ในเวลานี้ ฮวาเยว่เข้ามายืนบังอวิ๋นซื่อเทียน เหมียวเจินเจินและจางซือถงไว้ บรรดาผู้อาวุโสของฝั่งซ้ายเองก็เข้ามายืนเคียงข้างนางเช่นกัน
“นี่ผู้คุมกฎฝั่งซ้ายคิดจะทำอะไรกัน ?”
สีหน้าของฮวาเฉินบิดเบี้ยวอย่างเห็นได้ชัด ด้วยระดับความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่าย พวกนางไม่สามารถจับตัวอวิ๋นซื่อเทียนมาจากการคุ้มครองของฮวาเยว่ได้
“เหตุใดจ้าวนิกายจึงสั่งให้จับตัวอวิ๋นซื่อเทียนและสหาย ?”
ฮวาเยว่เอ่ยถามอย่างเย็นชา แม้มีข้อคาดเดาอยู่ในใจแล้ว นางก็ยังไม่เปิดเผยออกไปโดยตรง
“ฉินอวี้โม่แอบร่วมมือกับจอมยุทธ์ปีศาจและพยายามยึดอำนาจของดินแดนมหาเทพ อวิ๋นซื่อเทียนและสตรีทั้งสองก็เป็นสหายของนาง เกรงว่าพวกนางทั้งหมดคงจะยอมจำนนต่อจอมยุทธ์ปีศาจแล้วเช่นกัน คนชั่วพวกนั้นเป็นศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของดินแดนมหาเทพ เพราะเหตุนั้น ตอนนี้พวกเราจะต้องจับสตรีทั้งสามมาก่อนและจัดการกับฉินอวี้โม่ในภายหลัง !”
เสียงของฮวาฟางเฟยดังขึ้นในโสตประสาทของทุกคนอย่างชัดเจนโดยกล่าวว่าอวิ๋นซื่อเทียนและสหายร่วมมือกับจอมยุทธ์ปีศาจ
“เหอะ โจรร้องตะโกนให้จับโจร ฮวาฟางเฟย…คิดว่าพวกเราไม่รู้รึว่าเจ้าต่างหากที่แอบร่วมมือกับจอมยุทธ์ปีศาจมานานแล้ว ไม่รู้เลยว่าคนพวกนั้นให้สัญญาว่าจะมอบผลประโยชน์อะไรให้เจ้า เจ้าจึงได้เลือกร่วมมือกับพวกเขา !”
อวิ๋นซื่อเทียนแค่นเสียงเย็นชาและกล่าวเปิดเผยธาตุแท้ของฮวาฟางเฟยอย่างไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย
“เหอะ อย่าพูดจาเหลวไหล ในฐานะจ้าวนิกายของนิกายหมื่นบุปผา ข้าจะร่วมมือกับจอมยุทธ์ปีศาจได้อย่างไร? เจ้าอย่ากล่าววาจาเลอะเทอะเพื่อให้ผู้คนสับสนจะดีกว่า !”
ฮวาฟางเฟยแค่นเสียงในลำคอและแผ่แรงกดดันรุนแรงตรงไปกดข่มอวิ๋นซื่อเทียน แม้ว่าตอนนี้นางจะเคลื่อนไหวไม่ได้ชั่วคราว ทว่าแรงกดดันของนางก็ยังคงคุกคามอวิ๋นซื่อเทียนได้
เหตุการณ์ครั้งใหญ่เช่นนี้ดึงดูดความสนใจของศิษย์ทุกคนในนิกายหมื่นบุปผา ศิษย์ฝั่งซ้ายส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์อันดีกับอวิ๋นซื่อเทียนและคนอื่น ๆ เวลานี้สีหน้าของพวกนางแสดงให้เห็นถึงความสับสนและไม่มั่นใจเลยว่าควรเลือกเชื่อวาจาของฝ่ายใด ศิษย์ฝั่งขวาเองก็ยังไม่กล้าลงมือเช่นกันและเพียงยืนนิ่งด้วยสีหน้าฉงนงุนงง
อวิ๋นซื่อเทียนและสหายเคยพบปะพูดคุยกับพวกนางมาก่อนและพวกนางล้วนประทับใจในตัวสตรีเหล่านี้ การที่อวิ๋นซื่อเทียนกล่าวว่าจ้าวนิกายของพวกนางเป็นส่วนหนึ่งกับจอมยุทธ์ปีศาจทำให้พวกนางเกิดความลังเลและความสงสัยขึ้นมาไม่น้อย…
“ท่านจ้าวนิกาย สิ่งที่อวิ๋นซื่อเทียนกล่าวมาเป็นความจริงรึไม่ ?”
ฮวาเยว่เอ่ยถามอย่างเย็นชา นางและบรรดาผู้อาวุโสของฝั่งซ้ายทราบเรื่องนี้มานานแล้วทว่ายังแอบหลอกตัวเองอยู่ในใจเช่นกัน พวกนางคิดไปว่าฮวาฟางเฟยอาจจะมีแผนการบางอย่างของตนเองอยู่และไม่ได้ยอมจำนนต่อจอมยุทธ์ปีศาจจริง ๆ ทว่าตอนนี้พวกนางตระหนักได้แล้วว่าพวกนางมีความคิดที่โง่เขลาเกินไป
“ฮวาเยว่ แม้แต่เจ้าก็ยังไม่เชื่อวาจาของข้าอย่างนั้นรึ ?”
ภายในห้องพักของตน สีหน้าของฮวาฟางเฟยกลายเป็นเย็นชาขึ้นมาทันที ไม่คิดเลยว่าฮวาเยว่จะนึกสงสัยในตัวนางเช่นนี้ สิ่งนี้แสดงให้เห็นแล้วว่าฮวาเยว่และอีกหลายคนไม่เชื่อวาจาของนางอีกต่อไป
“ใช่ว่าข้าจะไม่เชื่อวาจาของท่าน เพียงแต่ข้าเคยสืบเรื่องนี้มาก่อนแล้วและมีหลักฐานสนับสนุนอยู่ ข้าเพียงไม่เข้าใจว่าในฐานะจ้าวนิกายของนิกายหมื่นบุปผาและเป็นหนึ่งในผู้นำที่ทรงอิทธิพลที่สุดของดินแดนมหาเทพ เหตุใดท่านจึงคิดร่วมมือกับจอมยุทธ์ปีศาจ ?”
ฮวาเยว่ขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อย นี่คือสิ่งที่นางสงสัยมาตลอดและไม่อาจทำความเข้าใจด้วยตนเองได้
ด้วยสถานะที่มี กล่าวได้ว่าฮวาฟางเฟยมีจุดยืนที่อยู่ในอันดับต้น ๆ ของดินแดนมหาเทพ โดยหลักการแล้วนางไม่ควรจะต้องการสิ่งอื่นใดอีก การที่ตกลงร่วมมือกับจอมยุทธ์ปีศาจที่เป็นศัตรูของผู้คนทั้งดินแดน…เหตุใดฮวาฟางเฟยจึงต้องการทำเช่นนี้ ?
“ฮวาเยว่ ข้าเพียงสั่งให้เจ้าและทุกคนจับตัวอวิ๋นซื่อเทียนและสหายทั้งสองไว้ ทว่าด้วยทัศนคติและท่าทางของเจ้าในเวลานี้ เจ้ากำลังคิดที่จะทรยศนิกายของเราอย่างนั้นรึ ?”
ฮวาฟางเฟยไม่ตอบคำถามโดยตรงขณะแผ่แรงกดดันรุนแรงออกไปพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ข้าไม่เคยคิดทรยศหักหลังนิกาย ทว่านิกายหมื่นบุปผาในตอนนี้มิใช่นิกายเดิมที่ข้าเคยรู้จักอีกต่อไป…”
ฮวาเยว่ถอนหายใจยาวและตัดสินใจอย่างแน่วแน่ในทันที
“ซื่อเทียน เจินเจิน ซือถง พวกเจ้าตามข้ามา”
นางกล่าวกับอวิ๋นซื่อเทียนและคนอื่น ๆ โดยวางแผนที่จะพาพวกนางหลบหนีออกไป
“ฮวาเยว่ เจ้ากำลังรนหาที่ตายแล้ว !”
ฮวาฟางเฟยตะโกนกร้าวด้วยน้ำเสียงดุดัน คิดไม่ถึงเลยว่าฮวาเยว่จะตัดสินใจหนักแน่นเช่นนี้ หากทราบมาก่อน นางก็คงจะกำจัดสตรีผู้นี้ไปตั้งแต่เนิ่น ๆ และไม่ปล่อยให้มีโอกาสหลบหนีเอาตัวรอดเช่นนี้
“ท่านผู้คุมกฎฝั่งซ้าย ท่านจ้าวนิกายร่วมมือกับจอมยุทธ์ปีศาจจริง ๆ หรือเจ้าคะ ?”
สำหรับศิษย์ฝั่งซ้าย ชื่อเสียงและบารมีของฮวาเยว่เหนือยิ่งกว่าฮวาฟางเฟยเสียอีก ในเวลานี้สายตาของศิษย์ฝั่งซ้ายมองตรงไปที่นางเป็นตาเดียวและเชื่อวาจาของฮวาเยว่ขณะสีหน้าแสดงความตื่นตระหนก
“ถูกต้อง ข้าสืบเรื่องนี้มาก่อนแล้วและมันเป็นความจริง ท่านจ้าวนิกายของเราไม่ควรค่าแก่ความเคารพของเราอีกต่อไป !”
ฮวาเยว่พยักศีรษะยืนยันและไม่คิดปิดบังเรื่องของฮวาฟางเฟยอีก
“ท่านผู้คุมกฎฝั่งซ้าย เราจะไปกับท่านด้วยเจ้าค่ะ ในเมื่อท่านจ้าวนิกายร่วมมือกับจอมยุทธ์ปีศาจแล้ว พวกเราก็ไม่อยากอยู่ที่นิกายแห่งนี้อีกต่อไป !”
ศิษย์ฝั่งซ้ายกล่าวขึ้นตาม ๆ กันและแสดงออกถึงทัศนคติของตนในตอนนี้ จอมยุทธ์ปีศาจคือศัตรูรายใหญ่ที่สุดของดินแดนมหาเทพและไม่ว่าอย่างไรพวกนางก็ไม่มีทางร่วมมือกับคนชั่วร้ายเหล่านั้นอย่างแน่นอน
“เราจะไปกับท่านผู้คุมกฎฝั่งซ้ายด้วยเจ้าค่ะ”
ศิษย์ฝั่งขวาหลายคนก็ลังเลเล็กน้อยก่อนตัดสินใจและกล่าวออกไปเช่นกัน
พวกนางมาที่นิกายหมื่นบุปผาเพื่อฝึกวิชาและพัฒนาความแข็งแกร่งของตน ในเมื่อทราบแล้วว่าฮวาฟางเฟยเลือกร่วมมือกับจอมยุทธ์ปีศาจ พวกนางก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป ต่อให้นิกายหมื่นบุปผาจะโน้มน้าวใจพวกนางด้วยผลประโยชน์ที่มากกว่าเดิม พวกนางก็ไม่มีทางเปลี่ยนใจ
“ริอาจยิ่งนัก พวกเจ้าทั้งหมดคิดจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับข้างั้นรึ ?!”
ฮวาฟางเฟยเดือดดาลอย่างที่สุด คิดไม่ถึงเลยว่าศิษย์ของนิกายหมื่นบุปผาเหล่านี้จะอาจหาญถึงขั้นที่ไม่เห็นนางอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย การกระทำของศิษย์เหล่านี้ทำให้นางรู้สึกชิงชังขึ้นมา
“ท่านจ้าวนิกาย หากท่านเลือกต่อสู้กับจอมยุทธ์ปีศาจไปกับพวกเรา เราก็จะไม่ไปจากที่นี่ จอมยุทธ์ปีศาจเป็นศัตรูของผู้คนทั่วทั้งดินแดนมหาเทพ ในเมื่อท่านเลือกอยู่ฝ่ายนั้นแล้ว ท่านก็จะกลายเป็นศัตรูของพวกเราเช่นกัน ท้ายที่สุดเราก็ทำได้เพียงต้องต่อสู้กับท่าน !”
ฮวาเยว่กล่าวทิ้งท้ายก่อนเดินมุ่งหน้าออกจากนิกายพร้อมอวิ๋นซื่อเทียนและคณะศิษย์ด้วยสีหน้าที่มุ่งมั่น
“หยุดพวกนางไว้เดี๋ยวนี้ ในเมื่อคิดจะเป็นศัตรูกับนิกายหมื่นบุปผาแล้ว พวกเจ้าก็ไม่มีทางหนีออกไปได้ !”
น้ำเสียงเกรี้ยวโกรธของฮวาฟางเฟยดังชัดเจนในหูของทุกคนขณะออกคำสั่งให้ขัดขวางและจับตัวกลุ่มของฮวาเยว่ไว้
ศิษย์ฝั่งขวาที่เหลือน้อยกว่าหนึ่งในสามส่วนมีท่าทีลังเลเล็กน้อยและไม่กล้าลงมือ ฮวาเยว่และคณะศิษย์มีจำนวนมากกว่าพวกนางมากนักและความแข็งแกร่งของคนเหล่านั้นก็ได้เปรียบกว่ามาก พวกนางมิใช่คู่มือของอีกฝ่ายแม้แต่น้อยและไม่มีทางที่จะขัดขวางไว้ได้สำเร็จ
“เจ้าพวกขยะไร้ค่า !”
เมื่อเห็นท่าทางลังเลของศิษย์ฝั่งขวาหลายคน ฮวาฟางเฟยก็เดือดดาลยิ่งกว่าเดิม ทว่าน่าเสียดายที่การต่อสู้กับฉินอวี้โม่ที่ภูเขาจันทราทำให้นางหยุดฮวาเยว่ด้วยตัวเองไม่ได้
“เหอะ เจ้าพวกมดปลวกไร้ค่าคิดที่จะทรยศนิกายอย่างนั้นรึ ? รอดูเถอะ ข้าจะจัดการเก็บกวาดพวกเจ้าด้วยตัวเอง !”
อสูรแห่งโชคชะตาของฮวาฟางเฟยปรากฏตัวกลางอากาศพร้อมแผ่แรงกดดันทรงพลังออกไปกดข่มฮวาเยว่และทุกคนทันที
ก่อนหน้านี้มันอยู่ในช่วงจำศีลเพื่อการวิวัฒนาการ ทันทีที่กระบวนการวิวัฒนาการเสร็จสมบูรณ์ มันก็รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและรีบปรากฏตัวขึ้นมา
มันไม่มีทางปล่อยให้ฮวาเยว่และศิษย์เหล่านี้หลบหนีออกไปจากนิกายหมื่นบุปผาได้อย่างแน่นอน
“ทุกคนระวังตัวด้วย !”
เมื่อเห็นอสูรแห่งโชคชะตาของฮวาฟางเฟยปรากฏตัวขึ้นมา สีหน้าของฮวาเยว่ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เพราะถึงอย่างไรตัวนางก็อ่อนแอยิ่งกว่าฮวาฟางเฟย ทว่าอสูรคู่กายของฮวาฟางเฟยก็แข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้เป็นนายเสียอีก เพราะฉะนั้นแล้วฮวาเยว่ไม่มีทางเอาชนะมันได้เลย
“ข้าจะถ่วงเวลาเอาไว้ พวกเจ้ารีบหนีไปเถอะ”
นางหันไปกล่าวกับอวิ๋นซื่อเทียนและทุกคนก่อนตรงเข้าโจมตีหงส์ฟ้าอย่างไม่ลังเล
“ช่างไม่รู้จักประมาณตน !”
น้ำเสียงเย้ยหยันดังขึ้นและก้อนพลังมายาก็ตรงเข้าโจมตีฮวาเยว่จนกระเด็นออกไป ต่อหน้าอสูรมายาของฮวาฟางเฟย นางไม่มีพลังที่จะต่อกรได้เลย