มีเพียงน้อยคนที่จะสนใจในเมล็ดพันธุ์ของต้นไม้โลก เมื่อเห็นว่าผู้ที่เสนอราคาเมื่อครู่เป็นเพียงบุรุษแปลกหน้าที่ไม่มีผู้ใดรู้จัก ทุกคนก็ไม่คิดที่จะแข่งขันกับเขาแต่อย่างใด
คนอื่น ๆ ในห้องโถงเสนอราคาประมูลกันต่ออีกหลายครั้ง ทว่าหานโม่ฉือก็ไม่ยอมแพ้และทบราคาของเมล็ดพันธุ์ต้นไม้โลกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงห้าสิบล้านแก่นหินวิญญาณ เมื่อถึงตอนนั้น ทุกคนในห้องโถงก็เงียบลงและไม่มีผู้ใดสู้ราคาอีกต่อไป
“จอมยุทธ์ท่านนี้เสนอราคาที่ห้าสิบล้านแก่นหินวิญญาณ มีผู้ใดต้องการเพิ่มราคาอีกหรือไม่เจ้าคะ ?”
โป๋หย่าทราบถึงตัวตนที่แท้จริงของหานโม่ฉือและไม่คิดเปิดเผยมัน นางเพียงกล่าวประกาศตามขั้นตอนและคาดว่าคงจะไม่มีผู้ใดประมูลในราคาที่สูงกว่านี้อีก
สมาชิกของสามสำนักและเก้านิกายก็ไม่กล่าวสิ่งใดและพวกเขาไม่มีความคิดที่จะเข้าร่วมการประมูลในรายการนี้ ผู้คนในห้องโถงก็เพียงส่ายศีรษะเบา ๆ เช่นกัน ห้าสิบล้านแก่นหินวิญญาณเป็นราคาที่มากเกินกว่าที่พวกเขาจะจ่ายได้
“เอาล่ะ หากไม่มีผู้ใดเสนอราคาแล้ว ถ้าเช่นนั้นเมล็ดพันธุ์นี้ก็จะตกเป็นของ…”
ขณะโป๋หย่ากำลังจะประกาศผลการประมูล เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นขัดจังหวะ
“หนึ่งร้อยล้าน !”
น้ำเสียงเย่อหยิ่งและทะนงตนดังขึ้นในหูของทุกคนพร้อมกับคนกลุ่มหนึ่งที่เดินเข้ามาจากด้านนอกโรงประมูล ผู้ที่เดินนำหน้าสุดคือสตรีนางหนึ่งที่อยู่ในช่วงวัยยี่สิบปี นางมีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นและสวมอาภรณ์สีแดงสดขณะเชิดคอสูงอย่างทะนงตนโดยที่ไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา
ด้านหลังนางคือกลุ่มคนนับสิบที่ติดตามมาอย่างใกล้ชิด ความแข็งแกร่งของพวกเขาเหล่านั้นเหนือชั้นยิ่งนักและมีหลายคนที่ฉินอวี้โม่ไม่อาจมองระดับพลังได้อย่างทะลุปรุโปร่งเลย ราวกับว่าพวกเขามีพลังที่เหนือกว่าผู้นำของจอมยุทธ์ปีศาจเสียอีกซึ่งถือว่าเป็นตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
“ข้าผู้นี้ต้องการเมล็ดพันธุ์ของต้นไม้โลก หากใครหน้าไหนที่คิดจะแย่งมันไปจากข้า ก็ลองเถอะว่าจะมีความสามารถมากพอหรือไม่ !”
นางกวาดสายตามองทุกคนและก้าวตรงไปยังเวทียกสูงด้วยหมายที่จะคว้าเอาเมล็ดพันธุ์ต้นไม้โลกมาครองโดยตรง
“ท่านจอมยุทธ์ งานประมูลยังคงดำเนินอยู่และอาจมีผู้อื่นที่ต้องการเสนอราคาอีก เชิญถอยออกไปรอก่อนและอย่าฝ่าฝืนกฎของงานประมูลเรา”
โป๋หย่าขมวดคิ้วมุ่นและกล่าวออกไปอย่างชัดเจน สตรีผู้นี้ทำให้นางรู้สึกไม่ถูกชะตาเลยสักนิดและความเย้ยหยันในแววตาทำให้ผู้คนรอบตัวอึดอัดได้ง่าย ๆ
“เหอะ กฎที่ตระกูลหลานตั้งขึ้นมันสำคัญมากนักรึ ?”
สตรีนางนั้นแสยะยิ้มเยาะเย้ยก่อนกล่าว “ไม่ว่ากฎของงานประมูลจะเป็นอย่างไร ข้าผู้นี้ก็ต้องชนะการประมูลเมล็ดพันธุ์ของต้นไม้โลกนี้อย่างแน่นอน อีกอย่าง…ข้าขอเตือนไว้เลยว่าข้าผู้นี้มิใช่คนที่พวกเจ้าจะท้าทายได้ หากมีใครที่คิดจะเสนอราคาแข่งกับข้าละก็ จงคิดไตร่ตรองให้ดีเสียก่อนว่าตัวเจ้าจะรับมือกับผลลัพธ์ของการที่ท้าทายข้าได้รึไม่ !”
น้ำเสียงของนางเย่อหยิ่งอย่างที่สุด สำหรับนางแล้วดูเหมือนคนของสามสำนักและเก้านิกายมิใช่ผู้คนที่ต้องคำนึงถึงแม้แต่น้อย นับประสาอะไรกับจอมยุทธ์คนอื่น ๆ
“ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าแม่นางมาจากตระกูลใด ?”
ก่อนที่คนอื่น ๆ จะกล่าวสิ่งใด สมาชิกของจอมยุทธ์ปีศาจก็อดเอ่ยถามออกไปไม่ได้ แม้แต่คนของสำนักเมฆาครามหรือตระกูลราชวงศ์ก็ยังไม่กล้ากล่าววาจาอาจหาญเช่นนั้นต่อหน้าคนของจอมยุทธ์ปีศาจ ทว่าสตรีผู้มาใหม่นี้กลับไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาสักนิดและนางยังวางท่าโอหังมากจนเกินไป พวกเขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับสตรีผู้นี้ในดินแดนมหาเทพมาก่อน
“เหอะ ตระกูลของข้างั้นรึ ? พวกเจ้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะได้รู้หรอก”
สตรีนางนั้นไม่เห็นจอมยุทธ์ปีศาจอยู่ในสายตาเลยสักนิดและยังคงก้าวไปยังเวทีสูงต่อไป เป้าหมายของนางคือเมล็ดพันธุ์ของต้นไม้โลกนั่นเอง
“คนของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์!”
จู่ ๆ ผู้อาวุโสของตระกูลหลานก็โพล่งออกมาเมื่อคาดเดาตัวตนของสตรีแปลกหน้าผู้นี้ได้ สำหรับผู้ที่มั่นใจในพลังของตนเองและวางท่าโอหังเหนือทุกคนอย่างไม่ไว้หน้าผู้ใดเช่นนี้ เห็นทีจะมีเพียงคนของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น
“โลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์งั้นรึ ?”
สีหน้าของทุกคนในงานประมูลเปลี่ยนไปทันทีและหลายคนเคยได้ยินเกี่ยวกับโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มาก่อน มันคือสถานที่ลึกลับที่แม้จะมีขนาดไม่ใหญ่นักทว่าประชากรของที่นั่นก็แข็งแกร่งอย่างมาก กล่าวกันว่าขุมกำลังเล็ก ๆ ของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็มีพลังอำนาจที่เหนือกว่าสามสำนักและเก้านิกายของดินแดนมหาเทพอย่างเทียบไม่ติดฝุ่น นับประสาอะไรกับผู้ที่ทรงพลังของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
“เหอะ นายหญิงของพวกเราคือหนิงยวี่ย่วน—คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลหนิงซึ่งเป็นหนึ่งในห้าตระกูลใหญ่ของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์”
บุรุษวัยกลางคนถัดจาก ‘หนิงยวี่ย่วน’ แค่นเสียงเย็นชาและกล่าวด้วยสีหน้าที่เย่อหยิ่งไม่ต่างกัน
ตระกูลหนิงคือหนึ่งในห้าตระกูลใหญ่ของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และถูกจัดเป็นอันดับสามในบรรดาห้าตระกูลซึ่งถือว่าไม่อ่อนแอแม้แต่น้อย
และหนิงยวี่ย่วนผู้นี้คือคุณหนูใหญ่ของตระกูลหนิงนั่นเอง สำหรับนางแล้ว ไม่ว่าสิ่งใดที่ปรารถนา ผู้คนรอบตัวก็แทบจะประเคนมอบให้ แม้แต่ขุมกำลังอื่น ๆ ของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ยังต้องไว้หน้านาง นับประสาอะไรกับขุมกำลังเล็ก ๆ จากดินแดนมหาเทพเหล่านี้
“หนึ่งร้อยสิบล้าน”
หนิงยวี่ย่วนเดินเข้าไปใกล้เวทีมากขึ้นเรื่อย ๆ ทว่าก่อนที่นางจะก้าวขึ้นไป น้ำเสียงเย็นชาเสียงหนึ่งก็ดังมาจากมุมหนึ่งของโรงประมูลและมันคือเสียงของหานโม่ฉือนั่นเอง
เขาไม่สนใจเลยว่าหนิงยวี่ย่วนจะมาจากตระกูลใด เมล็ดพันธุ์ต้นไม้โลกคือสิ่งที่ฉินอวี้โม่ต้องการ ต่อให้ผู้ทรงอิทธิพลในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มาที่นี่ด้วยตัวเอง เขาก็ไม่มีทางยอมแพ้ไปง่าย ๆ
“ใครกันที่ริอาจเสนอราคาขึ้นมา ?”
บุรุษวัยกลางคนถัดจากหนิงยวี่ย่วนกล่าวด้วยน้ำเสียงเดือดดาลอย่างชัดเจน ไม่คิดเลยว่าหลังจากที่พวกเขาเปิดเผยตัวตนแล้วก็ยังมีใครบางคนที่กล้าเสนอราคาขึ้นมาเช่นนี้ เจ้านี่รนหาที่ตายเสียแล้ว !
พวกเขาเดินทางจากโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มาที่เมืองราชวงศ์ของดินแดนมหาเทพเพื่อสืบเบาะแสบางอย่าง ทว่าเมื่อผ่านงานประมูลแห่งนี้โดยบังเอิญ หนิงยวี่ย่วนก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่วิเศษบางอย่างและตัดสินใจเดินเข้ามา
พวกนางมีความสนใจอย่างมากเมื่อได้ยินว่าของประมูลชิ้นนี้คือเมล็ดพันธุ์ของต้นไม้โลก หากชนะการประมูลและได้นำมันกลับไป เมล็ดพันธุ์ดังกล่าวจะมีประโยชน์ต่อพวกนางเป็นอย่างมากและทำให้ตระกูลหนิงกลายเป็นขุมกำลังที่ทรงพลังที่สุดในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
เดิมทีนางคิดว่าการเปิดเผยตัวตนและสถานะของพวกตนจะทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าเสนอราคาแข่งอีกต่อไป ไม่คิดเลยว่าบุรุษหนุ่มที่ดูธรรมดา ๆ ผู้นี้จะกล้าแข่งขันประมูลกับพวกนาง
“หากมีเงินก็เสนอราคามา หากไม่มีก็กลับไปเสีย”
หานโม่ฉือกล่าวอย่างเย็นชาและไม่ไว้หน้าตระกูลหนิงแม้แต่น้อย
“เจ้าหนู นี่เจ้ารู้รึไม่ว่ากำลังพูดอยู่กับใคร ?!”
สีหน้าของคนตระกูลหนิงเหยเกทันที พวกเขาวางท่าสูงส่งมาตลอด มีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่จะกล้าพูดจากับพวกเขาด้วยทัศนคติเช่นนี้ บุรุษหนุ่มผู้นี้ไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาด้วยซ้ำและมันเป็นสถานการณ์ที่ไม่น่าพอใจนัก
“เฮ้ ที่นี่มิใช่โลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ หากคิดจะอวดอ้างแสดงอำนาจก็กลับไปที่นั่นเสียเถอะ นี่เป็นงานประมูลของตระกูลหลาน หากมีเงินทองมากพอก็เพียงเสนอราคาขึ้นมา แต่หากไม่มีก็หุบปากไปเสียเถอะ การที่พูดพล่ามไร้สาระต่อไปก็ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา”
ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นเบา ๆ และเป็นวาจาที่สะท้อนความคิดของทุกคนในที่แห่งนี้ได้อย่างชัดเจน
“ถูกต้อง หากต้องการจะอวดอ้างอำนาจบารมีของคุณหนูใหญ่ ก็เชิญพวกเจ้ากลับไปที่โลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เสียเถอะ ที่นี่คือดินแดนมหาเทพ มิใช่เป็นที่ของตระกูลหนิงของพวกเจ้า”
ใครคนหนึ่งกล่าวแสดงความเห็นเช่นเดียวกับฉินอวี้โม่และไม่พอใจกับคนตระกูลหนิงมาตั้งแต่ต้น
ตลกชะมัดที่คนเหล่านี้กล้าวางท่าสูงส่งต่อหน้าผู้อื่นเช่นนี้ !
“หากมีเงินก็เพียงเสนอราคาขึ้นมา หากไม่มีก็กลับไปเถอะ อย่าเอาแต่ข่มขู่ผู้อื่นอยู่ที่นี่เลย แม้โลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะลึกล้ำซ่อนเงื่อนมาก เราก็ไม่กลัวพวกเจ้าหรอก”
หลานเผิงยืนขึ้นและกล่าวออกไปเช่นกัน ในฐานะนายน้อยของตระกูลหลาน ทัศนคติของเขาย่อมเป็นทัศนคติของศูนย์การค้าจ้าวสมุทรทั้งหมด
“แม่นาง หากมาที่นี่เพื่อก่อกวนสร้างปัญหา เชิญท่านกลับไปเถอะ เราไม่ต้อนรับท่านที่นี่”
โป๋หย่าเก็บเมล็ดพันธุ์ต้นไม้โลกไว้อย่างมิดชิดและกล่าว ‘ส่งแขก’ อย่างตรงไปตรงมา