ฉินเทียนกำลังอยู่ในช่วงเก็บตัวฝึกวิชา เหลยเจี้ยนเชิงเองก็ต้องการมาที่นี่ด้วยตัวเองทว่าเป็นเพราะเกิดเรื่องบางอย่างในนิกาย เขาจึงติดพันอยู่ที่นั่นและไม่สามารถมาได้ตามที่หวังไว้
ด้วยการที่เหลยเจิ้นมีความสัมพันธ์อันดีกับเหลยเจี้ยนเชิงและฉินเทียน อีกทั้งเขาก็ยังทราบเกี่ยวกับตัวตนของฉินอวี้โม่ เขาจึงเสนอมาที่นี่ด้วยตนเอง
ก่อนออกเดินทางมาจากนิกาย เหลยเจี้ยนเชิงก็ถ่ายทอดคำสั่งอย่างชัดเจนว่าให้เขาเชื่อฟังการตัดสินใจของฉินอวี้โม่
เมื่อทราบว่าเหลยเจิ้นผู้นี้เป็นคนที่ไว้วางใจได้ ฉินอวี้โม่ก็บอกเขาเกี่ยวกับข้อมูลที่สืบทราบและรวบรวมมาก่อนหน้านี้
“ถ้าเช่นนั้น สิ่งมีชีวิตลึกลับบนยอดเขาของภูเขาจันทราก็คงจะเป็นตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวมากจริง ๆ ต่อให้เราพยายามอย่างสุดความสามารถ เราก็อาจจะมิใช่คู่ต่อสู้ของมัน”
หลังจากได้ฟังข้อมูลทั้งหมดจากฉินอวี้โม่ สีหน้าของเหลยเจิ้นก็แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนเป็นอย่างมาก ไม่คิดเลยว่าสิ่งมีชีวิตลึกลับบนยอดเขาของภูเขาจันทราจะทรงพลังถึงขั้นนั้น หากเปรียบเทียบกับเหลยเจี้ยนเชิง มันก็แข็งแกร่งกว่ามาก อีกทั้งยังมีพลังของเขตแดนภายในภูเขาจันทราอยู่ ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าการต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้จะทำให้พวกเขาสูญเสียไปมากเพียงใด
“สามสำนักและเก้านิกายประกอบไปด้วยขุมกำลังที่มากเกินไปและไม่ง่ายที่จะได้ข้อตกลงที่ตรงกัน เราอาจจะร่วมมือกันและจัดการกับสิ่งมีชีวิตลึกลับนั่นได้สำเร็จ เพียงแต่เมื่อถึงตอนนั้น คนของนิกายกระบี่สายฟ้าจะต้องปกป้องตัวเองและพึงระลึกไว้เสมอว่าความปลอดภัยของตนเองคือสิ่งสำคัญที่สุด”
ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยเตือนเหลยเจิ้น นางไม่ต้องการให้ศิษย์ของนิกายกระบี่สายฟ้าได้รับอันตรายจากเหตุการณ์ครานี้
“เข้าใจแล้ว ข้าจะกำชับทุกคนเมื่อกลับไปรวมตัวกัน”
เหลยเจิ้นพยักศีรษะตอบรับและหารือกับฉินอวี้โม่อีกพักหนึ่งก่อนขอตัวกลับไปยังที่พักของตน
ในเวลานี้ ฉินอวี้โม่ก็อ่านวิเคราะห์จดหมายจากฟู่อวิ๋นซิวต่อไปและเนื้อความในนั้นทำให้นางตกใจไม่น้อย
เนื้อหาที่ระบุไว้ไม่ยืดยาวมากนักทว่ามันพิสูจน์ให้เห็นได้ว่าการเดินทางมายังภูเขาจันทราในครานี้มิใช่สถานการณ์ที่เรียบง่ายอย่างที่เห็นภายนอก…
สิ่งมีชีวิตลึกลับบนยอดเขาของภูเขาจันทรามีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับจอมยุทธ์ปีศาจ อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้ลงรอยกันเท่าใดนัก สิ่งที่ฟู่อวิ๋นซิวกังวลมากที่สุดคือสิ่งมีชีวิตนั้นจะตระหนักถึงภยันตรายและเลือกร่วมมือกับจอมยุทธ์ปีศาจเป็นการชั่วคราว ในบรรดาขุมกำลังทั้งหมดที่มาที่นี่ ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าผู้ใดแปรพักตร์ไปเข้าร่วมกับจอมยุทธ์ปีศาจแล้วบ้าง หากสิ่งมีชีวิตลึกลับเลือกที่จะร่วมมือกับจอมยุทธ์ปีศาจจริง คนเหล่านั้นก็อาจจะลงมือเช่นกันและนั่นหมายความว่าทุกคนที่เหลือจะตกอยู่ในอันตราย
“นายหญิง ท่านจะบอกเรื่องนี้กับคนอื่น ๆ หรือไม่ ?”
เสียงของซิวดังขึ้นในโสตประสาทของฉินอวี้โม่ด้วยความสงสัยใคร่รู้
หากชี้แจงเรื่องนี้กับคนอื่น ๆ เกรงว่าผู้ที่ร่วมมือกับจอมยุทธ์ปีศาจจะไหวตัวขึ้นมาได้ นอกจากนี้ ขุมกำลังอื่นก็อาจไม่เชื่อวาจาของฉินอวี้โม่ ทว่าหากปิดปากเงียบไว้และไม่กล่าวสิ่งใด ทุกคนก็อาจต้องเผชิญวิกฤตที่หนักหนาสาหัสยิ่งกว่าเดิมซึ่งดูจะเป็นการตัดสินใจที่ไม่ควรนัก
“ข้าก็อยากจะเปิดเผยเรื่องนี้ออกไป อย่างไรก็ตาม ข้าจะเปิดเผยเรื่องนี้กับเพียงไม่กี่คนเท่านั้น สำนักเมฆาคราม นิกายกระบี่สายฟ้าและสำนักเบิกภูผาคือขุมกำลังที่ไว้ใจได้มากที่สุด สำหรับขุมกำลังที่เหลือ เราจะไม่เตือนพวกเขาในตอนนี้และจะเฝ้าจับตาดูพวกเขาไว้เช่นกัน หากเกิดอะไรขึ้นจริง การช่วยคนหมู่มากมิใช่เรื่องง่ายเลย เมื่อถึงตอนนั้น เราเลือกที่จะรับประกันเพียงความอยู่รอดของขุมกำลังที่เป็นมิตรกับเราจะดีกว่า”
ซิวพยักศีรษะเบา ๆ และรู้สึกว่าการตัดสินใจของฉินอวี้โม่เหมาะสมแล้ว
จากนั้นฉินอวี้โม่ก็ชี้แจงข่าวนี้ให้คนของสำนักเบิกภูผาและนิกายกระบี่สายฟ้าได้ทราบ ทั้งสองขุมกำลังก็ไม่นึกสงสัยในวาจาของนางและให้คำมั่นว่าจะเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่
หลังจากไตร่ตรองพักใหญ่ ฉินอวี้โม่ก็ไปพบฮวาหรงอีกครั้ง
“เกิดอะไรขึ้น ? มีเรื่องอะไรงั้นรึ ?”
สีหน้าของฮวาหรงบิดเบี้ยวเล็กน้อย ดูเหมือนว่านางจะได้รับข่าวบางอย่างมา
“ผู้คุมกฎฝั่งขวา สิ่งมีชีวิตลึกลับนั้นแข็งแกร่งมากและศิษย์ทั่วไปอาจช่วยได้ไม่มากนัก ทางที่ดีข้าขอเสนอให้ศิษย์ที่มีความแข็งแกร่งในระดับทั่ว ๆ ไปของทุกขุมกำลังเฝ้ารออยู่ในเมืองและส่งเพียงตัวแทนที่แข็งแกร่งที่สุดขึ้นไปที่ภูเขาจันทราเท่านั้น”
ฉินอวี้โม่กล่าวข้อเสนอออกไปทันทีซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยให้พวกนางเคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้นเท่านั้น ทว่ามันยังช่วยลดความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นได้มากซึ่งถือเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
“ตกลง ข้าจะส่งคนไปแจ้งบรรดาผู้นำของขุมกำลังอื่น ๆ”
ฮวาหรงไม่ปฏิเสธแต่อย่างใด ทว่าหลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย นางก็กล่าวต่อ “เจ้ามีไพ่ตายอยู่กับตัวมากมาย สิ่งมีชีวิตลึกลับนั่นคงจะทำร้ายเจ้าไม่ได้ เพราะฉะนั้นเจ้าควรขึ้นไปกับพวกเราเช่นกัน”
เพลิงแห่งชีวิตของฉินอวี้โม่ทำให้เงามืดนั้นหวาดหวั่นได้ หัวหน้าที่อยู่เบื้องหลังเงามืดก็คือสิ่งมีชีวิตลึกลับและมันอาจจะหวาดกลัวต่อเพลิงดังกล่าวเช่นกัน เพราะเหตุนั้น การให้ฉินอวี้โม่ติดตามไปด้วยจึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับทุกคน
“เจ้าค่ะ ข้าเองก็วางแผนไว้เช่นนั้น”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะตอบรับทันที
สองวันต่อมา ทุกคนก็ไม่รีบร้อนทำสิ่งใดและหลายขุมกำลังส่งคนขึ้นไปบนภูเขาเพื่อสืบหาเบาะแสเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ผู้นำกลุ่มตัวแทนของหลายขุมกำลังก็เดินทางขึ้นไปบนภูเขาจันทราเช่นกัน ทว่าพวกเขาก็กลับลงมาก่อนมืดค่ำ แม้ยังไม่ปักใจเชื่อวาจาของฮวาหรงและฉินอวี้โม่ คนเหล่านั้นก็ยังมีความหวาดหวั่นอยู่ภายในใจ
ในวันที่สาม ขุมกำลังทั้งหมดก็รวมตัวกันอีกครั้ง ทว่าครานี้ก็มีเพียงบรรดาผู้นำของแต่ละขุมกำลังเท่านั้น
“จากการที่ได้ขึ้นไปบนภูเขาเพื่อสืบหาเบาะแสเพิ่มเติม เราไม่มั่นใจนักว่าควรจะใช้ข่ายอาคมเพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตลึกลับนั้นอย่างไร และในช่วงกลางวัน เราก็ไม่สามารถตามหาตำแหน่งที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตทั้งสองชนิดนั่นได้เช่นกัน เพราะเหตุนั้น หากต้องการคลี่คลายสถานการณ์นี้โดยเร็วที่สุด เราทำได้เพียงเผชิญหน้ากับมันโดยตรงเท่านั้น”
ตัวแทนจากนิกายเมฆาล่องลอยกล่าวแสดงความคิดเห็น
คนจากขุมกำลังอื่น ๆ ก็พยักศีรษะอย่างเห็นด้วยเช่นกันและพวกเขาไม่สามารถคิดหาทางที่ดีกว่านี้ได้อีก
พวกเขาจะต้องเดินทางขึ้นไปบนภูเขาจันทราในตอนกลางคืนและหลอกล่อให้สิ่งมีชีวิตลึกลับปรากฏตัวออกมาให้ได้ จากนั้นทุกคนจะต้องรวมพลังกันเพื่อสังหารสิ่งมีชีวิตดังกล่าวให้สิ้นซาก
“ถ้าเช่นนั้นก็เริ่มลงมือกันเถอะ ต่อให้มันจะแข็งแกร่งอย่างมาก ทว่าหากต้องเผชิญหน้ากับการรวมพลังของพวกเราจำนวนมากเช่นนี้ สิ่งมีชีวิตนั่นก็คงจะรับมือไว้ไม่ไหว อีกอย่าง…เราควรที่จะชิงลงมือตั้งแต่คืนนี้และจัดการกับมันในขณะที่มันไม่ทันตั้งตัว”
ตัวแทนจากสำนักห้าขุนเขาพยักศีรษะเบา ๆ ก่อนยืนขึ้นและกล่าวการตัดสินใจของตน
“ตกลง เราไม่มีอะไรคัดค้าน อย่างไรก็ตาม ให้คนส่วนใหญ่อยู่ที่นี่เถอะและส่งไปเฉพาะบรรดายอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดก็พอ”
ฮวาหรงก็แสดงความคิดเห็นออกไปเช่นกัน
“จอมยุทธ์ทุกท่าน เมื่อเราก้าวเข้าไปในม่านหมอก เราอาจถูกแยกออกจากกัน ทุกท่านคิดว่าจะรับมืออย่างไรหากสิ่งมีชีวิตลึกลับนั่นแยกเราทุกคนออกจากกันก่อนไล่เก็บกวาดพวกเราทีละคน ?”
ฉินอวี้โม่อดเอ่ยถามออกไปไม่ได้และคิดว่าคนเหล่านี้มองข้ามรายละเอียดที่สำคัญไปมาก
ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงเลยว่าเจ้าสิ่งมีชีวิตลึกลับนั่นจะแข็งแกร่งเพียงใด เพราะหากมันเลือกที่จะจัดการกับจอมยุทธ์เหล่านี้ทีละคน ทุกคนในที่นี้ก็ไม่มีทางรับมือได้แน่ และแน่นอนว่าฉินอวี้โม่ที่มีคฤหาสน์เฟิงหัวไม่รวมอยู่ในกรณีนี้
ปัญหาใหญ่ที่สุดของทุกคนในตอนนี้คือเมื่อก้าวเข้าไปในม่านหมอกบังตา พวกเขาอาจถูกแยกออกจากกัน เมื่อถึงตอนนั้น สิ่งมีชีวิตลึกลับก็จะส่งเงามืดออกมาหลอกล่อคนเหล่านี้ออกไปและกำจัดพวกเขาทีละคน ๆ เกรงว่าจอมยุทธ์เหล่านี้อาจจะทำได้เพียงแค่หาทางเอาตัวรอดเท่านั้น นับประสาอะไรกับการกำจัดสิ่งมีชีวิตลึกลับนั่น
“เป็นจริงอย่างที่ว่า เราจะรับมือกับหมอกหนานั่นอย่างไร ?”
ฮวาหรงเองก็พิจารณาถึงเรื่องนี้แล้วเช่นกันและเอ่ยถามพร้อมขมวดคิ้วมุ่น
หมอกหนาบนยอดเขาของภูเขาจันทราเต็มไปด้วยพลังประหลาดบางอย่าง เมื่อทุกคนถูกแยกออกจากกัน มันก็มิใช่เรื่องง่ายที่พวกเขาจะตามหากันพบและกลับมารวมตัวกันได้อีก
เมื่อถึงตอนนั้น สิ่งมีชีวิตลึกลับก็จะสามารถกำจัดพวกเขาไปได้ทีละคน ๆ จนสุดท้ายพวกเขาทั้งหมดก็เพลี่ยงพล้ำไปและกลายเป็นศพอยู่บนภูเขาลูกนั้น
“ข้ามีบางอย่างที่สามารถปัดเป่าม่านหมอกได้เป็นการชั่วคราว ข้าคิดว่าต่อให้เราจะไม่เห็นกันและกัน ทว่าเราก็คงจะไม่อยู่ไกลกันนัก เมื่อใดที่เจ้านั่นปรากฏตัวขึ้นมา ข้าก็จะปัดเป่าหมอกรอบตัวออกไปและร่วมมือกับคนอื่นๆเพื่อจัดการกับเจ้านั่นซะ”
ตัวแทนจากนิกายเมฆาล่องลอยหยิบ ‘วัตถุบางอย่าง’ ออกมาจากแหวนมิติและกล่าวอธิบายกับทุกคน