ผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์หลักคือบุรุษสวมเสื้อคลุมสีเหลืองสดซึ่งดูเหมือนอยู่ในช่วงวัยสามสิบปีเท่านั้น เขามีใบหน้าที่หล่อเหลาและรอยยิ้มประดับบนใบหน้า ทว่าร่างกายของเขามีแรงกดดันที่ยิ่งใหญ่แผ่ออกมา ราวกับว่าแทบไม่มีสิ่งใดที่อยู่ในสายตาของเขาได้ เขาคือจักรพรรดิหลงอวี้เทียน—ผู้นำของตระกูลราชวงศ์นั่นเอง
“คารวะองค์จักรพรรดิเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ โค้งคำนับแสดงความเคารพต่อหลงอวี้เทียนทันที แน่นอนว่าพวกนางต้องให้ความเคารพต่อผู้ที่แทบจะยืนอยู่ในจุดสูงสุดของดินแดนมหาเทพผู้นี้
“ไม่ต้องสุภาพเกินไปหรอก ข้าทราบดีว่าพวกเจ้าล้วนเป็นจอมยุทธ์หนุ่มสาวผู้มากพรสวรรค์ นั่งลงก่อนเถอะ”
หลงอวี้เทียนไม่วางท่าโอหังหรือสูงส่งใด ๆ ขณะยิ้มอย่างเป็นมิตรและกล่าวเพื่อให้ฉินอวี้โม่และทุกคนนั่งลงก่อน
ฉินอวี้โม่และสหายพยักศีรษะให้กับตระกูลใหญ่ที่เหลือและนั่งลงในที่นั่งว่างทางด้านขวา
“สหายน้อยทั้งสอง ดูเหมือนว่าข้าจะตามใจบุตรสาวคนที่สามมากเกินไปจนเสียนิสัย โปรดอย่าถือสากับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เลย”
เขากล่าวกับฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือพร้อมเผยรอยยิ้มบาง ๆ อันที่จริงทุกคนในห้องโถงแห่งนี้ก็ได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นนอกห้องโถงก่อนหน้านี้อย่างชัดเจน
“องค์หญิงใหญ่จัดการเรื่องนี้ให้พวกเราแล้วเจ้าค่ะ และองค์หญิงสามก็ขอโทษพวกเราแล้วเช่นกัน เพราะฉะนั้นเราไม่ถือสาสิ่งใดหรอกเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวตอบ ตราบใดที่หลงซินเอ๋อร์ไม่หาเรื่องกวนใจพวกนางอีก พวกนางก็ไม่คิดที่จะให้ความสนใจกับอีกฝ่ายเช่นกัน
“วางมาดใหญ่โตยิ่งนัก คนที่มาจากดินแดนระดับต่ำอย่างพวกเจ้าคงจะภาคภูมิใจมากสินะที่ทำให้องค์หญิงของตระกูลราชวงศ์ขอโทษได้ !”
บุรุษวัยกลางคนที่นั่งอยู่ในตำแหน่งที่สองทางซ้ายมือแค่นเสียงเย็นชาและแสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อฉินอวี้โม่อย่างไม่ปิดบัง
“เจ้าเป็นใคร ?”
เนื่องจากไม่ทราบว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงแสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อตนเช่นนี้ ฉินอวี้โม่จึงเพียงชำเลืองมองและเอ่ยถามเบา ๆ
“เจ้าไม่รู้จักชายแก่ผู้นี้ด้วยซ้ำรึ !”
บุรุษวัยกลางคนลุกพรวดและแสดงสีหน้าโกรธเกรี้ยวอย่างที่สุด
“เหตุใดข้าถึงต้องรู้จักด้วยล่ะ ?”
ฉินอวี้โม่ยักไหล่อย่างไม่แยแสและเมินเฉยต่อท่าทางของอีกฝ่ายอย่างสิ้นเชิง
การที่บุรุษวัยกลางคนผู้นี้เรียกตนเองว่าชายแก่ นั่นหมายความว่าเขาน่าจะมีอายุมากพอสมควร ความแข็งแกร่งของเขาก็ดูเหมือนจะไม่ธรรมดาเช่นกันซึ่งเหนือยิ่งกว่าฮวาหรงเสียอีก ฉินอวี้โม่ทราบดีว่าหากต้องต่อสู้กัน นางอาจจะมิใช่คู่มือของอีกฝ่าย และหากคาดเดาไม่ผิด เขาก็คงจะเป็นผู้นำของหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ที่เหลือ
“เหอะ ข้าผู้นี้คืออวี่เหวินยง—ผู้นำแห่งตระกูลอวี่เหวิน เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงกล่าวว่าไม่รู้จักข้า !”
บุรุษวัยกลางคนแค่นเสียงเย็นชาและเปิดเผยสถานะของตนเองออกไป ตระกูลอวี่เหวินคือตระกูลอันดับหนึ่งในบรรดาสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองราชวงศ์และกล่าวกันว่านอกเหนือจากองค์จักรพรรดิ อวี่เหวินยงผู้นี้ก็คือจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองราชวงศ์
ฉินอวี้โม่เข้าใจดีว่าเหตุใดเขาจึงวางท่าและแสดงตัวสูงส่งยิ่งนัก ตระกูลอวี่เหวินเป็นขุมกำลังที่ทรงพลังอย่างมาก หากจอมยุทธ์ธรรมดา ๆ ได้ยินชื่อของเขา คนเหล่านั้นก็คงจะหวาดหวั่นอย่างสุดหัวใจ
น่าเสียดายที่ฉินอวี้โม่ไม่แยแสเลยสักนิด
“แล้วการที่เจ้าเป็นใครมันเกี่ยวอะไรกับพวกเรารึ ?”
อวิ๋นซื่อเทียนกล่าวพร้อมรอยยิ้มยียวน แม้อีกฝ่ายจะกล่าววาจาได้อย่างน่าเกรงขาม มันก็เปล่าประโยชน์ เพราะต่อให้เป็นหลงอวี้เทียนเอง พวกนางก็ไม่เกรงกลัวด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับผู้ที่เป็นเพียงผู้นำของตระกูลอวี่เหวิน
“บัดซบ คิดว่าพวกเจ้าเป็นสมาชิกนิกายกระบี่สายฟ้าแล้วชายแก่ผู้นี้จะไม่กล้าทำอะไรงั้นรึ ? นิกายกระบี่สายฟ้าปกป้องพวกเจ้าไว้ไม่ได้หรอก !”
อวี่เหวินยงกัดฟันหรอกและจิตสังหารในแววตาชัดเจนอย่างไม่อาจปิดบัง
“ทำไมกัน ? ผู้นำอวี่เหวินคิดจะมีปัญหาบาดหมางกับพวกเรารึ ?”
ฉินอวี้โม่จิบชาที่หานโม่ฉือยื่นให้ด้วยท่าทางสบาย ๆ ขณะชำเลืองมองไปที่อวี่เหวินยงและกล่าวด้วยแววตาเฉยเมย
“เหอะ !”
อวี่เหวินยงแค่นเสียงเย็นชาและไม่กล่าวสิ่งใดอีก ครานี้พวกเขามาที่นี่เพื่อหารือเรื่องการรับมือกับจอมยุทธ์ปีศาจและมิใช่เวลาสำหรับความขัดแย้งภายใน อย่างไรก็ตาม เขาจะจดจำเหตุการณ์นี้ไว้ในใจอย่างไม่มีวันลืมเลือน หากมีโอกาสในอนาคต เขาจะต้องสะสางเรื่องในวันนี้อย่างแน่นอน
“ฮ่า ๆ ๆ ทุกคน สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการร่วมมือกันเพื่อรับมือกับจอมยุทธ์ปีศาจ มิใช่การต่อสู้หรือขัดแย้งกันภายใน สหายอวี่เหวิน อย่าเพิ่งฉุนเฉียวไปเลย ก่อนหน้านี้สหายน้องอวี้โม่และทุกคนก็ไม่ได้ทำสิ่งใดที่ล่วงเกินท่าน เหตุใดจึงแสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์เช่นนี้ ?”
ไป๋อีเย่—ผู้นำตระกูลไป๋ซึ่งเป็นอีกตระกูลใหญ่ของเมืองราชวงศ์ยิ้มแย้มและกล่าวเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“เป็นจริงอย่างที่ว่า ตอนนี้จอมยุทธ์ปีศาจคือศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของดินแดนเรา ผู้นำอวี่เหวินควรที่จะสงวนกิริยามารยาทของตนเองไว้สักหน่อย”
ฟางอู๋เหมี่ยว—ผู้นำตระกูลที่สามซึ่งก็คือตระกูลฟางกล่าวพร้อมรอยยิ้มและไม่ไว้หน้าอวี่เหวินยงแม้แต่น้อย
“บัดซบ !”
ตระกูลฟางและตระกูลอวี่เหวินเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาเสมอ และอวี่เหวินยงก็ไม่ชอบหน้าฟางอู๋เหมี่ยวแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้เขาไม่สามารถทำอะไรได้และทำได้เพียงมองอีกฝ่ายด้วยแววตาเกรี้ยวโกรธโดยไม่กล่าวสิ่งใด
“เอาล่ะ ข้าเชิญทุกคนมาที่นี่ในวันนี้เพื่อหารือเรื่องการรับมือกับจอมยุทธ์ปีศาจ ตอนนี้จอมยุทธ์ปีศาจกำลังทรงพลังมากขึ้นเรื่อย ๆ หากเราไม่ร่วมมือกันเป็นหนึ่ง ขุมกำลังของเราจะต้องพ่ายแพ้ไปตาม ๆ กันอย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้น ข้าจึงหวังว่าทุกคนจะละทิ้งความบาดหมางที่เคยมีก่อนหน้านี้และร่วมมือกันอย่างเต็มที่เพื่อต่อสู้กับจอมยุทธ์ปีศาจ”
ในตอนแรกหลงอวี้เทียนก็ต้องการที่จะห้ามปราม ทว่าฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ มีท่าทีที่แข็งกร้าวมาก อีกทั้งด้วยการที่ผู้นำของอีกสองตระกูลกล่าวแทรกขึ้นมาก่อน เขาจึงไม่ได้ทำสิ่งใด
อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่พอใจกับการกระทำของอวี่เหวินยงอยู่เล็กน้อย แต่ก็ไม่แสดงออกทางสีหน้าและตัดสินใจกล่าวเข้าประเด็นโดยเร็ว
การที่ผู้นำของตระกูลใหญ่ทั้งหมดถูกเชิญชวนมาเข้าร่วมงานเลี้ยงในครานี้ก็เพื่อเป็นการแสดงทัศนคติที่แท้จริงของแต่ละฝ่ายออกมา ในตอนนี้จอมยุทธ์ปีศาจคือศัตรูที่สำคัญที่สุดของดินแดนมหาเทพ ถึงอย่างไรสามสำนักและเก้านิกายก็ได้ประกาศจุดยืนของพวกเขากันไปแล้ว และตอนนี้ถึงเวลาที่สี่ตระกูลใหญ่ของเมืองราชวงศ์จะต้องแสดงจุดยืนเช่นกัน
ทัศนคติของตระกูลหลานชัดเจนมากที่สุด พวกเขาไม่มีทางร่วมมือกับจอมยุทธ์ปีศาจอย่างแน่นอนและเลือกอยู่ฝ่ายเดียวกับฉินอวี้โม่และสหาย อย่างไรก็ตาม ทัศนคติของอีกสามตระกูลใหญ่ยังคงไม่แน่ชัดนัก
ก่อนหน้านี้หลงอวี้เทียนได้ทำการสืบข้อมูลมาบ้างแล้วและคาดการณ์ไว้ว่าตระกูลฟางคงจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับจอมยุทธ์ปีศาจ ทว่าเขาก็ยังไม่มั่นใจเกี่ยวกับจุดยืนของตระกูลอวี่เหวินและตระกูลไป๋
“ต่อให้จอมยุทธ์ปีศาจจะทรงพลังมาก เราก็ไม่จำเป็นต้องสนใจ ตระกูลอวี่เหวินของเราไม่ต้องการเข้าร่วมสงครามของดินแดนมหาเทพและจะไม่เข้าร่วมกับจอมยุทธ์ปีศาจเช่นกัน”
อวี่เหวินยงเป็นคนแรกที่แสดงทัศนคติออกมา เดิมทีเขาก็เป็นคนที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมาเสมอและเป็นธรรมดาที่เขาจะตัดสินใจเลือกทางนี้
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าต้องการสังเกตดูสถานการณ์ก่อน หากสถานการณ์ร้ายแรงจริงๆ จากนั้นเราจึงจะเคลื่อนไหวออกไป”
ตระกูลไป๋ไม่เคยก่อเรื่องหรือสร้างความวุ่นวายในเมืองราชวงศ์มาก่อนและมักปกป้องตระกูลของตัวเองอย่างชาญฉลาด ทัศนคติของไป๋อีเย่ในเวลานี้ก็อยู่ในความคาดหมายของหลงอวี้เทียน
“เอาล่ะ ข้าจะไม่บีบบังคับผู้ใด ทว่าจงพึงระลึกไว้ว่าจอมยุทธ์ปีศาจเป็นศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของดินแดนมหาเทพ ไม่ว่าจะเมื่อนับพันปีก่อนหรือทุกวันนี้ พวกเขาก็ยังก่อกรรมทำชั่วไม่เลิก เพราะฉะนั้น พวกเจ้าสามารถเลือกที่จะไม่เข้าร่วมสงครามการต่อสู้กับจอมยุทธ์ปีศาจได้ แต่หากข้าค้นพบว่าตระกูลใดแอบร่วมมือกับจอมยุทธ์ปีศาจละก็ ในเมืองราชวงศ์แห่งนี้จะไม่มีพื้นที่ให้ตระกูลนั้นดำรงอยู่อีกต่อไป !”
หลงอวี้เทียนพยักศีรษะและกล่าวด้วยน้ำเสียงแสดงความข่มขู่
สีหน้าของอวี่เหวินยงและไป๋อีเย่เปลี่ยนแปลงไปแทบจะพร้อมกัน ทว่าไป๋อีเย่ก็ยิ้มเจื่อนและกล่าวทันที “องค์จักรพรรดิ ไม่ต้องกังวลเลย ตระกูลไป๋ของพวกเราไม่มีทางยุ่งเกี่ยวกับจอมยุทธ์ปีศาจอย่างแน่นอน”
แม้ในเวลานี้ตระกูลไป๋จะแสดงจุดยืนเป็นกลาง ทว่าในอนาคตพวกเขาก็ไม่มีทางเข้าร่วมกับจอมยุทธ์ปีศาจโดยเด็ดขาด
“ตระกูลอวี่เหวินของเราก็เช่นกัน”
อวี่เหวินยงพยายามฝืนยิ้มออกไปและกล่าวความคิดของตน อย่างไรก็ตาม ความตื่นตระหนกเล็ก ๆ ฉายชัดในแววตาของเขาซึ่งเป็นสิ่งที่ฉินอวี้โม่สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน
คาดเดาได้ไม่ยากว่าตระกูลอวี่เหวินคงจะตัดสินใจร่วมมือกับจอมยุทธ์ปีศาจไปแล้ว มิเช่นนั้น อวี่เหวินยงก็คงจะไม่แสดงปฏิกิริยาท่าทางเช่นนี้