ภายในเรือน ลั่วเฟิงและฉินอวี้โม่นั่งจิบชากันอย่างเงียบ ๆ พลางใช้ความคิด
การที่ลั่วเฟิงสัมผัสได้ถึงตัวตนของซิวทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกแปลกใจไม่น้อย แม้แต่ผู้นำของจอมยุทธ์ปีศาจก่อนหน้านี้ก็ไม่สามารถรับรู้ถึงตัวตนของซิวได้จนกระทั่งมันปรากฏตัวเท่านั้น คิดไม่ถึงเลยว่าผู้อาวุโสลั่วเฟิงจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของซิวตั้งแต่ต้น
ยอดฝีมือที่อาศัยอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้และยังมีเพียงน้อยคนที่ทราบถึงตัวตนที่แท้จริงของลั่วเฟิง เกรงว่าเขาจะต้องเป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“แม่สาวน้อย ไม่ต้องเสียเวลาคาดเดาไปหรอก เจ้าคาดเดาไม่ได้หรอกว่าชายแก่ผู้นี้เป็นใคร”
ราวกับลั่วเฟิงรับรู้ได้ถึงความคิดของฉินอวี้โม่และกล่าวออกมาเพื่อมิให้นางพยายามคาดเดาต่อไป ตัวตนของเขาไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง เพียงแต่ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยให้ผู้อื่นได้ทราบมากนัก
“ข้าเพียงสงสัยเท่านั้นเจ้าค่ะ ในเมื่อท่านผู้อาวุโสไม่อยากให้ข้าน้อยทราบ ข้าก็จะไม่พยายามคาดเดาอีก”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ นางคาดเดาตัวตนของบุรุษชราตรงหน้าไม่ได้เลยจริง ๆ และเพียงสัมผัสได้ว่าเขาเป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดาเท่านั้น
“เป็นสตรีที่หลักแหลมจริง ๆ”
ลั่วเฟิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “แม่สาวน้อย ตอนนี้มีขุมกำลังจำนวนมากที่แอบร่วมมือกับจอมยุทธ์ปีศาจอยู่เบื้องหลัง เจ้าคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ ?”
ขุมกำลังจำนวนหนึ่งในสามสำนักและเก้านิกายบรรลุข้อตกลงบางอย่างกับจอมยุทธ์ปีศาจและเขาทราบเรื่องนี้อย่างชัดเจน ในบรรดาคนเหล่านั้นก็มีนิกายหมื่นบุปผาที่ฉินอวี้โม่เป็นศิษย์อยู่ในตอนนี้เช่นกัน ลั่วเฟิงเชื่อว่าฉินอวี้โม่ทราบเรื่องนี้ดีอยู่แล้วและเพียงต้องการถามความคิดเห็นจากนางเท่านั้น
“ไม่จำเป็นต้องคิดมากเลยเจ้าค่ะ จอมยุทธ์ปีศาจเป็นศัตรูของดินแดนมหาเทพ ขุมกำลังใดที่ร่วมมือกับพวกเขาก็จะกลายเป็นศัตรูของเราเช่นกัน เมื่อใดที่พวกเขาเริ่มลงมือ พวกเราก็จะหยุดพวกเขาอย่างสุดความสามารถ ถึงอย่างไรดินแดนมหาเทพก็เป็นบ้านของเราและไม่ว่าผู้ใดก็ไม่มีสิทธิ์ทำลายมัน !”
จุดยืนของฉินอวี้โม่ชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง ผู้ที่ยอมจำนนต่อจอมยุทธ์ปีศาจคือศัตรูของพวกนาง เมื่อเวลานั้นมาถึง มันจะไม่มีการยั้งมือใด ๆ ทั้งสิ้นและไม่มีความจำเป็นที่จะต้องลังเลแม้แต่น้อย
“ฮ่า ๆ ๆ ถูกต้องแล้วล่ะ แต่ข้าก็อยากจะเตือนเจ้าไว้ว่าตอนนี้ในบรรดาสามสำนักและเก้านิกายมีขุมกำลังอย่างน้อยครึ่งหนึ่งที่ร่วมมือกับจอมยุทธ์ปีศาจแล้ว หากจอมยุทธ์ปีศาจเปิดฉากโจมตี ขุมกำลังที่เหลืออาจจะต่อกรกับพวกเขาไม่ได้”
ลั่วเฟิงยิ้มกว้างและหัวเราะเบา ๆ ก่อนกล่าวเตือนฉินอวี้โม่
“อีกอย่าง…การที่มังกรกระดูกดำกลับไปร่วมมือกับจอมยุทธ์ปีศาจ ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็จะเพิ่มขึ้นกว่าก่อนมาก เมื่อพวกนั้นเปิดศึกสงครามอย่างเต็มรูปแบบ เจ้ามั่นใจเพียงใดว่าจะรับมือกับพวกเขาได้ ?”
เดิมทีความแข็งแกร่งโดยรวมของจอมยุทธ์ปีศาจก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถประเมินต่ำเกินไปได้และตอนนี้การกลับไปของมังกรกระดูกดำก็จะทำให้พวกเขาทรงพลังยิ่งกว่าเดิม ลั่วเฟิงคาดการณ์ไว้ว่าครึ่งหนึ่งของสามสำนักและเก้านิกายแปรพักตร์ไปร่วมกับพวกเขาแล้ว เมื่อถึงเวลาที่พวกเขาเปิดฉากโจมตีอย่างเต็มกำลัง หากฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ไม่มีไพ่ตายที่มากพอ เกรงว่าพวกนางอาจจะรับมือไม่ได้
ซิวมีพลังอำนาจที่แกร่งกล้าก็จริงและมันสามารถปราบปรามกับมังกรกระดูกดำได้ในระดับหนึ่ง เพียงแต่มันก็เป็นเรื่องยากที่มันจะฟื้นฟูพลังจนบรรลุระดับสูงสุดได้ในเวลาสั้น ๆ มิเช่นนั้นละก็ เพียงแค่พลังของซิวก็คงจะมากพอที่จะทำให้จอมยุทธ์ปีศาจทั้งหมดหวาดหวั่นได้
“จอมยุทธ์ปีศาจมีไพ่ตายซ่อนไว้และสามสำนักและเก้านิกายก็คงจะมีเช่นกัน ต่อให้ครึ่งหนึ่งในนั้นยอมจำนนต่อจอมยุทธ์ปีศาจแล้ว สถานการณ์ก็อาจไม่เลวร้ายอย่างที่เราคิด ศิษย์ส่วนใหญ่ของขุมกำลังเหล่านั้นไม่ทราบถึงการตัดสินใจของผู้นำ หากได้ทราบความจริง พวกเขาก็อาจไม่คิดอยู่ร่วมกับขุมกำลังเหล่านั้นอีกต่อไป อันที่จริง..เรายังพอมีข้อได้เปรียบที่จะนำไปสู่ชัยชนะได้”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากและกล่าวอย่างไม่กังวลมากนัก สำหรับสามสำนักและเก้านิกาย อย่างน้อยขุมกำลังจำนวนหนึ่งในนั้นก็จะร่วมมือกับพวกนางเพื่อต่อสู้กับจอมยุทธ์ปีศาจอย่างแน่นอน แม้อาจมีขุมกำลังหลายแห่งที่ตัดสินใจร่วมมือกับจอมยุทธ์ปีศาจ มันก็อาจจะไม่ได้หมายถึงคนทั้งขุมกำลังนั้น เช่นเดียวกับนิกายหมื่นบุปผา เว้นเพียงแต่กลุ่มไม่กี่คนของฮวาฟางเฟยและฮวาหรง ศิษย์ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นคนดีและไม่ต้องการเป็นหุ่นเชิดของจอมยุทธ์ปีศาจ สถานการณ์นี้ก็คงจะเป็นจริงสำหรับขุมกำลังอื่น ๆ เช่นกัน
มิใช่ทุกคนในดินแดนมหาเทพที่จะเลือกยืนอยู่ในฝั่งเดียวกับจอมยุทธ์ปีศาจและทนมองดูบ้านเมืองของตนถูกทำลายหรือตกไปอยู่ในกำมือของคนชั่วร้ายเหล่านั้น
“เดิมทีชายแก่ผู้นี้ก็กังวลเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ไม่น้อย ทว่าตอนนี้การที่มีสตรีที่มากพรสวรรค์อย่างเจ้าซึ่งมองเห็นได้ถึงภาพรวมของสถานการณ์ ข้าก็คงไม่ต้องกังวลสิ่งใดอีก จอมยุทธ์ปีศาจไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ผู้อื่นคาดคิด ไม่เช่นนั้นพวกเขาก็คงเริ่มแผนการโจมตีไปนานแล้ว แม้ข้าจะไม่อยากนำตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวายของดินแดน ทว่าหากจอมยุทธ์ปีศาจเปิดฉากการโจมตีใด…ข้าจะไม่ทนอยู่เฉยอย่างแน่นอน”
ลั่วเฟิงแสดงทัศนคติของตนเองออกมาพร้อมหยิบป้ายหยกออกมายื่นให้กับฉินอวี้โม่
“แม่สาวน้อย หากเจ้าต้องการความช่วยเหลือจากชายแก่ผู้นี้ จงทำลายป้ายหยกนี้เสียและข้าจะไปที่นั่นโดยเร็วที่สุด”
เขารู้สึกถูกชะตากับฉินอวี้โม่เป็นอย่างมาก ครานี้เขาก็พึ่งพานางในการแก้ไขสถานการณ์บนภูเขาจันทราเช่นกันและเรียกได้ว่าติดค้างความช่วยเหลือจากนางอยู่ครั้งหนึ่ง จอมยุทธ์ปีศาจถือว่าเป็นศัตรูร่วมกันของพวกเขาและลั่วเฟิงย่อมช่วยได้อย่างไม่มีปัญหา ยิ่งไปกว่านั้น มังกรกระดูกดำก็ถือเป็นศัตรูตัวฉกาจของเขา หลังจากประจันหน้ากันมานาน เขาก็เป็นฝ่ายเสียเปรียบมาโดยตลอด และลั่วเฟิงยังต้องการต่อสู้กับมันเพื่อเอาชนะมันให้ได้อย่างตรงไปตรงมา
“เจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าก็ขอบคุณท่านผู้อาวุโสเป็นการล่วงหน้า”
ฉินอวี้โม่รับป้ายหยกดังกล่าวและยิ้มให้กับลั่วเฟิงอย่างจริงใจ
ในดินแดนแห่งนี้ยังมีจอมยุทธ์ลับผู้ทรงพลังเช่นลั่วเฟิงอยู่มากนัก หากสงครามมาเยือนและพวกเขาสามารถร่วมมือกันได้ นางก็จะมีความมั่นใจในการเอาชนะจอมยุทธ์ปีศาจได้มากยิ่งขึ้น…
หลังจากพูดคุยกันอีกครู่ใหญ่ ฉินอวี้โม่ก็ลุกขึ้นและขอตัวกลับไปที่โรงเตี๊ยม
ไม่นานหลังจากนานกลับไป ลั่วเฟิงก็ลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ
“บางทีเจ้าอาจจะเป็นผู้กอบกู้ของดินแดนมหาเทพตามคำทำนาย…”
เสียงถอนหายใจและพึมพำเบา ๆ ดังขึ้นก่อนที่บรรยากาศจะกลายเป็นความเงียบสงัดอย่างรวดเร็ว แววตาของลั่วเฟิงแสดงถึงความเชื่อมั่นในตัวฉินอวี้โม่และความคาดหวังอย่างไร้ที่สิ้นสุด สงครามระหว่างดินแดนมหาเทพและจอมยุทธ์ปีศาจใกล้เข้ามาแล้ว…และถึงเวลาที่เขาจะได้กลับไปเสียที
ค่ำคืนนี้ผ่านไปอย่างเงียบ ๆ และเมื่อฉินอวี้โม่ตื่นลืมตาขึ้นมาในเช้าตรู่ของวันต่อมา เหลยเจิ้น หวังเยว่และคนอื่น ๆ ก็เข้ามากล่าวอำลานางก่อนเดินทางกลับ
ทุกคนตั้งใจที่จะเดินทางกลับขุมกำลังของตนโดยเร็วที่สุดและรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นที่นี่
“สหายน้อยอวี้โม่ หากมีเรื่องอะไรก็มาหาพวกเราได้เสมอ พวกเราสำนักเมฆาครามและนิกายกระบี่สายฟ้าจะสนับสนุนเจ้าอย่างเต็มที่”
หวังเยว่และเหลยเจิ้นกล่าวเป็นเสียงเดียวโดยบอกให้ฉินอวี้โม่ไปหาพวกเขาได้ในทันทีที่เกิดปัญหาใด
“เจ้าค่ะ ข้าเข้าใจแล้ว”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและกล่าวตอบรับ หากมีโอกาส นางก็ต้องการเดินทางไปที่สำนักเมฆาครามและนิกายกระบี่สายฟ้าด้วยตัวเอง
“ผู้อาวุโสไป๋ ท่านต้องระวังตัวด้วยนะเจ้าคะ สถานการณ์ของนิกายหงส์แดงยังไม่แน่ชัดเหมือนอย่างสำนักเมฆาครามและนิกายกระบี่สายฟ้า ไม่ว่าท่านจะสืบหาข่าวเรื่องใด ความปลอดภัยก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด”
ทุกคนกล่าวเตือนไป๋ซูเนื่องจากไม่มั่นใจว่านิกายหงส์แดงจะร่วมมือกับจอมยุทธ์ปีศาจหรือไม่ หากจ้าวนิกายของนิกายหงส์แดงเลือกที่จะยืนอยู่ในฝั่งของจอมยุทธ์ปีศาจ การที่ไป๋ซูพยายามสืบหาความจริงเรื่องนี้ก็อาจทำให้นางต้องเผชิญภยันตรายและการระมัดระวังตัวย่อมเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด
“เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว ทันทีที่ได้เรื่องอะไร ข้าจะติดต่อทุกคน”
ไป๋ซูหาใช่คนโง่เขลาเช่นกัน นางเข้าใจถึงความกังวลของฉินอวี้โม่และทุกคนได้ทันที หลังจากนี้นางจะระมัดระวังตัวและรอบคอบให้มากที่สุด
“ถ้าเช่นนั้นเรากลับกันเถอะ”
บังเอิญว่าสำนักเมฆาคราม นิกายกระบี่สายฟ้าและนิกายหงส์แดงอยู่ในทิศทางเดียวกันพอดิบพอดี พวกเขาจึงเลือกเดินทางกลับไปด้วยกันในตอนนี้
“ข้าจะลองสอบถามท่านผู้คุมกฎฝั่งขวาว่าเราจะเดินทางกลับเลยหรือไม่”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะให้กับทุกคน อย่างไรก็ตาม นางแอบรู้สึกอยู่ในใจว่าฮวาหรงคงจะไม่รีบร้อนกลับไปในตอนนี้