำทางขึ้นไปสู่ยอดเขา
ทั้งสองหยุดลงชั่วคราวและมองสำรวจไปรอบ ๆ
พื้นยกสูงนี้ก็ดูเหมือนพื้นดินธรรมดาทั่วไปโดยที่เต็มไปด้วยวัชพืชและต้นหญ้าเล็ก ๆ ซึ่งมีร่องรอยของการถูกเหยียบย่ำ เห็นได้ชัดว่ามีคนเดินขึ้นมาที่นี่อยู่เป็นประจำ
รอบตัวของทั้งสองก็ไม่มีกลิ่นอายที่ทรงพลังใด ๆ ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าในเวลานี้ไม่มีอสูรมายาที่ทรงพลังอยู่รอบ ๆ แม้แต่ตัวเดียว
แม้ศพของเหลียนซวงและเหลียนอู้จะถูกพบอยู่ที่นี่ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกนางจะถูกฆ่าตายอยู่ที่นี่ บางทีการตายของพวกนางอาจมาจากสาเหตุอื่นก็เป็นได้
หลังจากมองสำรวจไปทั่วบริเวณ ฉินอวี้โม่ก็พบว่าที่นี่ไม่มีสิ่งใดผิดปกติหรือแตกต่างไปจากพื้นยกสูงธรรมดา ซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่มีภยันตรายใด ๆ นับประสาอะไรกับการที่จะมีสิ่งใดที่ทำร้ายคนทั้งสองได้
“ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีอะไร เราต้องขึ้นไปตรวจสอบดูบนยอดเขา”
ฮวาหรงขมวดคิ้วมุ่น หลังจากการสำรวจทั่วบริเวณนานครึ่งชั่วยาม นางก็ตัดสินใจในที่สุด
บริเวณนี้ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ หากต้องการสืบหาความจริงถึงสิ่งที่เกิดขึ้น พวกนางก็ต้องขึ้นไปที่ยอดเขาเพื่อสำรวจต่อไป
ในตอนนี้เป็นเวลาดึกมากแล้วและดวงจันทร์งดงามก็ประดับอยู่กลางท้องฟ้าทอแสงลงมาบนภูเขาจันทราและเพิ่มความสว่างให้กับมัน
เมื่อได้ยินวาจาของฮวาหรง ฉินอวี้โม่ก็พยักศีรษะและค่อย ๆ เดินหน้าไปสู่ยอดเขาพร้อมกันฮวาหรง
ทันทีที่ก้าวขึ้นบนขั้นบันไดขั้นแรกที่นำไปสู่ยอดเขา ฉินอวี้โม่ก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ
จู่ ๆ ชั้นหมอกหนาก็ปกคลุมรอบตัวฉินอวี้โม่อย่างกะทันหันและฮวาหรงที่เดินอยู่ข้างหน้าก่อนหน้านี้ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย แม้แต่กลิ่นอายของฮวาหรงก็หายไปอย่างสิ้นเชิงราวกับว่านางไม่ได้อยู่บนภูเขาจันทราลูกนี้อีกต่อไป
“ท่านผู้คุมกฎฝั่งขวา ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยเรียกออกไปทันทีทว่าไม่ได้รับการตอบกลับใด ๆ ฮวาหรงหายตัวไปอย่างแท้จริงและหมอกหนาตรงหน้าไม่ได้บดบังเพียงวิสัยทัศน์เท่านั้น
“หมอกนี่ไม่ปกติเลยสักนิด”
ฉินอวี้โม่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อยืนอยู่บนพื้นยกสูงก่อนหน้านี้ นางไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใด ๆ ทว่าทันทีที่ก้าวขึ้นบนขั้นบันได ม่านหมอกชั้นหนากลับปรากฏขึ้นทันทีซึ่งพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่ามันผิดปกติมากเพียงใด
“ท่านแม่ เข้ามาในคฤหาสน์เฟิงหัวและตรวจสอบสถานการณ์จากข้างในจะดีกว่า”
หานอวี้กล่าวกับฉินอวี้โม่เพื่อให้นางเข้ามาในคฤหาสน์เฟิงหัว
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะเบา ๆ เป็นคำตอบ นางต้องการทราบความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นและการเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวอาจทำให้นางไม่ค้นพบต้นเหตุของมันและสิ่งที่ตามหาอาจจะไม่ปรากฏขึ้นมา
นางก้าวขึ้นบนขั้นบันไดอย่างช้า ๆ ทว่ายิ่งก้าวเดินไปข้างหน้ามากเพียงใด ม่านหมอกรอบตัวก็หนาขึ้นมากเพียงนั้น
มันแตกต่างจากชั้นหมอกในมหาสมุทรทางเหนือก่อนหน้านี้เล็กน้อย หมอกนี้ดูราวกับแอบแฝงไปด้วยบางสิ่งบางอย่างที่สามารถยับยั้งพลังมายาในร่างกายของจอมยุทธ์ได้ แม้แต่พลังมายาในร่างของฉินอวี้โม่ก็ถูกยับยั้งไปในระดับหนึ่งและไม่สามารถปลดปล่อยออกมาได้อย่างเต็มที่
“นี่มันพลังประเภทใดกัน ?”
บรรดาอสูรมายาในคฤหาสน์เฟิงหัวต่างก็สงสัยและงุนงงอย่างที่สุด หมอกรอบตัวแปลกประหลาดจนเกินไปซึ่งเป็นพลังที่พวกมันไม่เคยประสบพบเจอมาก่อนและทำให้รู้สึกหวาดหวั่นในหัวใจ
“จ้อกแจ้ก ๆ…”
เสียงประหลาดดังขึ้นในหูของฉินอวี้โม่และร่างหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าพร้อมกับคลื่นพลังที่พุ่งออกมาคว้าร่างนางไว้
ฟึ่บ !
ฉินอวี้โม่ปล่อยเปลวเพลิงออกมาห่อหุ้มรอบตัวทันทีและมันคือเพลิงแห่งชีวิตของซิวนั่นเอง
“โร่วววว….”
เสียงร้องดังขึ้นราวกับร่างนั้นถูกลวกด้วยเพลิงทรงพลังของซิวและส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดออกมา
ร่างตรงหน้าฉินอวี้โม่หายไปอย่างรวดเร็ว ความผันผวนในอากาศก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับมันไม่เคยปรากฏมาก่อน
“เร็วชะมัด !”
ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว ไม่มีอสูรตัวใดที่ตอบสนองได้ทันหรือเห็นได้อย่างชัดเจนด้วยซ้ำว่าสิ่งมีชีวิตนั้นคือสิ่งใด
ความเร็วของเงามืดนั้นรวดเร็วเป็นอย่างยิ่งและหายวับไปในชั่วพริบตา ราวกับเป็นเพียงภาพลวงตาก็ว่าได้
“มันคือตัวอะไรกัน ?”
ซิวเองก็ขมวดคิ้วมุ่นเช่นกัน มันจับตาดูสถานการณ์รอบตัวมาตลอด ทันทีที่เงามืดนั้นปรากฏขึ้น มันก็มองเห็นได้ทันที เพียงแต่เงาดังกล่าวดูเลือนรางและไม่มีตัวตนซึ่งยากที่จะระบุตำแหน่งที่ชัดเจนได้ มันทำได้เพียงเตรียมเพลิงป้องกันไว้รอบตัวฉินอวี้โม่เพื่อมิให้นางได้รับบาดเจ็บเท่านั้น
เพลิงแห่งชีวิตของมันสามารถแผดเผาได้เกือบทุกสิ่งและเงามืดนั้นก็ไม่อาจเข้าใกล้ได้เลย
“ไปต่อกันเถอะ”
สีหน้าของฉินอวี้โม่แสดงถึงความระแวดระวังยิ่งกว่าเดิมขณะเดินหน้าต่อไปยังยอดเขา
จุดที่นางยืนอยู่ในตอนนี้ยังห่างไกลจากยอดเขาพอสมควร ทว่าแรงกดดันรอบตัวยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ฉินอวี้โม่ไม่มั่นใจเลยว่าจะไปถึงยอดเขาได้ก่อนรุ่งสางหรือไม่
อย่างไรก็ตาม การหายตัวไปของฮวาหรงเป็นประโยชน์ต่อนางไม่น้อยเลยทีเดียว อย่างน้อยที่สุด ตอนนี้ฉินอวี้โม่ก็สามารถเข้า-ออกคฤหาสน์เฟิงหัวได้ตามต้องการโดยไม่ต้องกังวลว่าไพ่ตายของตนเองจะถูกค้นพบ แม้เผชิญกับวิกฤตร้ายแรง นางก็สามารถเอาตัวรอดได้อย่างไร้ปัญหา
ในเวลานี้ พลังมายาของนางก็ถูกยับยั้งไว้ส่วนหนึ่งและพละกำลังทางร่างกายก็ค่อย ๆ ลดน้อยลงไปอย่างต่อเนื่อง กล่าวได้ว่าฉินอวี้โม่ได้รับผลกระทบจากสภาพแวดล้อมรอบตัวมากพอสมควร
เงามืดไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นอีกและดูเหมือนว่ามันกำลังเฝ้ารอโอกาสที่เหมาะสม
ฉินอวี้โม่ก็ระวังตัวมากยิ่งขึ้นขณะแผ่พลังวิญญาณออกไปรอบตัวอย่างเต็มพิกัดเพื่อจับตาดูสถานการณ์ไว้
ในที่สุด หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป เสียงประหลาดก็ดังขึ้นอีกครั้งและเงามืดโผล่ออกมาจากโจมตีฉินอวี้โม่อีกครา
อย่างไรก็ตาม ครานี้ฉินอวี้โม่เตรียมพร้อมรับมือไว้แล้ว ทันทีที่เงามืดปรากฏ ซิวก็ปรากฏตัวข้างกายนางเช่นกัน จากนั้นเพลิงร้อนระอุก็แผ่ปกคลุมทั่วบริเวณทันทีและเผยให้เห็นร่างของเงามืดตรงหน้า
มันดูคล้ายเงาร่างของมนุษย์ทว่าไม่เหมือนมนุษย์เสียทีเดียว ทั่วทั้งร่างของมันปกคลุมไปด้วยเสื้อคลุมสีดำสนิทและมองไม่เห็นแม้แต่ดวงตาด้วยซ้ำ
“ฮือ ฮือ…”
ด้วยเสียงร้องคร่ำครวญดังขึ้นมา เงาทะมึนก็หายวับไปกลางอากาศอีกครั้งและกลิ่นอายของมันก็หายไปจากทั่วบริเวณเช่นกัน