หลังจากพักผ่อนและบ่มเพาะพลังตลอดทั้งวัน ความแข็งแกร่งของฮวาหรงก็ฟื้นคืนกลับมาในระดับหนึ่งและตอนนี้สีหน้าก็ดูสดใสกว่าก่อนมาก
“นั่งก่อนสิ”
นางกล่าวขึ้นเบา ๆ เพื่อให้ฉินอวี้โม่นั่งลง
“ข้าแจ้งท่านจ้าวนิกายเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่แล้วและนางก็แจ้งข่าวให้ขุมกำลังอื่น ๆ ทราบแล้วเช่นกัน เชื่อว่าพวกเขาจะส่งคนมาถึงที่นี่ในอีกไม่กี่วัน ช่วงนี้เราจะอยู่ในเมืองนี้อย่างสงบจิตสงบใจและยังไม่ต้องดำเนินการสิ่งใดก่อน”
หลังจากแจ้งข่าวในทางนี้ไป นางก็ได้รับข่าวจากฮวาฟางเฟยซึ่งกำชับให้พวกนางระมัดระวังตัวไว้และรอวางแผนรับมือเมื่อตัวแทนของขุมกำลังอื่น ๆ มาถึง
“เจ้าค่ะท่านผู้คุมกฎ”
ทุกคนพยักศีรษะตอบตกลงทันทีและฉินอวี้โม่ก็ไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนบอกฮวาหรงเกี่ยวกับข่าวที่ได้ทราบมา เพียงแต่นางไม่ได้กล่าวถึงตัวตนของจอมยุทธ์ลั่วเฟิงและไม่บอกว่าตนไปที่ภูเขาจันทรามาโดยกล่าวเพียงว่าได้ยินข่าวมาจากคนในสมาคมทหารรับจ้าง
“มันควรจะเป็นสิ่งมีชีวิตลึกลับนั่นที่ทำให้ข้าบาดเจ็บ ทว่าหากความแข็งแกร่งของมันเหนือกว่าท่านจ้าวนิกาย เกรงว่าเราคงจะรับมือกับมันได้ยากกว่าที่คิด”
ฮวาหรงไม่นึกสงสัยในวาจาของฉินอวี้โม่และไม่เอ่ยถามสิ่งใดขณะกล่าวออกไป
สีหน้าของสิงโยวและคนอื่น ๆ แสดงถึงความหวาดกลัวทันที หากกล่าวว่ามีความแข็งแกร่งที่เหนือยิ่งกว่าจ้าวนิกายของพวกนาง สิ่งมีชีวิตที่ว่านั้นจะแข็งแกร่งมากเพียงใด…
โชคดีที่พวกนางอยู่เพียงในโรงเตี๊ยมและไม่ได้ขึ้นไปที่ภูเขาจันทราด้วยกัน มิฉะนั้น เกรงว่าพวกนางคงลงเอยในสภาพเดียวกับเหลียนซวงและเหลียนอู้เป็นแน่
“ทว่าข้าก็สงสัยว่าเหตุใดศิษย์พี่ทั้งสองจึงมุ่งหน้าไปที่ภูเขาจันทราอย่างกะทันหัน…ท่านผู้คุมกฎฝั่งขวาทราบถึงเรื่องนี้รึไม่เจ้าคะ ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามต่อ สำหรับสาเหตุที่เหลียนซวงและเหลียนอู้รีบเดินทางมาที่นี่ นางก็สงสัยใคร่รู้มากเช่นกัน ภูเขาจันทราและนิกายหมื่นบุปผาอยู่ห่างไกลกันมากพอสมควรและมันมิใช่ทางผ่านระหว่างทางกลับด้วยซ้ำ ไม่อาจทราบได้เลยว่าทั้งสองได้รับข่าวใดมาจึงรีบเดินทางมาที่นี่
การที่ทั้งสองเดินทางมาที่ภูเขาจันทราจะต้องมีเหตุผลที่พิเศษอยู่เบื้องหลังเป็นแน่
หรือว่าแท้จริงแล้วสิ่งมีชีวิตลึกลับบนยอดเขาของภูเขาจันทรานั้นมีความเกี่ยวข้องกับจอมยุทธ์ปีศาจ ?
“ข้าก็ไม่ทราบ ครั้งล่าสุดที่ติดต่อกัน ข้าบอกให้พวกนางรีบกลับไปที่นิกายหมื่นบุปผาโดยเร็วที่สุด ส่วนสาเหตุที่พวกนางเปลี่ยนใจและมาที่นี่แทนนั้น…เกรงว่าคงมีเพียงพวกนางสองคนที่ทราบ ข้าและท่านจ้าวนิกายไม่เคยออกคำสั่งให้ทั้งสองมาที่ภูเขาจันทรา”
ฮวาหรงทราบเพียงเท่านี้ ต่อให้พวกตนมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับจอมยุทธ์ปีศาจ นางและฮวาฟางเฟยก็ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่
ยิ่งไปกว่านั้น หากสิ่งมีชีวิตลึกลับบนยอดเขาเกี่ยวข้องกับจอมยุทธ์ปีศาจจริง มันก็ไม่ควรที่จะโจมตีนางเช่นนั้น…
เมื่อเห็นว่าฮวาหรงดูไม่มีท่าทีว่าจะทราบเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตลึกลับมาก่อน ฉินอวี้โม่จึงมั่นใจว่าสิ่งมีชีวิตดังกล่าวไม่มีความเกี่ยวโยงโดยตรงกับจอมยุทธ์ปีศาจและพอจะรู้สึกโล่งใจได้เล็กน้อย
หากมันมีความเกี่ยวข้องกับจอมยุทธ์ปีศาจ สถานการณ์จะเลวร้ายกว่าที่คิดมากนัก สิ่งมีชีวิตลึกลับที่ทรงพลังเช่นนั้น หากรวมพลังกับผู้นำของจอมยุทธ์ปีศาจและสมาชิกคนอื่น ๆ จากสามสำนักและเก้านิกายที่แอบร่วมมือกับจอมยุทธ์ปีศาจซึ่งไม่อาจทราบได้ว่ามีจำนวนมากเพียงใด เกรงว่าทั้งดินแดนมหาเทพจะตกอยู่ในความโกลาหลอย่างแน่นอน…
ยิ่งไปกว่านั้น หากมีความเกี่ยวข้องกันจริง จอมยุทธ์ปีศาจก็คงจะเคลื่อนไหวกันออกมาแล้วแทนที่จะซ่อนตัวอยู่ที่ฐานทัพอย่างเงียบ ๆ ราวกับว่ายังหวาดหวั่นต่อการร่วมมือกันของสามสำนักและเก้านิกาย…
เจ็ดวันต่อมาก็ผ่านไปอย่างราบรื่นและเงียบสงบ ด้วยการเปิดเผยข่าวของฮวาหรง จอมยุทธ์ทุกคนที่เดินทางมาที่เมืองจันทราก็ล้วนขึ้นไปบนภูเขาจันทราเพื่อฝึกวิชาในช่วงกลางวันเท่านั้นและเก็บตัวอยู่ในเมืองในยามค่ำคืนเพื่อป้องกันตัวจากเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง
แม้มีจอมยุทธ์หนึ่งถึงสองคนที่หายตัวไป มันก็ไม่ส่งผลกระทบมากเท่าก่อนหน้านี้
ภายในเจ็ดวันที่ผ่านมา คนจากสามสำนักและเก้านิกายก็เดินทางมาถึงตาม ๆ กัน ความแข็งแกร่งของทุกคนล้วนอยู่ในระดับที่สูงพอสมควรซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากเพียงใด
ความแข็งแกร่งของฮวาหรงก็ฟื้นฟูอย่างเต็มที่แล้วเช่นกันและสภาพร่างกายก็กลับคืนสู่สภาวะสูงสุดเช่นเดิม
ในเวลานี้ พวกนางกำลังรวมตัวกับคนจากสามสำนักและเก้านิกายเพื่อหารือถึงวิธีจัดการกับสิ่งมีชีวิตลึกลับด้วยกัน
ตัวแทนจากนิกายกระบี่สายฟ้าในครานี้เป็นจอมยุทธ์ที่ฉินอวี้โม่ไม่เคยพบมาก่อน และดูเหมือนว่านับตั้งแต่กลับจากชายฝั่งทางเหนือ ฉินเทียนก็เก็บตัวบ่มเพาะพลังมาตลอดและยังไม่ออกมา
ทุกคนไม่ทักทายกันมากนักขณะนั่งลงเพื่อเตรียมหารือกัน
ฮวาหรงเป็นคนแรกที่แจ้งข่าวที่ฉินอวี้โม่ได้รับมาก่อนหน้านี้ให้ทุกคนได้ทราบ จากนั้นนางก็เงียบลงเพื่อรอการตอบสนองจากคนอื่น ๆ
ทุกคนตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์นี้เป็นอย่างดีและพวกเขาเพียงไม่กี่คนไม่สามารถเอาชนะสิ่งมีชีวิตลึกลับบนภูเขาจันทราได้ เพราะเหตุนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือทุกคนต้องหารือเพื่อให้มีความเข้าใจที่ตรงกันและสามารถร่วมมือกันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพในการต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตทรงพลังดังกล่าว
“ในเมื่อผู้คุมกฎฮวาหรงกล่าวว่าสิ่งมีชีวิตลึกลับนั่นจะอ่อนแอที่สุดในตอนกลางวัน ถ้าเช่นนั้นเราก็บุกไปที่ยอดเขาเพื่อตามหาที่อยู่ของมันและจู่โจมมันในตอนกลางวันจะดีกว่า โอกาสของชัยชนะจะเพิ่มสูงขึ้นมาก”
ผู้อาวุโสใหญ่ของนิกายเมฆาล่องลอยกล่าวเสนอแผนการขึ้นมา ครานี้เขาพาสมาชิกจากนิกายมาด้วยสองคนและพวกเขาล้วนคุ้นเคยกับฮวาหรงดี
“ข้าก็มีความคิดเช่นนั้นเหมือนกัน ทว่าสิ่งมีชีวิตนั่นแปลกประหลาดเกินไปและไม่ง่ายเลยที่จะตามหามันได้พบ ข้าคิดว่าการหาทางยับยั้งพลังของมันหรือปิดผนึกพลังทั้งหมดบนภูเขาจันทราเสียก่อนเพื่อมิให้มันใช้พลังได้อย่างเต็มที่จะเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุด”
ฮวาหรงพยักศีรษะทว่าส่ายศีรษะอย่างรวดเร็ว หากสามารถตามหาที่อยู่ของมันได้พบ การจัดการกับสิ่งมีชีวิตนั้นก็อาจไม่ยากอย่างที่คิด ทว่าสิ่งมีชีวิตลึกลับมักปรากฏตัวในตอนกลางคืนและเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วยิ่งนักซึ่งคนเหล่านี้อาจไม่สามารถตามมันได้ทัน หากต้องการจัดการกับมัน ทุกคนจะต้องหารือกันเพื่อหาทางออกที่เหมาะสมที่สุด
“บางทีเราอาจจะลองใช้ข่ายอาคมเพื่อควบคุมตัวมันไว้และร่วมมือกันสังหารมันเสีย”
ผู้อาวุโสของสำนักเมฆาครามกล่าวเสนอให้ใช้ข่ายอาคมเพื่อยับยั้งการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตลึกลับก่อนรวมพลังกันสังหารมันซึ่งถือว่าเป็นวิธีที่ดีไม่น้อยเช่นกัน
“เราไม่มีผู้ใช้ข่ายอาคมที่ทรงพลังและข่ายอาคมที่เราวางอาจทำอะไรสิ่งมีชีวิตลึกลับนั่นไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ควบคุมการเคลื่อนไหวของมันได้ การที่ต้องการจะสังหารมันก็มิใช่เรื่องง่ายเลย เรายังต้องมีแผนการสำหรับระยะยาว”
ตัวแทนจากสำนักห้าขุนเขากล่าวแสดงความคิดเห็นของตน เขาไม่เห็นด้วยกับการใช้ข่ายอาคมเพื่อควบคุมสิ่งมีชีวิตลึกลับเท่าใดนักและคิดว่าควรหาทางอื่น
“พรุ่งนี้เราทุกคนจะขึ้นไปที่ภูเขาจันทราด้วยกันเพื่อตรวจดูสถานการณ์ที่นั่น จากนั้นเราจะหารือกันอีกครั้งเพื่อคิดหาวิธีรับมือ”
เมื่อเห็นว่าทุกคนหารือกันมาเป็นเวลานานทว่ายังไม่ได้ทางออกที่ดีที่สุด ผู้อาวุโสจากนิกายกระบี่สายฟ้านามว่า ‘เหลยเจิ้น’ ก็กล่าวเสนอออกมา
เมื่อได้ยินเช่นนั้น คนอื่น ๆ ก็พยักศีรษะเห็นด้วยและไม่มีใครคัดค้านสิ่งใดก่อนแยกย้ายกันไปพักผ่อนในที่พักของตน
หลังจากนั้น เหลยเจิ้นจากนิกายกระบี่สายฟ้าและผู้อาวุโสจากสำนักเมฆาครามนามว่า ‘หวังเยว่’ ก็มาพบกับฉินอวี้โม่เป็นการส่วนตัว
“สหายน้อยอวี้โม่ ก่อนเดินทางมาที่นี่ นายน้อยสั่งให้ข้านำจดหมายมาให้กับเจ้า”
หวังเยว่กล่าวพร้อมหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมายื่นให้กับฉินอวี้โม่และมันคือจดหมายที่ฟู่อวิ๋นซิวสั่งให้เขานำมาก่อนหน้านี้
หลังจากกลับไปถึงสำนักก่อนหน้านี้ ฟู่อวิ๋นซิวพบโอกาสทะลวงพลังและอยู่ในช่วงของการเก็บตัวเพื่อการทะลวงพลัง เมื่อได้ทราบข่าวที่เกิดขึ้นที่ภูเขาจันทราและทราบว่าฉินอวี้โม่อยู่ที่นี่ เขาจึงสั่งให้หวังเยว่นำจดหมายฉบับนี้มาให้กับนาง
“ขอบคุณท่านมาก”
ฉินอวี้โม่กล่าวขอบคุณหวังเยว่ก่อนเปิดจดหมายเพื่ออ่านมันทันที
เนื้อความในจดหมายทำให้นางแปลกใจเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม นางก็ยังไม่เปิดเผยเนื้อความข้างในกับใครและเก็บมันไว้โดยที่ต้องการจะเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวเพื่อศึกษามันอย่างละเอียดอีกครั้ง
“สหายน้อยอวี้โม่ รองจ้าวนิกายฉินเทียนและท่านจ้าวนิกายก็สั่งให้ข้าถ่ายทอดข้อความมา นั่นคือพวกเราสมาชิกของนิกายกระบี่สายฟ้าทุกคนจะเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งทุกอย่างของเจ้า”
เหลยเจิ้นกล่าวอย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน