เมื่อเห็นสิ่งที่ปรากฏในมือของโป๋หย่า สายตาของทุกคนก็เป็นประกายทันทีและหลายคนถึงกับลุกขึ้นยืนอย่างอดไม่ได้
แม้แต่คนของสามสำนักและเก้านิกายในแต่ละห้องก็ตกตะลึงเช่นกัน นี่เป็นสมบัติที่มหัศจรรย์อย่างแท้จริง
“มันคือโอสถทะลวงสวรรค์ !”
หานโม่ฉือซึ่งนั่งอยู่ในห้องพิเศษกับฉินอวี้โม่โพล่งออกไปทันที
‘โอสถทะลวงสวรรค์’ คือโอสถระดับต้น ๆ ของดินแดนมหาเทพ เมื่อใดก็ตามที่ได้กลืนกินมัน จอมยุทธ์จะสามารถพัฒนาระดับพลังของตนเองได้ในทันที และสำหรับผู้ที่มีพลังในขอบเขตราชาเซียนก็จะมีโอกาสทะลวงพลังไปถึงขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงสุดได้มากถึงเจ็ดในสิบส่วน
กล่าวคือตราบใดที่ได้ครอบครองโอสถทะลวงสวรรค์นี้ จอมยุทธ์ผู้นั้นก็มีโอกาสสูงที่จะทะลวงพลังข้ามไปถึงขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงสุดได้โดยตรง แน่นอนว่าโอสถที่วิเศษเช่นนี้ย่อมดึงดูดและสร้างความฮือฮาอย่างที่สุด
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่คิดเลยว่าจะมีโอสถทะลวงสวรรค์ในงานประมูลครานี้ พลังของข้าติดอยู่ที่สภาวะคอขวดมานานหลายร้อยปีและในที่สุดข้าก็มีความหวังที่จะทะลวงพลังได้เสียที !”
ภายในห้องที่สมาชิกจอมยุทธ์ปีศาจรวมตัวกัน หนึ่งในนั้นหัวเราะอย่างบ้าคลั่งและกล่าวอย่างมีความสุข
พลังของเขาติดอยู่ในสภาวะชะงักงันและไร้การพัฒนามานานหลายร้อยปี ตราบใดที่ได้โอสถทะลวงสวรรค์มาครอง เขาก็มั่นใจมากถึงเก้าในสิบส่วนว่าจะทะลวงพลังต่อไปได้
พลังการต่อสู้ของขอบเขตราชาเซียนและขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงสุดนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หากทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงสุดได้สำเร็จ เขาจะสามารถพัฒนาตำแหน่งของตนเองจนกลายเป็นผู้มีอิทธิพลอันดับต้น ๆ ของจอมยุทธ์ปีศาจได้อย่างแน่นอน
“ตาแก่เอ๋ย อย่าเพิ่งดีใจไปก่อนเลย”
เซิ่งเซียวกล่าววาจาเย้ยหยันอย่างอดไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เกรงกลัวจอมยุทธ์ปีศาจเลยสักนิด
“เหอะ หากผู้ใดกล้าแย่งชิงกับข้า ข้าจะสังหารมันผู้นั้นด้วยตัวข้าเอง !”
บุรุษชราผู้นั้นแค่นเสียงเย็นชาและกล่าววาจาข่มขู่อย่างชัดเจน
“เหอะ นอกเหนือจากการข่มขู่ผู้อื่น พวกเจ้าจอมยุทธ์ปีศาจทำอะไรได้อีกรึ ? หากจอมยุทธ์ปีศาจมีฝีมือมากถึงเพียงนั้นจริง พวกเจ้าก็คงจะบุกโจมตีดินแดนมหาเทพไปนานแล้ว เหตุใดจะต้องทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ เช่นทุกวันนี้ด้วย ?”
อวิ๋นซื่อเทียนพักความสนใจจากการศึกษาหุ่นเชิดตัวตายตัวแทนเป็นการชั่วคราวและเงยหน้ามองไปยังห้องที่คนทั้งสามจากจอมยุทธ์ปีศาจอาศัยอยู่พร้อมกล่าววาจาเย้ยหยัน
“บัดซบ !”
เมื่อถูกเซิ่งเซียวและอวิ๋นซื่อเทียนกล่าววาจาเย้ยหยันอย่างไม่ไว้หน้า คนของจอมยุทธ์ปีศาจก็มีสีหน้าบิดเบี้ยวเหยเกไปทันทีขณะสบถเสียงดังและแผ่แรงกดดันตรงมาที่คนทั้งสอง
“หากมีเงินก็แค่เสนอราคามา หากไม่มีก็แค่หุบปากไปเสีย เหตุใดพวกเจ้าจอมยุทธ์ปีศาจจะต้องพูดพล่ามไร้สาระให้เสียเวลาด้วย ?!”
ฉินอวี้โม่กล่าวอย่างเย็นชาในขณะที่หานโม่ฉือเพียงโบกมือเบา ๆ และแรงกดดันเหล่านั้นก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ฮ่า ๆ ๆ เชิญทุกท่านประมูลด้วยความสบายใจเถิด ต่อให้คนของจอมยุทธ์ปีศาจจะแข็งแกร่งเพียงใด พวกเขาก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามในดินแดนมหาเทพของเราหรอก หากใครหน้าไหนริอาจก่อเรื่องวุ่นวายในงานประมูลของตระกูลหลาน…อย่าหาว่าพวกข้าไม่เตือนก็แล้วกัน !”
ผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลหลานกล่าวพร้อมรอยยิ้มเย็นชาขณะแผ่แรงกดดันออกไปเพื่อแสดงจุดยืนที่ชัดเจน
ผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลหลานเป็นบุคคลที่ทรงพลังอย่างมากและมีพลังที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึง คนจากจอมยุทธ์ปีศาจทั้งสามคนไม่มีทางลองดีกับเขาอย่างแน่นอน
เวลานี้บรรยากาศของทั้งโรงประมูลก็เงียบลงขณะรอให้ทุกคนเริ่มเสนอราคากัน
“ราคาประมูลเริ่มต้นของโอสถทะลวงสวรรค์คือสิบล้านแก่นหินวิญญาณและอย่างน้อยก็จะต้องเสนอราคาเพิ่มขึ้นครั้งละห้าล้านแก่นหินวิญญาณเท่านั้น”
โป๋หย่าประกาศราคาประมูลเริ่มต้นทันทีและมันเป็นราคาที่สูงกว่าของประมูลทั้งหมดก่อนหน้านี้
“สิบห้าล้าน !”
ทันทีที่สิ้นเสียงของโป๋หย่า ตัวแทนของขุมกำลังในสามสำนักและเก้านิกายก็อดกล่าวออกไปไม่ได้ สำหรับสมบัติที่ล้ำค่าเช่นโอสถทะลวงสวรรค์ พวกเขาไม่มีเวลาที่จะมาไว้หน้าขุมกำลังใดและต้องการเข้าร่วมการประมูลโดยเร็วที่สุด ไม่ว่าผู้ใดชนะการประมูลและได้มันไปครอง ความแข็งแกร่งของคนผู้นั้นจะพัฒนาขึ้นอย่างทวีคูณ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือบรรดาจอมยุทธ์แก่เฒ่าที่ติดอยู่ในสภาวะคอขวดมานาน ไม่มีทางที่พวกเขาจะยอมแพ้การประมูลครานี้อย่างแน่นอน
“ยี่สิบล้าน !”
“สามสิบล้าน !”
“สี่สิบล้าน !”
……
ผู้เข้าร่วมประมูลยังคงขานราคากันอย่างไม่ยอมน้อยหน้าส่งผลให้ราคาประมูลของโอสถทะลวงสวรรค์พุ่งสูงถึงแปดสิบล้านแก่นหินวิญญาณภายในเวลาเพียงสั้น ๆ และยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“หนึ่งร้อยล้าน!”
บุรุษชราจากจอมยุทธ์ปีศาจเสนอราคาประมูลที่สูงจนน่าตกใจ
เมื่อได้ยินเช่นนั้น บางคนในสามสำนักและเก้านิกายและขุมกำลังระดับที่ต่ำกว่าล้วนยอมสละสิทธิ์ในที่สุด
สำหรับแก่นหินวิญญาณที่มากถึงหนึ่งร้อยล้านก้อน แม้แต่ขุมกำลังของพวกเขาก็ไม่สามารถนำออกมาใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายได้
“หนึ่งร้อยสิบล้าน !”
แม้บรรดาขุมกำลังระดับต่ำจะสละสิทธิ์ไปแล้ว ขุมกำลังที่ทรงอิทธิพลบางแห่งก็ยังไม่ยอมแพ้
ผู้อาวุโสของนิกายนภาครามยังคงเสนอราคาต่อไป
“หนึ่งร้อยยี่สิบล้าน !”
บุรุษชราหมายมั่นว่าตนต้องประมูลโอสถทะลวงสวรรค์ให้ได้และเขายังคงทบราคาสูงขึ้นเรื่อย ๆ
“หนึ่งร้อยสามสิบล้าน !”
ฮวาหรงผู้ซึ่งนั่งอยู่ในห้องเดียวกันกับเขาอดกล่าวออกมาไม่ได้และต้องการครอบครองโอสถทะลวงสวรรค์นี้ไปเช่นกัน
ความแข็งแกร่งของนางในตอนนี้ก็ติดอยู่ในสภาวะคอขวดเช่นกัน หากได้โอสถทะลวงสวรรค์มาเป็นของตน โอกาสการทะลวงพลังของนางจะพัฒนาขึ้นมากอย่างแน่นอน นิกายหมื่นบุปผาในตอนนี้อ่อนแอลงมาก หากมีจอมยุทธ์ที่ทรงพลังในอันดับต้น ๆ ของดินแดนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน พวกนางก็จะมั่นใจได้มากขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้านี้นางก็พ่ายแพ้ต่อฉินอวี้โม่ไปอย่างอัปยศอดสูและฮวาหรงก็ต้องการล้างแค้นมาตลอด หากนางพัฒนาความแข็งแกร่งของตนเองได้อีกครั้ง นางก็มั่นใจว่าจะเอาชนะฉินอวี้โม่ได้
“ฮวาหรง นี่เจ้าก็คิดที่จะสู้กับข้าเช่นกันรึ ?”
สีหน้าของผู้อาวุโสจากจอมยุทธ์ปีศาจบิดเบี้ยวทันทีและไม่คิดเลยว่าฮวาหรงจะเข้าร่วมการประมูลเพื่อแข่งขันกับตน
“แม้เราจะอยู่ในความสัมพันธ์เชิงร่วมมือกัน โอสถทะลวงสวรรค์ก็เป็นสิ่งที่ล้ำค่าเกินกว่าจะปล่อยผ่านไปได้ ข้าเชื่อว่าจอมยุทธ์ปีศาจคงไม่คิดบาดหมางกับพวกเราเพียงเพราะโอสถทะลวงสวรรค์นี้หรอก”
ฮวาหรงกล่าวขึ้นเบา ๆ และทำให้สีหน้าของอีกฝ่ายชะงักไปเล็กน้อยทันที
เป็นจริงดังที่นางกล่าวไว้ทุกประการ ในเมื่อตอนนี้ตกลงร่วมมือกันแล้ว โอสถทะลวงสวรรค์เพียงอย่างเดียวก็ไม่ควรทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องแตกหักหรือผิดใจกันเอง
“เหอะ หนึ่งร้อยห้าสิบล้าน !”
จอมยุทธ์ปีศาจเก็บตัวและสั่งสมพลังมานานหลายปี เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะมีรากฐานที่แข็งแกร่ง ผู้อาวุโสแค่นเสียงในลำคอและยังคงขานราคาต่อไปขณะที่หัวใจเริ่มมีความชิงชังต่อฮวาหรงแล้ว
เมื่อใดที่จัดการกับขุมกำลังอื่น ๆ ในดินแดนมหาเทพได้สำเร็จ นางจะเป็นเป้าหมายแรกที่เขาจะกำจัดไป !
“หนึ่งร้อยหกสิบล้าน !”
ครานี้เป็นตัวแทนจากสำนักเบิกภูเขาที่เสนอราคาขึ้นมา
ขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่ในสุดในสามสำนักและเก้านิกายก็คือสำนักทั้งสามและพวกเขามีรากฐานที่แข็งแกร่งพอจะสู้กับจอมยุทธ์ปีศาจได้มากที่สุด นอกจากนี้ พวกเขาทั้งสามขุมกำลังต่างก็สนใจในโอสถทะลวงสวรรค์เช่นกัน เพียงแต่ฟู่อวิ๋นซิวไม่คิดที่จะแข่งขันเสนอราคาด้วย ถึงอย่างไรเป้าหมายของการที่เขามาที่นี่ในครานี้มิใช่เพื่อประมูลโอสถทะลวงสวรรค์
“หนึ่งร้อยเจ็ดสิบล้าน !”
คนของสำนักห้าขุนเขากล่าวและเข้าร่วมการแข่งขันประมูลเช่นกัน
“บัดซบเอ๊ย พวกเจ้าก็อยากเข้าร่วมการประมูลด้วยงั้นรึ ?”
สมาชิกของจอมยุทธ์ปีศาจกัดฟันกรอดทันที คิดไม่ถึงเลยว่าคนของสำนักห้าขุนเขาที่เป็นฝ่ายเดียวกับตนจะเข้าร่วมการแข่งขันประมูลราคาเช่นกัน
“ฮ่า ๆ ๆ พวกเราก็สนใจโอสถทะลวงสวรรค์เช่นกัน เพราะฉะนั้นเราจะไม่พลาดแน่”
สำนักห้าขุนเขามีความมั่นใจยิ่งกว่านิกายหมื่นบุปผาเสียอีกและไม่สนใจคำข่มขู่ของสมาชิกจากจอมยุทธ์ปีศาจแม้แต่น้อยขณะคลี่ยิ้มบางด้วยสีหน้าที่ไม่ทุกข์ร้อน
…..
ทุกคนขานราคาประมูลอย่างดุเดือด ทว่าห้องพิเศษของฉินอวี้ไม่ยังคงนิ่งเงียบและไม่มีเสียงใดดังออกไป
“ก็แค่โอสถทะลวงสวรรค์ มันคุ้มค่าแล้วรึที่ต้องแก่งแย่งกันเช่นนี้ ?”
เซิ่งเซียวกล่าวด้วยความฉงนสงสัยและเห็นได้ชัดว่าเขาไม่สนใจโอสถดังกล่าวเท่าใดนัก
“เจ้าหมายความว่าอะไรกันที่บอกว่ามันก็แค่โอสถทะลวงสวรรค์ ? มันเป็นโอสถที่ช่วยให้ผู้ที่มีพรสวรรค์ธรรมดามีโอกาสในการทะลวงพลังมากขึ้น เป็นธรรมดาที่คนเหล่านั้นจะต่อสู้แย่งชิงกันอย่างดุเดือด ในดินแดนนี้มิได้มีจอมยุทธ์อย่างพวกเรามากนักที่สามารถทะลวงพลังได้ด้วยพรสวรรค์ของตนเอง มิใช่เรื่องแปลกที่มันจะไม่มีค่าสำหรับพวกเรา”
อวิ๋นซื่อเทียนกล่าวพร้อมรอยยิ้มและเป็นน้ำเสียงที่ดังมากพอจะทำให้ทุกคนในงานประมูลได้ยินอย่างชัดเจน
บุรุษชราซึ่งเป็นผู้อาวุโสของจอมยุทธ์ปีศาจก็เดือดดาลขึ้นทันที เมื่อได้ยินบทสนทนาระหว่างอวิ๋นซื่อเทียนและเซิ่งเซียว เขาก็กัดฟันแน่นยิ่งกว่าเดิมและหมายมั่นที่จะสั่งสอนบทเรียนกับคนทั้งสองให้ได้
“สองร้อยล้าน !”
เขาขานราคาออกไปด้วยน้ำเย็นชาและทำให้ทั้งงานประมูลตกอยู่ท่ามกลางความเงียบทันที