ผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลหลานเป็นจอมยุทธ์ที่ทรงพลังอย่างยิ่ง เขาจัดเป็นยอดฝีมือมากประสบการณ์คนสำคัญของดินแดนมหาเทพผู้ซึ่งเข้าร่วมในสงครามมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นด้านพลังความแข็งแกร่งหรือประสบการณ์การต่อสู้ เขาก็เหนือชั้นเกินกว่าที่จอมยุทธ์ธรรมดาจะเทียบด้วยได้
ในบรรดาสมาชิกหลายสิบคนของตระกูลหลาน บางส่วนก็บรรลุขอบเขตที่เหนือกว่าขอบเขตราชาเซียนแล้ว ทว่าแม้แต่คนเหล่านั้นก็ยังไม่มีพลังมากพอที่จะต่อกรกับผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลด้วยซ้ำ
“ตระกูลหลานของพวกเจ้ายืนกรานที่จะเป็นศัตรูกับตระกูลหนิงของข้างั้นรึ ?”
หนิงยวี่ย่วนผู้ซึ่งถูกคุ้มกันโดยคณะผู้ติดตามจำนวนมากกัดฟันกรอดและกล่าวเสียงแข็ง
ในฐานะคุณหนูใหญ่ของตระกูลหนิง นี่เป็นครั้งแรกที่นางถูกดูหมิ่นและหักหน้าเช่นนี้ ซึ่งมันทำให้นางคับแค้นใจอย่างที่สุด
“ฮ่า ๆ ๆ ตลกชะมัด เห็นได้ชัดว่าตระกูลหนิงของพวกเจ้าต้องการจะวางตัวสูงส่งเพื่อกดขี่ข่มเหงผู้อื่น ทว่าตอนนี้กลับมาทำเหมือนว่าพวกเราเป็นฝ่ายริเริ่มรึ ? หากพวกเจ้าไม่ก่อเรื่องสร้างปัญหาก่อน พวกเราก็คงไม่เสียเวลามาสนใจพวกเจ้าด้วยซ้ำ”
หลานเผิงแสยะยิ้มและกล่าววาจาเย้ยหยันอย่างไม่ปิดบัง
“ถูกต้อง งานประมูลก็ดำเนินไปด้วยดีมาตลอด ทว่าตระกูลหนิงของเจ้ากลับเข้ามาก่อกวนอย่างกะทันหัน คิดหรือว่าขุมกำลังของดินแดนมหาเทพจะยอมถูกรังแกได้ง่าย ๆ ?”
คนอื่น ๆ กล่าวเสริมอย่างเห็นด้วย ต่อให้ทราบถึงความแข็งแกร่งของประชากรจากโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างดี พวกเขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะหวาดกลัวแม้แต่น้อย
“กลับไปที่โลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพวกเจ้าเสียเถอะ ดินแดนมหาเทพของเรามิใช่ที่ที่พวกเจ้าจะทำอะไรตามอำเภอใจได้ !”
บรรดาผู้นำของสามสำนักและเก้านิกายในครานี้ก็กล่าวเป็นเสียงเดียว แม้แต่หลายขุมกำลังที่จำนนต่อจอมยุทธ์ปีศาจก็แสดงจุดยืนเช่นเดียวกัน
“พวกเจ้า…”
ทุกคนในตระกูลหนิงโกรธแค้นจนพูดไม่ออก แม้ว่าในตระกูลหนิงพวกเขาจะอยู่ในสถานะผู้ติดตามเท่านั้น ทว่าพวกเขาก็ไม่เคยเผชิญกับความอัปยศอดสูเช่นนี้มาก่อน ผู้คนของดินแดนมหาเทพที่แสนต่ำต้อยด้อยค่ากล้าดูหมิ่นและไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาเลยสักนิด ช่างเป็นสถานการณ์ที่น่าโมโหอย่างที่สุด
“เหอะ พวกเจ้าเพียงโชคดีที่ได้เกิดในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น นั่นหมายความว่าพวกเจ้ามีสถานะที่เหนือกว่าพวกเราอย่างนั้นรึ ? แม้แต่คุณหนูผู้สูงส่งของตระกูลหนิงที่มีพลังถึงขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงสุดก็ยังเทียบกับข้าที่เป็นเพียงจอมยุทธ์ราชาเซียนขั้นกลางไม่ได้ด้วยซ้ำ”
ฉินอวี้โม่แค่นเสียงในลำคอเบา ๆ และกล่าวสิ่งที่แทนใจทุกคนในเวลานี้
คนของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้วิเศษวิโสเท่าใดนัก คนเหล่านั้นเพียงเกิดในที่ที่ดีกว่า โชคดีมากกว่าและมีทรัพยากรที่เพียบพร้อมมากกว่า ทว่าในแง่ของพรสวรรค์และความแข็งแกร่งที่แท้จริง ผู้คนของดินแดนมหาเทพก็อาจจะไม่ด้อยไปกว่าคนเหล่านั้นเสมอไป
“เจ้า…”
หนิงยวี่ย่วนกัดฟันกรอดทว่าไม่อาจสรรหาคำพูดใดโต้ตอบกลับไปได้เลย สิ่งที่ฉินอวี้โม่กล่าวมาเป็นความจริงทุกประการและนางไม่อาจปฏิเสธได้
“ไสหัวไปให้พ้นและจงพึงระลึกไว้เสมอว่าดินแดนมหาเทพไม่มีทางที่จะอยู่เฉยโดยที่ไม่ตอบโต้ ต่อให้เป็นคนที่มาจากโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เมื่อมาเหยียบย่ำในดินแดนของเรา ทางที่ดีที่สุดคือการเก็บตัวสงบเสงี่ยมเข้าไว้ หากมิใช่เพราะข้าไม่อยากให้เกิดการนองเลือดในงานประมูล ข้าคงไม่เพียงแต่สั่งสอนเจ้าเท่านั้น ทว่าคงจะสังหารเจ้าไปโดยตรง !”
ฉินอวี้โม่กล่าวอย่างเย็นชาและไม่ปิดบังจิตสังหารที่เจืออยู่ในน้ำเสียงของนาง
“เหอะ รอข้าก่อนเถอะ !”
หนิงยวี่ย่วนกล่าวทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวและนำคณะของตระกูลหนิงเดินจากไปอย่างบูดบึ้ง
ทุกคนส่งเสียงโห่ไล่เบา ๆ ให้กับคนของตระกูลหนิงและไม่มีความหวาดกลัวใด ๆ เพียงเพราะอีกฝ่ายมาจากโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
“เอาล่ะ ในเมื่อคนพวกนั้นกลับไปแล้ว งานประมูลของเราก็จะดำเนินต่อไป ไม่ทราบว่ามีจอมยุทธ์ท่านใดต้องการเพิ่มราคาอีกหรือไม่ ?”
เมื่อคนของตระกูลหนิงจากไป ผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลหลานก็ยังคงยืนอยู่บนเวทียกสูงและทำหน้าที่ดำเนินการประมูลเป็นการชั่วคราวว
ทุกคนส่ายศีรษะเบา ๆ ราคาประมูลของเมล็ดพันธุ์ต้นไม้โลกในตอนนี้สูงเกินไปแล้วและผู้คนในห้องโถงไม่สามารถจ่ายในราคานั้นได้ ส่วนคนของสามสำนักและเก้านิกาย รวมถึงจอมยุทธ์ปีศาจก็ไม่สนใจมัน เพราะเหตุนั้นจึงไม่มีผู้ใดคิดเสนอราคาต่อไป
“ถ้าเช่นนั้น เมล็ดพันธุ์ของต้นไม้โลกก็จะตกเป็นของจอมยุทธ์ท่านนี้ หวังว่าท่านจอมยุทธ์จะไขปริศนาความลับของเมล็ดพันธุ์นี้ได้และใช้ประโยชน์จากเมล็ดพันธุ์ของต้นไม้โลกได้อย่างเต็มที่”
หลังจากเขาประกาศผลการประมูล โป๋หย่าซึ่งอยู่ด้านข้างก็นำเมล็ดพันธุ์ของต้นไม้โลกไปมอบให้กับหานโม่ฉือด้วยตัวเอง
หานโม่ฉือยิ้มให้กับนางเล็กน้อยขณะรับเมล็ดพันธุ์ดังกล่าวก่อนกลับไปที่ห้องพิเศษและยื่นมันให้กับฉินอวี้โม่
ฉินอวี้โม่สำรวจมันอย่างใกล้ชิดและสัมผัสได้ว่าเมล็ดพันธุ์นี้ไม่มีความผันผวนของพลังงานใด ๆ มันดูเหมือนเป็นเพียงเมล็ดพันธุ์ธรรมดา ๆ ที่สูญเสียพลังทั้งหมดไปและไม่สามารถบ่มเพาะพลังได้อีก
หลังจากสำรวจมันอย่างพินิจพิจารณาครู่หนึ่ง นางก็เก็บมันไว้ในคฤหาสน์เฟิงหัวเพื่อให้ต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์และบรรดาอสูรได้ศึกษามัน
“ขอบคุณท่านผู้มีเกียรติทุกท่านที่มาเข้าร่วมงานประมูลของตระกูลหลานในครานี้ ตอนนี้งานประมูลของเราถือว่าเป็นอันสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการแล้ว”
งานประมูลของตระกูลหลานดำเนินไปตลอดทั้งวันและตอนนี้ท้องฟ้าก็มืดลงโดยสมบูรณ์แล้ว
ทุกคนในห้องโถงลุกขึ้นและแยกย้ายกลับไป ทว่าทุกคนในห้องพิเศษบนชั้นที่สองยังไม่รีบร้อนเดินทางกลับ
ผู้อาวุโสของตระกูลหลาน โป๋หย่าและผู้อาวุโสสูงสุดเดินเข้าไปในห้องพิเศษของฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ พร้อมมอบของประมูลทั้งหมดที่พวกนางประมูลได้ก่อนหน้านี้
“แม่สาวน้อย เมื่อครู่เจ้าสร้างความขุ่นเคืองใจให้กับคนของตระกูลหนิง แม้ระหว่างสองดินแดนจะมีข้อจำกัดบางอย่างซึ่งทำให้ไม่มีใครเดินทางมาที่ดินแดนมหาเทพมากนักและผู้คนที่มาก็ไม่ถือว่าแข็งแกร่งนัก ทว่าเจ้าก็ต้องระวังตัวไว้ให้มาก”
ผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลหลานก็รู้สึกถูกชะตากับฉินอวี้โม่และกล่าวเตือนนางด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“ท่านผู้อาวุโส ไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะ ข้าจะระวังตัวไว้ หลังจากจบงานประมูลครานี้ ข้าวางแผนจะเดินทางกลับไปที่นิกายกระบี่สายฟ้าทันที ไม่ว่าคนของตระกูลหนิงจะแข็งแกร่งเพียงใด พวกเขาก็ไม่กล้าไปที่นั่นอย่างแน่นอน”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและกล่าวขอบคุณอีกฝ่าย
ทว่าแม้จะกล่าวเช่นนั้น ในใจของนางก็ตั้งมั่นไว้แล้วว่าหากคนตระกูลหนิงกล้าบุกไปที่นิกายกระบี่สายฟ้าเพื่อสร้างปัญหาจริง พวกนางจะหลุดขุดฝังคนเหล่านั้นไว้ที่นั่นตลอดกาล
“สหายน้อยทั้งหลาย เมล็ดพันธุ์ต้นไม้โลกถูกลิขิตให้อยู่ในมือของพวกเจ้าแล้ว หวังว่าพวกเจ้าจะไขปริศนาความลับของมันได้ เพราะหากยังไม่มีใครไขความลับของมันได้ เมื่อข้าตายไป ข้าก็คงไม่กล้าสู้หน้าบรรพบุรุษของตระกูลหลานเป็นแน่”
ผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลหลานมองหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ขณะกล่าวอย่างจริงใจ
เขามองเห็นถึงความพิเศษและน่าทึ่งของคนทั้งสองได้อย่างชัดเจน ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือคือผู้ที่ถูกลิขิตไว้ให้เป็นบุตรที่ฟ้าประทานมาและเชื่อว่าทั้งสองจะกลายเป็นยอดฝีมืออันดับต้น ๆ ของดินแดนได้อย่างแน่นอน
บางทีหากทั้งสองไขปริศนาของเมล็ดพันธุ์ต้นไม้โลกได้จริงและบ่มเพาะพลังของต้นไม้โลกได้สำเร็จ เมื่อถึงตอนนั้น มันจะเป็นส่วนช่วยที่สำคัญต่อทั่วทั้งดินแดนมหาเทพ
“เราจะพยายามอย่างสุดความสามารถเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่ตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม ต่อให้ผู้อาวุโสสูงสุดไม่กล่าวเช่นนี้ พวกนางก็ตั้งใจที่จะไขปริศนาของเมล็ดพันธุ์นี้ให้ได้
หลังจากพูดคุยกันอีกพักใหญ่ คนของตระกูลหลานทั้งหมดก็เดินออกไปจากห้องและแยกย้ายไปจัดการธุระของตน
“เราก็ควรจะกลับกันได้แล้ว ไปกันเถอะ”
ฉินอวี้โม่ลุกขึ้นและกวาดสายตามองห้องพิเศษรอบตัวพร้อมแสยะยิ้มมุมปาก
บนชั้นที่สองของโรงประมูล หลายคนแยกย้ายกันกลับไปแล้วและในห้องของพวกเขาก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม ห้องของจอมยุทธ์ปีศาจและฮวาหรงยังมีความเคลื่อนไหวและเห็นได้ชัดว่ายังมีคนอยู่ในนั้น
ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ว่าคนเหล่านั้นน่าจะกำลังรอพวกนาง ถึงอย่างไรสิ่งของหลายชิ้นที่ฉินอวี้โม่ประมูลชนะก่อนหน้านี้ก็เป็นสิ่งที่ฮวาหรงและจอมยุทธ์ปีศาจต้องการอย่างมาก ต่อให้ไม่ชนะการประมูลก็ยังมี ‘วิธีอื่น’ เพื่อให้ได้พวกมันมาครอง
เป็นจริงดังที่คิดไว้ ทันทีที่ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก้าวออกจากห้อง สมาชิกในห้องของจอมยุทธ์ปีศาจก็ลุกขึ้นเช่นกัน
“เหอะ นึกว่าจะไม่กล้าออกมาเสียอีก !”
ผู้เป็นหัวหน้าของสมาชิกจอมยุทธ์ปีศาจแค่นเสียงเย็นชา ก่อนหน้านี้เขาคิดไว้ว่าฉินอวี้โม่และคณะจะไม่กล้าก้าวออกจากโรงประมูล ไม่คิดเลยว่าพวกนางจะไร้ซึ่งความเกรงกลัวเช่นนี้