หลังจากวิเคราะห์และหารือเรื่องสถานการณ์ของดินแดนมหาเทพเป็นพักใหญ่ หลานชางไห่ก็นึกบางอย่างขึ้นได้
“อีกอย่าง…มีข่าวจากศูนย์การค้าจ้าวสมุทรสาขาเมืองซัวเยว่ว่ามีบุรุษนามว่าฉินอี้เฟยกำลังตามหาสหายน้อยอวี้โม่อยู่ ข้าได้สั่งให้พวกเขาพาบุรุษผู้นั้นมาที่เมืองราชวงศ์แล้วและตอนนี้น่าจะกำลังเดินทางมา”
“ฉินอี้เฟย…พี่ชายของข้า!”
ฉินอวี้โม่ลุกพรวดขึ้นทันทีและคาดไม่ถึงเลยว่าฉินอี้เฟยจะเดินทางมาที่ดินแดนมหาเทพเช่นนี้
เมื่อครั้งที่ออกเดินทางมายังดินแดนมหาเทพ ฉินอี้เฟยไม่ได้มากับพวกนางเพราะยังมีพลังที่อ่อนแอเกินไป ตอนนี้การที่เขาเดินทางมาที่นี่ด้วยตัวเอง คาดว่าคงเป็นเพราะเป็นกังวลเกี่ยวกับพวกนางมากเกินไปและสามารถพัฒนาพลังได้มากพอที่จะปกป้องตัวเองแล้ว เขาจึงตัดสินใจเดินทางมาที่นี่
“เป็นพี่ชายของสหายน้อยอวี้โม่อย่างที่คิดไว้จริง ๆ นอกจากเขาก็ดูเหมือนว่าจะมีเด็กอายุประมาณห้าถึงหกขวบอยู่ด้วยสองคน”
หลานชางไห่พยักศีรษะเบา ๆ ก่อนหน้านี้เขายังคงสงสัยและไม่มั่นใจอยู่เล็กน้อย ทว่าตอนนี้เขายืนยันได้แล้ว
“เด็กอายุห้าถึงหกขวบสองคน ? เสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่งั้นรึ ?”
ฉินอวี้โม่คาดเดาในใจทันที หากกล่าวถึงเด็กน้อยอายุห้าถึงหกขวบสองคน ภาพเดียวที่ปรากฏขึ้นมาในหัวของนางก็มีเพียงภาพของเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่เท่านั้น หรือพี่ใหญ่จะพาเจ้าหนูทั้งสองมาที่นี่พร้อมกับเขาด้วย ?
“ท่านลุงหลาน ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดรึเจ้าคะ ? ท่านมีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่ ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามทันทีและรอคำตอบอย่างมีความหวัง
“ดูเหมือนว่าเมื่อวานนี้พวกเขาจะเดินทางไปถึงเมืองหลิงอวิ๋นแล้ว ทว่าวันนี้ยังไม่มีข่าวความคืบหน้าใด ๆ คาดว่าอีกสักพักจะมีคนจากศูนย์การค้าส่งข่าวมา”
เนื่องจากเป็นเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องกับฉินอวี้โม่ หลานชางไห่จึงสั่งให้ศูนย์การค้ารายงานความคืบหน้าในทุก ๆ วัน
เมื่อวานนี้ก็มีข่าวแจ้งมาแล้วว่าพวกเขาได้เดินทางไปถึงเมืองหลิงอวิ๋น และในสถานการณ์ปกติ พวกเขาน่าจะมาถึงที่นี่ได้ในเวลาเจ็ดวัน
“ท่านพ่อ ข้าจะพาพี่อวี้โม่ไปที่ศูนย์การค้าเพื่อถามหาข่าวคราวเพิ่มเติมขอรับ เด็กน้อยทั้งสองคงจะเป็นบุตรของพี่อวี้โม่และพี่โม่ฉือ”
หลานเผิงคาดเดาตัวตนของเด็กน้อยทั้งสองได้ทันทีและกล่าวแทรกออกไป
“พวกเราจะไปด้วย”
อวิ๋นซื่อเทียนและสหายอีกหลายคนก็แสดงทัศนคติออกมาเช่นกัน พวกนางก็ต้องการไปที่ศูนย์การค้าจ้าวสมุทรเพื่อสืบหาข่าวในครานี้
หลานชางไห่ไม่ขัดข้องใด ๆ และเพียงพยักศีรษะตอบรับ จากนั้นคนทั้งกลุ่มก็มุ่งหน้าไปยังศูนย์การค้าของตระกูลหลาน
ศูนย์การค้าจ้าวสมุทรในตอนนี้คึกคักอย่างยิ่งและมีผู้คนมากมายเข้ามาแลกเปลี่ยนซื้อของ ในฐานะศูนย์การค้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในดินแดนมหาเทพ ศูนย์การค้าจ้าวสมุทรจึงมีทรัพยากรที่ล้ำค่าและหายากอยู่มากมายซึ่งแทบจะหาซื้อไม่ได้จากที่อื่น
หลานเผิงนำทางฉินอวี้โม่ตรงไปยังห้องแยกบนสุดของศูนย์การค้าและเรียกหาผู้ที่รับผิดชอบในการรวบรวมข่าวกรอง
“คารวะนายน้อย คารวะท่านจอมยุทธ์ทั้งหลายขอรับ”
บุรุษผู้นั้นโค้งคำนับแสดงความเคารพต่อหลานเผิงและกล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
“ผู้อาวุโสซุน วันนี้ได้รับข่าวมาจากเมืองซัวเยว่บ้างรึไม่ ?”
หลานเผิงไม่รอช้าและกล่าวถึงจุดประสงค์ของการมาที่นี่ในทันที
ผู้อาวุโสซุนส่ายศีรษะเล็กน้อยและบ่งบอกว่าวันนี้ยังไม่มีข่าวสารใด ๆ จากศูนย์การค้าจ้าวสมุทรสาขาเมืองซัวเยว่
งานประมูลของตระกูลหลานครานี้เป็นงานใหญ่อย่างมากและแต่ละสาขาล้วนส่งคนมาที่นี่ซึ่งเมืองซัวเยว่ก็ได้ส่งหัวหน้าคนดูแลและผู้อาวุโสมาที่นี่เช่นกัน ฉินอี้เฟยและเด็กน้อยทั้งสองก็เดินทางมากับพวกเขาด้วย
โดยปกติในตอนนี้พวกเขาก็ควรจะได้รับข่าวความคืบหน้ามาแล้ว ทว่าด้วยเหตุผลบางประการ วันนี้กลับยังไม่มีข่าวสารใด ๆ ส่งมา
“ใครรับผิดชอบเรื่องการติดต่อสื่อสารกับเมืองซัวเยว่ ?”
หลานเผิงเอ่ยถามออกไปเนื่องจากทราบดีว่าฉินอวี้โม่กำลังกระตือรือร้นอย่างมากและหวังว่าจะได้รับข่าวที่ชัดเจน
ขณะผู้อาวุโสซุนกำลังจะเอ่ยตอบ ใครคนหนึ่งก็วิ่งพรวดเข้ามาจากด้านนอก
“ผู้อาวุโสซุนขอรับ ท่าไม่ดีแล้ว เกิดเรื่องบางอย่างที่เมืองซัวเยว่ขอรับ”
ศิษย์หนุ่มผู้นั้นกล่าวด้วยสีหน้ากังวล เขาคือผู้ที่รับผิดชอบในการติดต่อสื่อสารกับเมืองซัวเยว่นั่นเอง
ในทุก ๆ วัน เขาจะใช้วิธีการพิเศษในการติดต่อกับคนในเมืองซัวเยว่ เมื่อครึ่งชั่วยามก่อน เขาก็ใช้วิธีเดิมเพื่อติดต่อเช่นกันและทราบว่าพวกเขากำลังจะเดินทางออกจากเมืองหลิงอวิ๋น คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อติดต่อไปอีกครั้งหลังจากที่ผ่านไปอีกชั่วครึ่งยาม เขากลับไม่สามารถติดต่อผู้อาวุโสที่เมืองซัวเยว่ได้เลย การสื่อสารของเขาถูกตัดขาดและไม่สามารถทราบข่าวล่าสุดได้ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่แปลกยิ่งนัก เพราะเหตุนั้นเขาจึงรีบมาแจ้งให้ผู้อาวุโสซุนทราบทันที พวกเขาล้วนตระหนักดีว่าฉินอี้เฟยเป็นแขกคนสำคัญและจะปล่อยให้เป็นอะไรไปไม่ได้เด็ดขาด
หลังจากได้ฟังรายละเอียดทุกอย่าง สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนกลายเป็นความเย็นชาทันที
“ไปกันเถอะ !”
หานโม่ฉือจับมือฉินอวี้โม่และหายวับไปจากภายในห้องขณะมุ่งหน้าไปยังทิศทางของเมืองหลิงอวิ๋นทันที
“เหตุใดจึงติดต่อไปไม่ได้…”
หลานเผิงขมวดคิ้วมุ่นและคิดที่จะมุ่งหน้าไปที่เมืองหลิงอวิ๋นเช่นกัน
“ปล่อยให้อวี้โม่และโม่ฉือไปกันสองคนก็เพียงพอแล้ว เรากลับไปที่คฤหาสน์และแจ้งท่านผู้นำหลานกันก่อนเถอะ เขาจะได้หาทางสืบข่าวเรื่องนี้”
อวิ๋นซื่อเทียนกล่าวรั้งหลานเผิงไว้ทันทีและเสนอสิ่งที่ควรทำในตอนนี้
ด้วยความแข็งแกร่งของหานโม่ฉือ ไม่มีทางที่พวกนางจะไล่ตามไปได้ การตามไปในตอนนี้ก็ไม่อาจช่วยอะไรได้มากนัก เพราะเหตุนั้น ทางที่ดีก็คือการกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลหลานและหารือกับหลานชางไห่เพื่อคิดหาทางอื่น
“ตกลง ถ้าเช่นนั้นเรากลับกันเถอะ”
หลานเผิงเรียกสติกลับคืนมาและพยักศีรษะก่อนมุ่งหน้ากลับไปที่คฤหาสน์ของตระกูลหลานในทันที ภายในเวลาเพียงไม่นาน พวกเขาก็ปรากฏตัวอยู่หน้าประตูของคฤหาสน์ตระกูลหลาน
อย่างไรก็ตาม หลานชางไห่ทราบข่าวล่วงหน้าแล้วและตอนนี้เขากำลังรอหลานเผิงอยู่ในห้องโถง
“ไม่ต้องกังวลไป ข้าส่งคนไปที่เมืองหลิงอวิ๋นเพื่อสืบข่าวเพิ่มเติมแล้ว ตระกูลหลานของเราไม่ได้มีศัตรูคู่อริใด ๆ นอกจากนี้ก็ไม่น่าจะมีใครที่ทราบเกี่ยวกับภูมิหลังที่แท้จริงของฉินอี้เฟยและเด็กน้อยทั้งสองเช่นกัน เพราะฉะนั้นพวกเขาจะไม่ตกอยู่อันตรายใด”
เขาได้ส่งคนออกไปสืบรายละเอียดให้แน่ชัดทันทีที่ทราบข่าวล่าสุด นอกเหนือจากเมืองหลิงอวิ๋น เขาก็ได้ส่งคนไปยังขุมกำลังใกล้ชิดเพื่อรวบรวมเบาะแสเช่นกัน
ตระกูลหลานไม่เคยมีศัตรูคู่อริใด ๆ มาก่อนและแม้แต่จอมยุทธ์ปีศาจก็คงจะไม่กล้าเล่นงานตระกูลหลานเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ศูนย์การค้าในเมืองซัวเยว่ก็มิใช่ขุมกำลังระดับสูงใด ๆ เชื่อว่าตอนนี้ไม่มีอันตรายใดเกิดขึ้นและยังไม่ควรกังวลมากจนเกินไป
“ท่านพ่อต้องติดต่อพวกเขาให้ได้โดยเร็วที่สุดนะขอรับ ไม่เช่นนั้นพี่อวี้โม่คงเป็นกังวลจนเสียสติแน่”
สีหน้าของหลานเผิงบิดเบี้ยวเล็กน้อย ไม่มีความจำเป็นต้องกล่าวถึงความสำคัญของเด็กน้อยทั้งสองต่อฉินอวี้โม่ หากเกิดอะไรขึ้นจริง แม้เป็นผู้ที่ทรงพลังเช่นฉินอวี้โม่ เกรงว่านางก็ไม่มีทางทนรับได้แน่ เพราะเหตุนั้นพวกเขาจึงต้องสืบเบาะแสที่แน่ชัดให้ได้โดยเร็วที่สุดเพื่อยืนยันว่าคนทั้งสามปลอดภัยดี…
ในอีกฟากหนึ่ง หานโม่ฉือโอบเอวบางของฉินอวี้โม่ขณะมุ่งหน้าไปยังเมืองหลิงอวิ๋นด้วยความเร็วสูง
“ขึ้นมานั่งบนหลังข้าเถอะ”
ซิวออกจากคฤหาสน์เฟิงหัวและกลับคืนร่างเดิมก่อนกล่าวให้ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือขึ้นไปนั่งบนหลังของมัน
แม้ความเร็วในการเคลื่อนที่ของหานโม่ฉือจะรวดเร็วอย่างยิ่ง ทว่ามันก็ยังเทียบไม่ได้กับความเร็วของซิวในร่างที่แท้จริงของมัน ความเร็วในการบินโฉบบนฟ้าของมันรวดเร็วยิ่งกว่าเรือเหินเวหาเสียอีก
“ไม่ต้องห่วง ไม่เกิดปัญหาอะไรขึ้นหรอก”
หานโม่ฉือโอบร่างบางเข้าหาอ้อมกอดอบอุ่นและลูบแผ่นหลังของนางเบา ๆ เพื่อปลอบประโลมให้คลายกังวล
ในเมื่อฉินอี้เฟยกล้าพาเด็กน้อยทั้งสองมาด้วย นั่นจะต้องหมายความว่าเขามั่นใจแล้วว่าจะปกป้องเด็กทั้งสองได้ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็อยู่กับคนของศูนย์การค้าจ้าวสมุทรและเชื่อว่าจะไม่เกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดใดอย่างแน่นอน
“คงจะไม่เกิดปัญหาอะไรขึ้นหรอก…”
ฉินอวี้โม่พยายามสงบสติอารมณ์ลง ทว่าสีหน้าของนางก็จริงจังอย่างเห็นได้ชัด ความแข็งแกร่งของฉินอี้เฟยยังถือว่าน้อยเกินไป บุตรน้อยทั้งสองของนางก็ยังเด็กมาก หากเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่น่าหวาดหวั่นเช่นฮวาฟางเฟย เกรงว่าพวกเขาไม่มีพลังมากพอที่จะหลบหนีได้ด้วยซ้ำ…
ในอีกฝั่งหนึ่ง ฉินอี้เฟยและคณะก็เผชิญกับเหตุที่ไม่คาดคิดเล็กน้อย