ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆได้รับคำเชิญจากตระกูลราชวงศ์เมื่อสี่วันก่อน
เดิมทีหลังจากงานประมูลของตระกูลหลานสิ้นสุดลง พวกนางวางแผนที่จะเดินทางกลับนิกายกระบี่สายฟ้าโดยเร็ว ทว่าก่อนที่จะออกเดินทาง ทุกคนก็ได้รับจดหมายเชิญดังกล่าว
ตระกูลราชวงศ์ของดินแดนมหาเทพจัดเป็นขุมกำลังที่ลึกลับที่สุดในดินแดน พวกเขาแทบไม่เคยปรากฏตัวในดินแดนและไม่มีความเกี่ยวข้องกับขุมกำลังอื่น ๆ แม้แต่ตระกูลใหญ่ ๆ ในเมืองราชวงศ์ก็แทบไม่เคยพบหน้าคนของตระกูลราชวงศ์ด้วยซ้ำ
ในงานประมูลครั้งใหญ่ของตระกูลหลานก่อนหน้านี้ซึ่งมีผู้คนเข้าร่วมจากทุกสารทิศของดินแดนก็ไม่มีสมาชิกตระกูลราชวงศ์และตระกูลใหญ่ตระกูลอื่นในเมืองราชวงศ์เข้าร่วมแม้แต่คนเดียว
ทว่าหลังจากจบงานประมูลหนึ่งวัน ตระกูลราชวงศ์ก็ได้ส่งจดหมายเชิญชวนฉินอวี้โม่และทุกคนไปที่พระราชวังเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงและหารือถึงการจัดการกับจอมยุทธ์ปีศาจ
“หากไม่คิดจะไป เราคงไม่อยู่ที่นี่จนถึงตอนนี้หรอก”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มและแสดงให้เห็นว่าพวกนางตั้งใจจะเดินทางไปเยี่ยมเยียนตระกูลราชวงศ์ ในเมื่อขุมกำลังลึกลับเช่นนั้นเป็นฝ่ายเชิญชวนก่อน พวกนางก็ไม่มีทางปฏิเสธอย่างแน่นอน
ทัศนคติของตระกูลราชวงศ์เป็นปัจจัยสำคัญในการรับมือกับจอมยุทธ์ปีศาจ หากพวกเขาวางตัวเป็นกลาง นางและขุมกำลังอื่น ๆ ก็ต้องเตรียมแผนการอีกรูปแบบหนึ่ง และหากผู้ใดในตระกูลราชวงศ์แอบร่วมมือกับจอมยุทธ์ปีศาจ พวกนางก็ต้องระบุตัวตนของคนเหล่านั้นให้ได้
สำหรับตระกูลอื่น ๆ ในเมืองราชวงศ์ ตระกูลหลานก็สืบข้อมูลเกี่ยวกับการตัดสินใจของพวกเขาแล้ว ทว่าไม่มีสิ่งใดที่จะต้องกังวลมากนัก
“นั่นก็จริง ถ้าเช่นนั้นพรุ่งนี้เราจะไปที่นั่นด้วยกัน ข้าได้ยินมาว่านอกเหนือจากพวกเรา ตระกูลใหญ่ที่เหลือก็ได้รับคำเชิญเช่นกันและเราคงจะได้พบพวกเขาทั้งหมดที่นั่น”
ตระกูลหลานสืบข้อมูลเกี่ยวกับการเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงครานี้แล้ว นอกเหนือจากพวกเขา ตระกูลใหญ่ตระกูลอื่นในเมืองราชวงศ์ก็ได้รับคำเชิญเช่นกัน ดูเหมือนว่าการเชิญชวนของตระกูลราชวงศ์ในครานี้จะเป็นเรื่องใหญ่โตพอสมควร
เช้าตรู่วันต่อมา ฉินอวี้โม่และคณะก็เดินหน้าตรงไปยังพระราชวังของตระกูลราชวงศ์ด้วยกัน
พระราชวังแห่งนี้มีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาและมีทหารเฝ้าหน้าประตูมากกว่าสิบคน ความแข็งแกร่งของทหารผู้พิทักษ์เหล่านี้อย่างน้อยก็อยู่ในขอบเขตราชาเซียนขั้นต้นและผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็อยู่ในขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงสุดซึ่งเป็นกองกำลังที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
จอมยุทธ์ราชาเซียนผู้ทรงพลังมากกว่าสิบคนเป็นเพียงผู้พิทักษ์ที่ทำหน้าที่คุ้มกันหน้าประตูเท่านั้น เพียงแค่สิ่งนี้ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าตระกูลราชวงศ์เป็นตระกูลที่ทรงพลังเพียงใด
“ความแข็งแกร่งของตระกูลราชวงศ์เหนือกว่าพวกเราทุกตระกูล จากการที่ยอดฝีมือเหล่านี้เป็นเพียงแค่ทหารคุ้มกันหน้าประตู มันก็ยืนยันความจริงข้อนี้ได้อย่างชัดเจน”
หลานเผิงกล่าวอธิบายว่าความแข็งแกร่งของตระกูลราชวงศ์อยู่ในอันดับหนึ่งของมณฑลกลางมาตั้งแต่แรกและอาจจะถือว่าทรงพลังที่สุดในดินแดนมหาเทพด้วยซ้ำ ทหารผู้พิทักษ์เหล่านี้จัดเป็นกลุ่มสมาชิกที่อ่อนแอที่สุดในตระกูลราชวงศ์
หลังจากแสดงจดหมายเชิญ ทหารคนหนึ่งก็นำทางฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ตรงเข้าไปในพระราชวัง
ในเวลานี้ภายในพระราชวังมีผู้คนปรากฏให้เห็นเป็นจำนวนมากแล้วและพวกเขาล้วนเป็นคนจากตระกูลใหญ่ในเมืองนั่นเอง หลายคนที่รู้จักหลานเผิงก็เดินเข้ามาทักทายพร้อมรอยยิ้มเป็นครั้งคราว
หลานเผิงทักทายคนเหล่านั้นทีละคนด้วยท่าทางสุภาพนอบน้อม
พระราชวังของเมืองราชวงศ์ในมณฑลกลางไม่แตกต่างไปจากพระราชวังในดินแดนเทพมายามากนัก
คนอื่น ๆ หลายคนเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของฉินอวี้โม่มาก่อนทว่าเพิ่งได้พบหน้านางเป็นครั้งแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือสมาชิกตระกูลราชวงศ์ที่ได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมานานแล้วและรู้สึกชื่นชมคนทั้งสองอยู่ไม่น้อย สำหรับผู้ที่มาจากดินแดนระดับต่ำและฝ่าฟันอุปสรรคมากมายจนกลายเป็นยอดฝีมืออันดับต้น ๆ ของดินแดนมหาเทพได้เช่นนี้ แม้แต่ตระกูลราชวงศ์ก็ตระหนักดีว่ามันมิใช่เรื่องง่ายเลย
“ฮ่า ๆ ๆ นี่คงจะเป็นท่านจอมยุทธ์ฉินอวี้โม่สินะ”
น้ำเสียงร่าเริงเสียงหนึ่งดังขึ้นในหูของทุกคนและคนกลุ่มหนึ่งก็เดินออกมาจากห้องโถงหลัก
ผู้ที่เดินนำหน้ากลุ่มคือสตรีเยาว์วัยที่มีใบหน้างดงามนางหนึ่งซึ่งดูมีอายุประมาณสิบสี่ถึงสิบห้าปี นางสวมอาภรณ์สีเขียวตัดกับใบหน้าขาวนวลและร่องรอยของความจิ้มลิ้มในแบบของคนเยาว์วัยดึงดูดให้ผู้คนต้องการทำความรู้จัก
และนางคือเจ้าของเสียงเมื่อครู่นี้นี่เอง สตรีผู้นี้คือองค์หญิงเล็กของตระกูลราชวงศ์ผู้ซึ่งเป็นที่รักที่เอ็นดูของผู้คนทั้งตระกูล
ฉินอวี้โม่ก็เป็นสตรีที่หลงเฟยเอ๋อร์—องค์หญิงเล็กของตระกูลราชวงศ์แอบชื่นชมและคลั่งไคล้อยู่ลึก ๆ เมื่อทราบว่าฉินอวี้โม่และคณะมาถึงพระราชวังแล้ว นางก็ไม่รอช้าและรีบออกมาดูให้เห็นกับตาว่าบุคคลที่นางยกให้เป็นต้นแบบของตนเองจะมีรูปลักษณ์หน้าตาเป็นอย่างไร
“สมคำร่ำลือไม่มีผิด ช่างงดงามอย่างที่ไร้ผู้ใดเปรียบและงดงามยิ่งกว่าพี่ใหญ่ของข้าเสียอีก”
นางเดินตรงเข้ามาหาฉินอวี้โม่และหยุดลงตรงหน้าพร้อมกล่าวอย่างจริงใจ
เดิมทีนางไม่ปักใจเชื่อข่าวลือที่ได้ยินมามากนัก นางมั่นใจมาตลอดว่าพี่ใหญ่ของตนผู้ที่มีรูปลักษณ์ที่งดงามดุจดั่งนางฟ้านางสวรรค์จะต้องเป็นสตรีงามอันดับหนึ่งของดินแดนมหาเทพอย่างแน่นอน แล้วจะมีผู้ใดงดงามไปกว่านั้นได้อย่างไร? ทว่าเมื่อได้เห็นฉินอวี้โม่ด้วยตาของตัวเอง หลงเฟยเอ๋อร์ก็เชื่อมั่นโดยสมบูรณ์ รูปลักษณ์ของสตรีผู้นี้งดงามยิ่งกว่าองค์หญิงหลงเพ่ยเอ๋อร์ผู้ซึ่งเป็นพี่สาวของนางอย่างแท้จริง
ไม่เพียงแต่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น ทว่าแม้แต่ลักษณะท่าทางและกลิ่นอายที่แผ่ออกมา ฉินอวี้โม่ก็เหนือกว่าหลงเพ่ยเอ๋อร์ทุกประการ แม้หลงเพ่ยเอ๋อร์จะเป็นถึงองค์หญิงของตระกูลราชวงศ์ ทว่าหากยืนเคียงข้างกับฉินอวี้โม่ นางก็คงจะไม่โดดเด่นแม้แต่น้อย
“ข้ามีชื่อว่าหลงเฟยเอ๋อร์ พี่อวี้โม่เรียกข้าว่าเฟยเอ๋อร์ได้เลย ยินดีต้อนรับเข้าสู่พระราชวังของเรา หลังจากนี้ข้าจะพาท่านไปเยี่ยมชมรอบ ๆ เอง”
เมื่อได้พบหน้าบุคคลต้นแบบที่ตนแอบชื่นชม หลงเฟยเอ๋อร์ก็ดูตื่นเต้นอย่างชัดเจนและไม่รักษาท่าทีขององค์หญิงแม้แต่น้อยขณะกล่าววาจาอย่างเป็นกันเอง
“ถ้าเช่นนั้นก็ต้องรบกวนองค์หญิงเล็กด้วย”
องค์หญิงเล็กผู้มีรูปลักษณ์น่ารักน่าชังและตรงไปตรงมาทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกถูกชะตาในทันที นางอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือออกไปจิ้มแก้มนุ่มของอีกฝ่ายเบา ๆ อย่างมันเขี้ยวและพยักศีรษะตอบรับ
เมื่อถูกจิ้มแก้มโดยผู้ที่ตนแอบปลาบปลื้ม ใบหน้าของหลงเฟยเอ๋อร์ก็แดงระเรื่อเล็กน้อยทันที
“พี่อวี้โม่ นี่ไม่ได้เป็นการรบกวนเลยเจ้าค่ะ ท่านคงไม่ทราบว่าข้าชื่นชอบท่านมากแค่ไหน หากมิใช่เป็นเพราะท่านพ่อไม่อนุญาต ข้าก็คงจะออกไปตามหาท่านก่อนหน้านี้แล้ว”
นางส่ายศีรษะและกล่าวแสดงความชื่นชอบที่มีต่อฉินอวี้โม่
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่ว่าไปที่ใด อวี้โม่ก็มีแฟนคลับอยู่ทุกที่เลยสินะ”
อวิ๋นซื่อเทียนอดกล่าวหยอกเย้าไม่ได้ ชื่อเสียงของฉินอวี้โม่ในดินแดนมหาเทพไม่ด้อยไปกว่าผู้ที่มีชื่อเสียงมานานเลยสักนิด ขุมกำลังใหญ่หลายแห่งต่างก็ทราบถึงประสบการณ์ชีวิตและความยอดเยี่ยมของนางแล้ว และผู้ที่ชื่นชมนางก็มีอยู่ไม่น้อยเลย
“นี่ก็คงจะเป็นพี่ซื่อเทียนสินะ ข้าได้ยินเรื่องท่านมาเช่นกัน ดูเหมือนท่านก็แข็งแกร่งมากเลย”
หลงเฟยเอ๋อร์มองอวิ๋นซื่อเทียนและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ตระกูลราชวงศ์ได้สืบข้อมูลเกี่ยวกับฉินอวี้โม่และสหายมาอย่างชัดเจนแล้ว แน่นอนว่าพวกเขาก็มีข้อมูลของอวิ๋นซื่อเทียนอยู่มากพอสมควร แม้จะด้อยกว่าฉินอวี้โม่เล็กน้อย อวิ๋นซื่อเทียนก็เป็นคนที่ควรค่าแก่การชื่นชมเช่นกัน
“ปากหวานจริงเชียว ไม่แปลกใจเลยที่จะเป็นองค์หญิงคนโปรดของตระกูลราชวงศ์ ใครกันที่จะอดใจมิให้ชอบเจ้าได้”
อวิ๋นซื่อเทียนลูบศีรษะของหลงเฟยเอ๋อร์ด้วยความเอ็นดู สตรีน้อยผู้นี้น่ารักน่าชังอย่างแท้จริง นับว่ามิใช่เรื่องง่ายเลยที่ผู้ที่มีสถานะสูงส่งเช่นนี้จะไม่ถูกตามใจเสียจนเคยตัวและวางท่าโอหังกดข่มผู้อื่น
หลงเฟยเอ๋อร์ยิ้มกว้างก่อนเดินนำฉินอวี้โม่และคณะเข้าไปในห้องโถงหลัก
ทันทีที่เดินเข้ามา คนกลุ่มหนึ่งก็เดินออกมาตรงหน้าพวกนาง โดยผู้ที่นำหน้ากลุ่มนั้นคือองค์หญิงสามของตระกูลราชวงศ์ผู้ซึ่งมีอายุมากกว่าหลงเฟยเอ๋อร์เพียงสองปีเท่านั้น
“ฮ่า ๆ ๆ คนอย่างเจ้าชอบคลุกคลีกับคนชนชั้นล่างจริง ๆ สินะ”
นางมองฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ด้วยแววตาดูถูกดูแคลนและแสดงสีหน้าเย่อหยิ่งอย่างไม่ปิดบัง
“พี่สาม ท่านพูดจาเช่นนี้กับแขกของเราได้อย่างไร ? อย่าลืมสิ่งที่ท่านพ่อสอนเรามาตลอดสิ !”
เมื่อหลงเฟยเอ๋อร์ได้ยินวาจาของหลงซินเอ๋อร์ นางก็ขมวดคิ้วมุ่นและแก้มป่องพองเป็นลูกซาลาเปาด้วยความฉุนเฉียวทันที
“เหอะ แน่นอนว่าข้าไม่มีทางลืม แต่เจ้าน่ะสิ…การที่คลุกคลีใกล้ชิดกับคนต่ำต้อยเช่นนี้ ไม่กลัวว่าจะเสื่อมเสียชื่อเสียงรึ ?”
หลงซินเอ๋อร์แค่นเสียงเย็นชาและดูถูกดูแคลนคณะของฉินอวี้โม่อย่างที่สุด
“เหอะ คิดว่าเป็นองค์หญิงของตระกูลราชวงศ์แล้วจะวิเศษวิโสมากนักรึ ?”
หลานเผิงอดกล่าวออกไปไม่ได้ หลงซินเอ๋อร์ผู้นี้ชักจะโอหังมากเกินไปแล้ว การที่กล่าววาจาดูหมิ่นพวกตนเช่นนี้ นางคิดว่าพวกเขาจะยอมอยู่เฉยอย่างนั้นรึ !