แรกเริ่มเดิมที จอมยุทธ์ปีศาจ ฮวาหรงและคนอื่น ๆ มีความมั่นใจกันอย่างเต็มเปี่ยม ทว่าเมื่อเห็นว่าการโจมตีไม่กระทบถึงตัวหานโม่ฉือและทำอันตรายต่อเขาไม่ได้แม้แต่น้อย ความมั่นใจที่แสดงออกอย่างชัดเจนในสีหน้าของคนเหล่านั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“เป็นไปได้อย่างไรกัน ?!”
พวกเขาสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของหานโม่ฉือมาก่อนแล้วและทราบว่าไม่มีทางที่หานโม่ฉือจะแข็งแกร่งจนถึงขั้นนี้ได้ ทว่าพลังที่แสดงออกมาในตอนนี้กลับบดขยี้พลังทั้งหมดของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย
“ฮวาหรง ฮวาฟางเฟยไม่ได้บอกเจ้าเกี่ยวกับความแข็งแกร่งในปัจจุบันของโม่ฉืองั้นรึ ?”
ฉินอวี้โม่ผู้ซึ่งยืนข้างหลังหานโม่ฉือไม่ไกลนักกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน การโจมตีทั้งหมดไม่สามารถเข้าไปถึงตัวนางได้แม้แต่น้อยและถูกป้องกันไว้โดยหานโม่ฉือ
อันที่จริงแล้วในการรับมือกับฮวาหรงและคนเหล่านี้ หานโม่ฉือไม่รู้สึกถึงภัยคุกคามใด ๆ ในเวลานี้เขาก็เพียงโบกมือเล็กน้อยและทำให้คนเหล่านั้นกระเด็นปลิวออกไปทันที
“ฮวาหรง นิกายหมื่นบุปผาของเจ้าจงใจปิดบังเรื่องนี้งั้นรึ ?!”
สีหน้าของคนจากจอมยุทธ์ปีศาจเปลี่ยนไปทันทีและจ้องหน้าฮวาหรงตาเขม็ง
ในเมื่อทราบอยู่ก่อนแล้วว่าหานโม่ฉือมีพลังที่แข็งแกร่งถึงระดับนี้ ทว่าไม่คิดที่จะบอกกับพวกเขาล่วงหน้า นี่ถือว่าเป็นการจงใจทำร้ายพวกเขาเช่นกัน
“ไม่ ! แม้แต่พวกเราเองก็ยังไม่ทราบว่าเขาจะทรงพลังถึงขั้นนี้ !”
ฮวาหรงส่ายศีรษะไปมาอย่างรวดเร็วและปฏิเสธว่าไม่เคยทราบเรื่องนี้มาจากฮวาฟางเฟย หากทราบมาก่อนว่าหานโม่ฉือจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ นางก็คงไม่กล้าวางแผนจัดการกับเขาและฉินอวี้โม่ตั้งแต่แรก
“ผู้อาวุโสทั้งหลาย หากข้าทราบมาก่อนว่าหานโม่ฉือแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ข้าไม่มีทางเชิญทุกท่านมาที่นี่อย่างบุ่มบ่ามแน่นอน ข้าไม่ทราบจริง ๆ ว่าความแข็งแกร่งของเขาบรรลุถึงระดับนี้แล้ว อีกอย่าง…ตอนนี้ก็มิใช่เวลาที่เราจะมาสู้กันเอง ทว่าต้องหาทางเอาตัวรอดให้ได้ก่อน”
เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางสงสัยของสมาชิกจอมยุทธ์ปีศาจ ฮวาหรงก็กล่าวเน้นย้ำกับพวกเขาอีกครั้งด้วยสีหน้าที่จริงจัง
“เหอะ ฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือ พวกเจ้ากล้าสังหารพวกเรางั้นรึ ?”
ผู้อาวุโสของจอมยุทธ์ปีศาจแค่นเสียงเย็นชาและกล่าวออกไป แม้ในใจกังวลเล็กน้อย เขาก็รู้สึกได้ว่าชีวิตของตนไม่ได้ตกอยู่ในอันตราย
“ข้าไม่ได้คิดจะฆ่าพวกเจ้าหรอก ส่งสมบัติทั้งหมดที่มีมาเสียดี ๆ และข้าจะปล่อยพวกเจ้าไปทันที”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากและกล่าวออกไป ในเวลานี้ยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสังหารคนเหล่านี้ จอมยุทธ์ปีศาจยังไม่พร้อมทำสงครามและฝ่ายดินแดนมหาเทพก็เป็นเช่นเดียวกัน การสังหารพวกเขามีแต่จะกระตุ้นความบาดหมางให้รุนแรงมากขึ้นและอาจทำให้จอมยุทธ์ปีศาจเปิดฉากทำสงครามก็เป็นได้ ซึ่งนั่นมิใช่เรื่องที่ดี
“เหอะ คิดจะเอาสมบัติของพวกเราไปงั้นรึ ฝันไปเถอะ !”
ฝ่ายจอมยุทธ์ปีศาจแค่นเสียงในลำคอและเข้าใจความหมายของฉินอวี้โม่เป็นอย่างดี ทว่าไม่คิดที่จะให้ความร่วมมือ
“ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะไม่อยากให้ความร่วมมือกับเรา พวกเจ้าคงจะคิดจริง ๆ สินะว่าข้าไม่กล้าสังหารพวกเจ้า ?”
ฉินอวี้โม่ก้าวออกไปยืนเคียงข้างหานโม่ฉือขณะกวาดสายตามองสมาชิกจอมยุทธ์ปีศาจที่ถูกโจมตีจนล้มกองกับพื้นพลางยักไหล่เบา ๆ
“หากต้องการจะฆ่าพวกเราก็เชิญเลย ทว่าหากคิดที่จะขโมยสมบัติของเราไปละก็…เชิญฝันกลางวันต่อไปเถอะ !”
สมาชิกของจอมยุทธ์ปีศาจยังคงมั่นใจว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือไม่กล้าสังหารพวกตนในตอนนี้ เพราะเหตุนั้น พวกเขาจึงเชิดหน้าชูตาได้อย่างภาคภูมิใจและกล่าวเสียงแข็งออกไป…
“เจ้าพวกโง่เอ๋ย ในสถานการณ์เช่นนี้ ยังกล้าตั้งเงื่อนไขอีกงั้นรึ ?”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะให้กับหานโม่ฉือเบา ๆ ก่อนที่เขาจะโบกมือเล็กน้อยและแหวนมิติของทุกคนก็ปรากฏขึ้นมาในมือของฉินอวี้โม่
คนเหล่านี้ทั้งหมดได้วางอาคมบางอย่างไว้ในแหวนเพื่อป้องกันจากการถูกฉกชิงเอาไป ทว่านั่นมิใช่สิ่งที่อยู่ในสายตาฉินอวี้โม่เลยสักนิด เพียงแค่ใช้พลังวิญญาณแทรกซึมเข้าไปเล็กน้อย นางก็สามารถคลายอาคมเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย สุดท้ายแล้วนางจึงมองเห็นสิ่งของที่บรรจุอยู่ภายในแหวนมิติได้อย่างชัดเจน
นอกเหนือจากวารีรวมจิตและโอสถทะลวงสวรรค์ที่จอมยุทธ์ปีศาจชนะการประมูลก่อนหน้านี้ก็ยังมีสิ่งอื่นที่น่าสนใจอีกมาก สถานะของคนเหล่านี้ในขุมกำลังถือว่าเป็นที่เคารพมากพอสมควรและสิ่งของที่ถูกเก็บไว้ในแหวนมิติของพวกเขาย่อมไม่ธรรมดาเช่นกันซึ่งเป็นสิ่งที่ฉินอวี้โม่พึงพอใจอย่างมาก
“เอาคืนมาเดี๋ยวนี้ !”
สีหน้าของคนจากจอมยุทธ์ปีศาจบิดเบี้ยวอย่างยิ่ง ทรัพย์สินสมบัติทั้งหมดของพวกเขาอยู่ในแหวนมิติเหล่านั้น ก่อนเดินทางมาที่เมืองราชวงศ์เพื่อเข้าร่วมงานประมูล แก่นหินวิญญาณที่ได้รับมาจากผู้นำของแต่ละขุมกำลังก็อยู่ในนั้นเช่นกัน และตอนนี้แหวนมิติถูกชิงเอาไป นั่นหมายความว่าพวกเขาจะไม่เหลืออะไรแม้แต่อย่างเดียว
“ในตอนแรกข้าบอกแล้วมิใช่รึว่าไม่อยากได้สิ่งอื่น แต่พวกเจ้ากลับไม่เห็นคุณค่าของโอกาสนั้น ตอนนี้ยังกล้าบอกให้ข้าคืนแหวนเหล่านี้ให้กับพวกเจ้าอีกงั้นรึ ?”
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่มีทางคืนแหวนมิติเหล่านั้นไป นางคลี่ยิ้มบาง ๆ และโยนแหวนมิติเหล่านั้นลงในแหวนของตนต่อหน้าทุกคน
“เป็นการเก็บเกี่ยวที่ดีทีเดียว ไปกันเถอะ”
นางพยักศีรษะด้วยความพึงพอใจและจับมือหานโม่ฉือขณะกล่าวแสดงความต้องการไปจากที่นี่
“ฉินอวี้โม่ อย่าคิดว่าจะหนีไปได้ง่าย ๆ โดยที่ไม่ทิ้งอะไรไว้ !”
สีหน้าของคนเหล่านั้นบิดเบี้ยวเหยเกอย่างที่สุด ทันทีที่แรงกดดันจากหานโม่ฉือจางหายไป พวกเขาก็ปลดปล่อยการโจมตีเข้าใส่ฉินอวี้โม่ทันที
“ไสหัวไปให้พ้น !”
หานโม่ฉือกล่าวอย่างเย็นชาและใช้ฝ่ามือฟาดเข้าใส่คนเหล่านั้นอย่างไร้ความปรานีจนพวกเขากระเด็นออกไป
พวกเขาต่างก็ล้มกองลงบนพื้นอีกครั้ง สำหรับการเผชิญหน้ากับหานโม่ฉือผู้ทรงพลัง พวกเขาไม่สามารถตอบโต้อะไรได้เลย
“วันนี้ข้าจะปล่อยให้พวกเจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไป ทว่าหากยังยืนกรานที่จะก่อกวนพวกเราอีก จากนั้นก็อย่าหาว่าเราโหดร้ายก็แล้วกัน !”
ฉินอวี้โม่กวาดสายตามองฮวาหรงและคนอื่น ๆ ด้วยจิตสังหารที่ชัดเจนในแววตา
“ล่าถอยกันก่อน !”
เมื่อเห็นจิตสังหารที่ฉายชัดในแววตาของฉินอวี้โม่ ฮวาหรงก็ไม่กล้าอยู่ที่นี่อีกต่อไปและลุกขึ้นก่อนหลบหนีออกไปทันที คนอื่น ๆ ก็ตามไปอย่างใกล้ชิดและไม่คิดอยู่ที่นี่ต่อแม้เพียงเสี้ยวอึดใจ
ความแข็งแกร่งของหานโม่ฉือน่าสะพรึงกลัวจนเกินไป และการที่อยู่ที่นี่ต่อไปก็มีแต่จะเป็นอันตรายต่อพวกเขาเท่านั้น
“พวกเจ้ารอก่อนเถอะ !”
คนของจอมยุทธ์ปีศาจกล่าวทิ้งท้ายก่อนจากไป พวกเขาจะต้องกลับไปแจ้งให้ผู้นำขุมกำลังทราบเรื่องนี้อย่างแน่นอน พลังความแข็งแกร่งของคนทั้งสองโดยเฉพาะหานโม่ฉือเหนือกว่าข้อมูลที่พวกเขาได้รับมาก่อนหน้านี้มากนัก เรื่องสำคัญเช่นนี้จะต้องแจ้งต่อผู้นำขุมกำลังโดยตรงเพื่อให้เขาตัดสินใจเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องทำต่อไป…
หลังจากฮวาหรงและคณะมากกว่าสิบคนจากไป ผู้คนที่มาเพื่อชมเรื่องที่น่าตื่นเต้นก็ยังไม่ได้ไปจากที่นี่
“อะไรกัน ? พวกเจ้าก็คิดจะแย่งชิงสมบัติของเรารึ ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยขึ้นเบา ๆ และผู้ที่เข้ามารับชมเรื่องตื่นเต้นทั่วบริเวณก็ส่ายศีรษะก่อนจากไปอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาเพียงสั้น ๆ ผู้คนที่บริเวณเนินเขาก็กลับไปเกือบทั้งหมดแล้วและเหลือเพียงไม่กี่คนที่เคยพบปะกับฉินอวี้โม่ก่อนหน้านี้ และหนึ่งในนั้นคือฟู่อวิ๋นซิวจากสำนักเมฆาครามนั่นเอง
“อวี้โม่ ไม่ได้พบกันเสียนาน”
ฟู่อวิ๋นซิวกล่าวทักทายฉินอวี้โม่พร้อมรอยยิ้มและเดินตรงเข้ามาอย่างใจเย็น หลังจากที่ผ่านเรื่องราวในชายฝั่งทางเหนือ ทั้งสองก็สนิทสนมกันมาก เมื่อครู่เขาก็กำลังจะเข้ามาช่วยเหลือเช่นกัน ทว่าเมื่อเห็นหานโม่ฉือแสดงพลังอำนาจที่ไร้เทียมทานออกมา เขาจึงตัดสินใจหยุดการเคลื่อนไหวและชมการปะทะต่อไป
ถึงอย่างไรฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็รับมือกับศัตรูมากกว่าสิบคนได้อย่างง่ายดายและไม่มีความจำเป็นที่เขาจะต้องลงมือ
“ไม่ได้พบกันนานจริง ๆ ความแข็งแกร่งของเจ้าพัฒนาขึ้นมากทีเดียว”
ฉินอวี้โม่ยิ้มตอบฟู่อวิ๋นซิว นางยังคงประทับใจในความตรงไปตรงมาของนายน้อยแห่งสำนักเมฆาครามผู้นี้ยิ่งนัก
หานโม่ฉือข้างกายฉินอวี้โม่ก็พยักศีรษะเบา ๆ เพื่อเป็นการทักทายเช่นกัน
“ท่านจอมยุทธ์ทั้งสอง เหตุใดพวกท่านถึงไว้ชีวิตคนเหล่านั้น ?”
ผู้ติดตามคนหนึ่งของฟู่อวิ๋นซิวเอ่ยถามด้วยความฉงนงุนงง ด้วยความแข็งแกร่งในระดับของหานโม่ฉือ การที่จะสังหารสมาชิกของจอมยุทธ์ปีศาจจำนวนนับสิบคนก็มิใช่ปัญหาแม้แต่น้อย ทว่าการที่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเพียงชิงแหวนมิติมาจากคนเหล่านั้นและปล่อยพวกเขาไป ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าทั้งสองกำลังคิดสิ่งใดอยู่…
จอมยุทธ์มากกว่าสิบคนเหล่านั้นถือเป็นบุคคลสำคัญในขุมกำลังฝ่ายศัตรูและการสังหารพวกเขาจะเป็นการตัดกำลังของอีกฝ่ายได้มากซึ่งจะเป็นผลดีต่อพวกเขา
“การฆ่าพวกเขาไม่ยากหรอก แต่การทำเช่นนั้นจะก่อให้เกิดการจลาจลตามมาและมันอาจมิใช่สิ่งที่เราจะรับมือได้ในตอนนี้ อีกอย่าง…ท่านคิดจริง ๆ หรือว่าพวกเขามากกว่าสิบคนจะไม่มีไพ่ตายอื่นซ่อนไว้เลย ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ และกล่าวอธิบายเหตุผลที่พวกตนไม่ลงมือสังหารคนเหล่านั้น