* 引蛇出洞 ล่องูออกจากถ้ำ แปลว่าล่อให้ศัตรูปรากฏตัวออกมาซึ่งคล้ายกับสำนวนไทยที่ว่า ล่อเสือออกจากถ้ำ
ในนิกายเมฆาล่องลอยมีอุปกรณ์มายาที่สามารถปัดเป่าหมอกหนาได้เป็นการชั่วคราว ก่อนเดินทางมาที่นี่ เขาก็คาดการณ์ถึงสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นและนำสิ่งนั้นติดตัวมาด้วย เห็นได้ชัดว่าตอนนี้มันกลายเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ใช้งานอย่างมาก
เมื่อสิ่งมีชีวิตลึกลับนั่นปรากฏตัวขึ้นมา เขาก็จะใช้อุปกรณ์ดังกล่าวเพื่อทำให้หมอกที่บดบังทัศนวิสัยเบาบางลงเพื่อช่วยให้ทุกคนรวมตัวกันได้โดยเร็วที่สุด
และเมื่อถึงตอนนั้น หากทุกคนได้รวมพลังกันเพื่อจัดการกับสิ่งมีชีวิตลึกลับ เชื่อว่าโอกาสที่จะเอาชนะมันก็จะมีอยู่สูงเช่นกัน
“ถ้าเช่นนั้นก็ลงมือกันเถอะ เราจะเดินทางขึ้นไปบนภูเขาจันทราในคืนนี้และลองดูว่าจะจัดการกับสิ่งมีชีวิตนั่นได้หรือไม่”
ฮวาหรงตัดสินใจทันที นี่เป็นหนทางเดียวที่มีในตอนนี้
ส่วนการที่ว่าพวกนางจะทำสำเร็จได้หรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าสิ่งมีชีวิตลึกลับนั่นแข็งแกร่งมากเพียงใด…
ท้องฟ้าเบื้องบนมืดลงเรื่อย ๆ และคณะจอมยุทธ์นับสิบคนก็มุ่งหน้าออกจากเมืองแห่งนี้และมุ่งหน้าไปยังภูเขาจันทราในขณะที่คนอื่น ๆ ที่เหลือเฝ้ารออยู่ในเมือง หากตัวแทนที่เดินทางไปที่ภูเขาไม่กลับมาในเช้าตรู่ของวันพรุ่งนี้ พวกเขาก็เตรียมพร้อมเดินทางไปที่ภูเขาเพื่อตามหาทุกคน
ผู้ที่เดินนำหน้าคนทั้งกลุ่มในเวลานี้คือฉินอวี้โม่และฮวาหรงซึ่งเคยประสบกับสถานการณ์บนยอดเขามาก่อนแล้ว
หวังเยว่จากสำนักเมฆาครามและเหลยเจิ้นจากนิกายกระบี่สายฟ้าก็ประกบข้างซ้ายและขวาของฉินอวี้โม่ด้วยลักษณะท่าทางราวกับกำลังช่วยคุ้มกันนาง
เมื่อสังเกตเห็นการกระทำของทั้งสอง ฮวาหรงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยทว่าไม่กล่าวสิ่งใดออกไป
ตัวแทนของนิกายเมฆาล่องลอยก็เดินอยู่ข้างกายฮวาหรงและดูเหมือนว่าจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับนาง ในขณะที่ตัวแทนจากสำนักห้าขุนเขาก็เดินอยู่ไม่ไกลจากทั้งสองและทั้งสามก็กำลังกระซิบกระซาบบางอย่างด้วยกัน
ตัวแทนจากสำนักเบิกภูผาก็ไตร่ตรองครู่หนึ่งและเข้ามาเดินเคียงข้างฉินอวี้โม่
คำเตือนจากฉินอวี้โม่ก่อนหน้านี้ทำให้เขาเชื่อมั่นในตัวนาง
คนอื่น ๆ ที่เหลือก็แบ่งแยกออกเป็นสองฝั่งอย่างชัดเจนและเข้าไปอยู่รวมกับแต่ละฝั่งอย่างเข้าใจตรงกัน ทว่าก็ไม่มีใครที่เจาะลึกถึงประเด็นนี้
“ในบรรดาพวกเราทุกคน สหายหวังคงจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งมากที่สุด เมื่อสิ่งมีชีวิตลึกลับนั่นปรากฏตัวขึ้นมา มันอาจเล็งเป้าหมายไปที่ท่านเป็นคนแรก เพราะฉะนั้นท่านจะต้องระวังตัวไว้และอย่าแยกตัวห่างจากพวกเราล่ะ”
ตัวแทนจากนิกายเมฆาล่องลอยอดที่จะกล่าวบางอย่างออกไปไม่ได้และพยายามจะสื่อว่าอีกฝ่ายจะตกเป็นเป้าหมายคนแรก
“ไม่ต้องห่วงเรื่องข้าหรอก สิ่งเดียวที่ข้ากังวลในตอนนี้คือหากว่าสิ่งมีชีวิตลึกลับนั่นหมายหัวท่านเป็นคนแรก ท่านจะมีโอกาสได้ใช้อุปกรณ์นั่นรึไม่ ?”
หวังเยว่ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายกล่าววาจาเย้ยหยันตนฝ่ายเดียวและตอบกลับเบา ๆ ด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง
เมื่อถูกตอบโต้โดยหวังเยว่ สีหน้าของบุรุษผู้นั้นก็บิดเบี้ยวเล็กน้อยทันที ทว่าเขาก็ไม่กล่าวสิ่งใดอีกและเดินหน้าต่อไปอย่างไม่สบอารมณ์นัก
ภายในเวลาเพียงไม่นาน คณะจอมยุทธ์ที่มีมากกว่าสิบคนก็ปรากฏตัวที่เชิงเขาของภูเขาจันทรา
“หมอกหนาจะไม่ปรากฏจนกว่าเราจะไปถึงพื้นยกสูงกลางภูเขา ตอนนี้ทุกท่านยังไม่ต้องกังวลสิ่งใด”
ฉินอวี้โม่ก้าวออกไปข้างหน้าโดยมีหวังเยว่และเหลยเจิ้นตามไปอย่างใกล้ชิด ในขณะที่ฮวาหรงและคนอื่น ๆ ช้ากว่าเล็กน้อย
ในช่วงสองวันที่ผ่านมา จำนวนจอมยุทธ์ที่ขึ้นมาบนภูเขาจันทราลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ และแม้แต่ในตอนกลางวันก็ยังมีผู้คนเพียงน้อยนิดเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าภูเขาจันทราใกล้ที่จะกลายเป็นภูเขารกร้างเต็มที
หากไม่สามารถกำจัดสิ่งมีชีวิตลึกลับบนภูเขาได้สำเร็จ เกรงว่าในอนาคตคงไม่มีผู้ใดกล้าเหยียบย่างเข้ามาที่ภูเขาแห่งนี้อีกเป็นแน่
ยิ่งไปกว่านั้น วาจาของลั่วเฟิงก็ถูกต้องทุกประการ การปล่อยให้สิ่งมีชีวิตลึกลับดำรงอยู่ต่อไปจะเป็นผลร้ายต่อทุกคน มันมีพลังที่แกร่งกล้าอย่างที่สุดและหากได้พัฒนาสั่งสมพลังต่อไป ผู้คนทั่วทั้งดินแดนมหาเทพก็อาจจะตกอยู่ในอันตรายได้
นอกจากนี้ จอมยุทธ์ปีศาจก็ยังจับตาดูสถานการณ์ของดินแดนมหาเทพอยู่และครานี้แผนการของทุกคนจะล้มเหลวไม่ได้เป็นอันขาด
ในขณะที่พูดคุยกันอย่างสบาย ๆ ทุกคนก็มาถึงพื้นยกสูงบนภูเขาและหยุดการเคลื่อนไหวลง
“เหตุใดเราจึงยังไม่เห็นหมอกหนาที่เจ้าว่าล่ะ ?”
ตัวแทนจากสำนักห้าขุนเขาเอ่ยถามขึ้นมา เขามองสำรวจไปรอบ ๆ ทว่าไม่พบแม้แต่ร่องรอยของหมอกหนาดังกล่าว
“ตราบใดที่ก้าวขึ้นไปบนขั้นบันไดนั้น หมอกหนาจะปรากฏขึ้นมารอบตัวทันที”
ฉินอวี้โม่ชี้ไปยังขั้นบันไดที่ดูโดดเด่นสะดุดตาซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไปพร้อมกับกล่าวขึ้นเบา ๆ
“ถ้าเช่นนั้นก็เชิญสหายหวังก้าวนำไปก่อนเถิด ถึงอย่างไรท่านก็แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเราทุกคน”
ตัวแทนจากนิกายเมฆาล่องลอยก็ผายมือเชิญโดยที่มีประกายจิตสังหารฉายวาบในแววตาชั่วขณะหนึ่งซึ่งเป็นสิ่งที่ฉินอวี้โม่สังเกตเห็นได้ทัน
“ระวังตัวด้วย”
นางเอ่ยเตือนหวังเยว่เนื่องจากทราบดีว่าเขาจะไม่ปฏิเสธแน่
หวังเยว่เพียงแค่นเสียงเบา ๆในลำคอและก้าวขึ้นบนขั้นบันไดตรงหน้าเป็นคนแรก ฉินอวี้โม่และเหลยเจิ้นก็มองหน้ากันเล็กน้อยก่อนก้าวตามไปอย่างรวดเร็ว ตัวแทนจากสำนักเบิกภูผาก็เดินตามทั้งสามไปเช่นกัน ก่อนตามมาด้วยฮวาหรงและคนอื่น ๆ ที่เหลือ
ทุกคนก้าวขึ้นบนขั้นบันไดแล้วและหายวับไปราวกับทุกอย่างที่เห็นเมื่อครู่เป็นเพียงภาพลวงตา
อย่างไรก็ตาม ครานี้ฉินอวี้โม่เตรียมความพร้อมไว้แล้ว ทันทีที่ก้าวเข้ามาในอาณาเขตของม่านหมอก พื้นที่รอบตัวนางก็ถูกห่อหุ้มไปด้วยเพลิงแห่งชีวิตของซิวทันทีและสามารถมองเห็นทางข้างหน้าได้อย่างชัดเจน
โชคดีที่นางมองเห็นร่างที่คุ้นเคยของคนสองคนที่อยู่ข้างหน้าไม่ไกลไปจากนาง พวกเขาก็คือหวังเยว่และเหลยเจิ้นที่ก้าวเข้ามาก่อนนางเล็กน้อยนั่นเอง
เห็นได้ชัดว่าหวังเยว่และเหลยเจิ้นติดอยู่ท่ามกลางการบดบังของหมอกหนาและไม่สามารถขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้สะดวกเหมือนอย่างฉินอวี้โม่ ทั้งสองมองไม่เห็นกันและกันด้วยซ้ำขณะกำลังเดินออกไปในทิศทางตรงข้ามกันด้วยสีหน้าที่เผยให้เห็นถึงความระแวดระวังอย่างชัดเจน
“ผู้อาวุโสหวังเยว่ ท่านลุงเหลยเจิ้น”
ฉินอวี้โม่ก้าวออกไปข้างหน้าพร้อมเอ่ยเรียกเพื่อหยุดทั้งสองไว้ทันทีและทำให้พวกเขาตั้งสติขึ้นมาได้เช่นกัน
“เอ๋ ? อวี้โม่ เจ้าก็อยู่ตรงนี้ด้วยหรือ ?”
ทั้งสองมองเห็นฉินอวี้โม่และการมองเห็นค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นทีละน้อย ด้วยแสงสว่างจากเพลิงลุกโชน สภาพแวดล้อมรอบตัวพวกเขาก็เริ่มชัดเจนมากขึ้น
“บางทีหมอกหนานี้อาจบดบังวิสัยทัศน์การมองเห็นและทำให้เกิดภาพลวงตาคิดไปว่าพวกเราไม่ได้อยู่ใกล้กัน พวกเราจึงแยกตัวออกไปไกลขึ้นเรื่อย ๆ”
เหลยเจิ้นขมวดคิ้วเล็กน้อยและกล่าวออกไป ทว่าเขาก็ปัดข้อสันนิษฐานนั้นทิ้งอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเวลานี้เห็นแล้วว่าไม่มีผู้อื่นอยู่รอบตัว นอกจากตนและคนทั้งสองตรงหน้า เขาไม่พบร่องรอยของจอมยุทธ์คนอื่น ๆ และไม่สามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายของคนเหล่านั้นได้ด้วยซ้ำ
“เราจะทำอย่างไรต่อไป ?”
หวังเยว่เอ่ยถามขึ้นมา เขาไม่เพียงแต่ไม่รับรู้ถึงกลิ่นอายของคนอื่น ๆ เท่านั้น ทว่าเขาก็ไม่ทราบเลยว่าสิ่งมีชีวิตลึกลับนั่นอยู่ที่ใด ซึ่งมันก็ทำให้เขาสับสนงุนงงยิ่งนัก
“เฝ้ารอไปก่อน”
ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นเบา ๆ นางเองก็ไม่มั่นใจนักว่าสิ่งมีชีวิตลึกลับจะปรากฏตัวเมื่อใด หรือมันอาจไม่ปรากฏตัวให้เห็นด้วยซ้ำ ถึงอย่างไรสิ่งมีชีวิตนั่นก็ชาญฉลาดยิ่งนัก มันอาจเล็งเป้าหมายไปที่คนอื่น ๆ ที่อยู่ตัวคนเดียวและกำจัดคนเหล่านั้นไปก่อน ส่วนเรื่องที่ว่าคนเหล่านั้นจะตอบโต้ได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับว่าตัวแทนของนิกายเมฆาล่องลอยจะใช้อุปกรณ์มายาได้ทันเวลาหรือไม่
“จับตาดูรอบตัวไว้และเฝ้ารออย่างใจเย็น”
เวลานี้พวกนางยังอยู่ไกลจากยอดเขาสูงสุดของภูเขาจันทราพอสมควร
ผู้ที่ติดอยู่ในม่านหมอกจะหาทางขึ้นไปที่ยอดเขาให้ได้อย่างแน่นอนและพวกนางต้องรีบไปที่นั่นโดยเร็วเพื่อช่วยเหลือผู้ที่อาจตกอยู่ในอันตราย
ฉินอวี้โม่และจอมยุทธ์ทั้งสองก็เดินหน้าไปยังยอดเขาต่อไปโดยที่คอยเฝ้าระวังเงามืดและสิ่งมีชีวิตลึกลับที่อาจโผล่ออกมาได้ทุกเมื่อ
หลังจากก้าวเดินต่อไปนานสองก้านธูป ทั้งสามก็ยังไม่พบเจอกับผู้ใดและไม่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากนัก
แต่ทว่า…ความเงียบสงบเช่นนี้ทำให้ทั้งสามกังวลใจยิ่งกว่าเดิม
ยิ่งสถานการณ์เงียบสงบเพียงใด มันก็ยิ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงความผิดปกติมากเพียงนั้น สิ่งมีชีวิตลึกลับอาจปรากฏตัวได้ทุกเวลาและทุกคนจะต้องระวังตัวอย่างที่สุด
“กรี๊ดดด !”
จู่ ๆ เสียงกรีดร้องเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในโสตประสาทของทั้งสาม ทุกคนมองหน้ากันและรีบมุ่งหน้าไปยังทิศทางต้นเสียงอย่างไม่ลังเล
ในระหว่างทางขึ้นไปบนยอดเขาซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก สตรีวัยกลางคนนางหนึ่งกำลังต่อสู้กับเงามืดและมีบาดแผลปรากฏอยู่ทั่วร่างกายของนางซึ่งเป็นสภาพที่ไม่สู้ดีนัก เวลานี้ลมหายใจของนางก็อ่อนแอลงมากและเห็นได้ชัดว่านางบาดเจ็บหนักพอสมควร
“รีบไปช่วยกันเถอะ !”
หวังเยว่และเหลยเจิ้นมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนพุ่งตรงเข้าโจมตีเงามืดด้วยกัน ในตอนนี้ฉินอวี้โม่ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดและสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวบางอย่างในบริเวณใกล้เคียงซึ่งเหมือนว่าจะกำลังซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดและพร้อมที่จะเคลื่อนไหวออกมาทุกเมื่อ