บรรดาบุคคลสำคัญของตระกูลอู่เหวินและอู่เหวินยงถูกจอมยุทธ์ปีศาจนำตัวกลับไปแล้ว และสามตระกูลใหญ่ก็ไม่ต้องการรับสมาชิกที่เหลือของตระกูลอู่เหวินเข้าเป็นศิษย์ของพวกตน เพราะเหตุนั้น ศิษย์ส่วนใหญ่ของตระกูลอู่เหวินจึงเลือกเดินทางออกจากเมืองราชวงศ์ในขณะที่คนที่เหลืออีกกลุ่มเล็ก ๆ เลือกเข้าร่วมขุมกำลังระดับสองที่อ่อนแอกว่า
ตระกูลอู่เหวินที่เคยตระกูลเป็นอันดับหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของเมืองราชวงศ์ได้ยุบตัวลงอย่างเป็นทางการและไม่ได้ดำรงอยู่อีกต่อไป
ภายในพระราชวัง ฉินอวี้โม่มอบผลโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ที่สุกงอมเต็มที่ให้กับหลงยวี่เอ๋อร์ก่อนที่จะใช้พลังของไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เพื่อช่วยสร้างเส้นลมปราณใหม่ให้กับนาง
หลงยวี่เอ๋อร์สัมผัสได้ว่าจุดตันเถียนที่เสียหายก่อนหน้านี้ค่อย ๆ ฟื้นตัวอย่างช้า ๆ และพลังความแข็งแกร่งของนางก็เริ่มฟื้นฟูกลับคืนมาเช่นกัน แม้ยังห่างไกลไปจากระดับสูงสุดของตน นางก็สัมผัสได้ถึงพลังมายาที่ผันผวนภายในร่างกายอย่างชัดเจน
“ขอบคุณท่านมากจริง ๆ”
หลงยวี่เอ๋อร์กล่าวขอบคุณฉินอวี้โม่อย่างจริงใจ หากไม่มีสตรีผู้นี้ นางตระหนักดีว่าไม่มีทางฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของตนเองได้อย่างแน่นอนและจะต้องกลายเป็นเพียงคนไร้ค่าไร้พลังไปตลอดชีวิต
ตอนนี้ความแข็งแกร่งของนางกำลังฟื้นฟูอย่างช้า ๆ และเชื่อว่าในอนาคตนางจะได้มีส่วนช่วยในสงครามชี้ชะตากับจอมยุทธ์ปีศาจอย่างแน่นอน
“ไม่ต้องเกรงใจเกินไปหรอก เราเป็นมิตรสหายกันแล้ว การช่วยเหลือกันเป็นเรื่องธรรมดา”
ฉินอวี้โม่ยิ้มตอบบาง ๆ นางยอมรับในตัวของสมาชิกตระกูลราชวงศ์เหล่านี้และมองเป็นสหายที่จะต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันอย่างไม่ย่อท้อ
แม้แต่หลงซินเอ๋อร์ที่เคยมีความบาดหมางกับฉินอวี้โม่ก่อนหน้านี้ก็พูดจากับนางด้วยความนอบน้อมมากขึ้น ถึงแม้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองจะยังไม่ดีเท่าความสัมพันธ์กับหลงเฟยเอ๋อร์และหลงเพ่ยเอ๋อร์ มันก็ไม่เป็นปฏิปักษ์เช่นก่อนหน้านี้อีกต่อไป
ยิ่งไปกว่านั้น แท้ที่จริงแล้วหลงซินเอ๋อร์ก็แอบรู้สึกชื่นชมฉินอวี้โม่อยู่ไม่น้อย การสาดวาจาตอบโต้กันหลายคราก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยความริษยาและความไม่ยินยอม อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นทำให้ความรู้สึกเหล่านั้นของนางหายไปทั้งหมด ความแตกต่างระหว่างหลงซินเอ๋อร์และฉินอวี้โม่นั้นเหนือชั้นเกินกว่าจะเทียบกันได้ การที่พยายามจะเปรียบเทียบตนเองกับฉินอวี้โม่มีแต่จะทำให้รู้สึกด้อยค่าเท่านั้น
หลังจากใช้เวลาอยู่ในเมืองราชวงศ์อีกห้าวัน ฉินอวี้โม่และคณะก็กล่าวอำลาและออกเดินทางมุ่งหน้ากลับสู่นิกายกระบี่สายฟ้า
สำหรับการเดินทางมาที่เมืองราชวงศ์ในครานี้ ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ได้ผลประโยชน์กลับไปมากทีเดียว ไม่เพียงแต่จะได้พบกับฉินอี้เฟยและเสี่ยวอ้ายโม่อีกครั้งเท่านั้น ทว่าพวกนางก็ยังประมูลสมบัติที่ล้ำค่ามาได้หลายชิ้น อีกทั้งฉินอวี้โม่ก็ได้รับวัตถุดิบสำหรับการพัฒนาปรับโฉมคฤหาสน์เฟิงหัวที่วานให้หลานเผิงช่วยตามหาก่อนหน้านี้มาเช่นกัน เมื่อกลับไปถึงนิกายกระบี่สายฟ้า นางก็สามารถเริ่มต้นการพัฒนาปรับโฉมคฤหาสน์ล่องหนได้ในทันที
ในครานี้หลานเผิงไม่ได้เดินทางไปกับฉินอวี้โม่และคณะ เนื่องจากเกิดเรื่องวุ่นวายมากมายในเมืองราชวงศ์และสงครามชี้ชะตากับจอมยุทธ์ปีศาจใกล้ที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่นาน ในฐานะนายน้อยของตระกูลหลาน เขาจึงต้องประจำอยู่ที่ตระกูลหลานในช่วงนี้
เหมียวเจินเจินก็ตัดสินใจอยู่กับหลานเผิงที่เมืองราชวงศ์และไม่รีบร้อนเดินทางกลับนิกายกระบี่สายฟ้า ยิ่งไปกว่านั้น นางและหลานเผิงก็เริ่มแสดงความรักต่อกันอย่างชัดเจนแล้ว เกรงว่าหลังจากสงครามชี้ชะตาครานี้ ทั้งสองอาจจะตบแต่งกลายเป็นสามีภรรยาก็เป็นได้
ทุกคนในตระกูลราชวงศ์ก็ไม่เต็มใจที่จะพลัดพรากจากกันเล็กน้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือหลงเฟยเอ๋อร์ หากมิใช่เพราะตอนนี้เวลาไม่เป็นใจ นางคงเลือกที่จะเดินทางไปยังนิกายกระบี่สายฟ้ากับฉินอวี้โม่อย่างแน่นอน
การเดินทางของฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ดำเนินไปอย่างราบรื่นและทุกคนกลับมาถึงนิกายกระบี่สายฟ้าได้อย่างปลอดภัย
ณ นิกายกระบี่สายฟ้า ฉินเทียนก็ออกจากสภาวะการเก็บตัวแล้ว ทันทีที่ทราบข่าวว่าฉินอวี้โม่และคณะกลับมาถึงนิกาย เขาและฉินอี้เฟยก็ออกมารอต้อนรับที่หน้าประตูด้วยความกระตือรือร้น
หลังจากเก็บตัวบ่มเพาะวิชาเป็นเวลานาน ความแข็งแกร่งของฉินเทียนก็พัฒนาขึ้นมากและในปัจจุบันนี้ต่อให้ต้องประจันหน้ากับจ้าวนิกายแห่งนิกายกระบี่สายฟ้า เขาก็ยังมีโอกาสเอาชนะได้ถึงสี่ในสิบส่วน
เหลยเจี้ยนเชิงไม่รู้สึกแปลกใจในการพัฒนาของฉินเทียน ทว่าเขาก็อดเสียดายไม่ได้ หากฉินเทียนอยู่ในดินแดนมหาเทพมาตั้งแต่ต้น เกรงว่าแม้แต่จ้าวสำนักเมฆาครามซึ่งเป็นขุมกำลังอันดับหนึ่งในสามสำนักและเก้านิกายก็อาจจะมิใช่คู่มือของฉินเทียนด้วยซ้ำ
“ท่านตา~”
ทันทีที่เสี่ยวอ้ายโม่ซึ่งอยู่ในอ้อมแขนของหานโม่ฉือมองเห็นฉินเทียน ร่างเล็กของนางก็กระโดดลงพื้นและวิ่งตรงเข้าไปหา ‘ท่านตา’ อย่างรวดเร็ว
ฉินเทียนผายมือเพื่อรับเด็กหญิงร่างน้อยที่วิ่งปรี่เข้ามาหาตนทันทีและมองหลานสาวด้วยแววตาเอาอกเอาใจ
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่ได้พบกันนาน ดูเหมือนว่าเสี่ยวอ้ายโม่ของตาจะโตเป็นสาวแล้ว”
ฉินเทียนได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้จากฉินอี้เฟยแล้วและทราบว่าเสี่ยวอ้ายฉือหายตัวไปซึ่งอาจจะเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดโดยโชคชะตา ถึงแม้ว่าเขาก็กังวลใจอยู่เล็กน้อย ฉินเทียนก็ควบคุมความรู้สึกนั้นไว้ได้
เขาทราบดีว่าสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการจัดการกับจอมยุทธ์ปีศาจ เพราะเหตุนั้นเขาจึงไม่กังวลเกี่ยวกับเสี่ยวอ้ายฉือมากจนเกินไป
“ท่านตา ข้าคิดถึงท่านตามาก ๆ เลยเจ้าค่ะ เสี่ยวอ้ายฉือก็คิดถึงท่านเช่นกัน อีกไม่นานเราจะได้พบเสี่ยวอ้ายฉืออีกครั้ง”
เสี่ยวอ้ายโม่พยายามดิ้นออกจากอ้อมแขนของฉินเทียนและกล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้าง
จากนั้นนางก็หันไปมองเหลยเจี้ยนเชิงผู้ซึ่งยืนอยู่ด้านข้างฉินเทียนและกล่าวอย่างฉะฉาน “ท่านตาคนนี้คงจะเป็นผู้ที่ช่วยชีวิตท่านตาฉินเทียนไว้ ท่านตาเหลยเจี้ยนเชิง—จ้าวนิกายแห่งนิกายกระบี่สายฟ้า”
เด็กสาวร่างน้อยโค้งคำนับเหลยเจี้ยนเชิงและกล่าวอย่างจริงใจ “ท่านตาเหลย ขอบคุณที่ช่วยชีวิตท่านตาของข้าก่อนหน้านี้เจ้าค่ะ อีกทั้งยังให้ที่พักพิงแก่ท่านพ่อและท่านแม่ของข้าซึ่งเป็นเหมือนการมีบ้านที่อบอุ่นในดินแดนมหาเทพ”
เสี่ยวอ้ายโม่กล่าวขอบคุณอย่างจริงจังจนดูราวกับเป็นผู้ใหญ่ในร่างเล็ก ๆ ซึ่งทำให้เหลยเจี้ยนเชิงอดไม่ไหวและอุ้มนางด้วยความเอ็นดู
“ฮ่า ๆ ๆ ช่างเป็นเด็กที่ไหวพริบดียิ่งนัก อย่างไรก็ตาม เจ้าไม่ต้องเกรงใจนิกายกระบี่สายฟ้าของข้าเลย เสี่ยวอ้ายโม่คิดเสียว่าข้าเป็นตาของเจ้าเถอะและนิกายกระบี่สายฟ้าแห่งนี้ก็ถือเป็นบ้านของเจ้าเช่นกัน ในภายภาคหน้า เจ้ามาที่นี่ได้ตามต้องการและเจ้าจะเป็นคุณหนูใหญ่ของนิกายเรา”
เขาเคยได้ยินฉินเทียนกล่าวถึงหลานทั้งสองมาก่อนแล้วและสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับทั้งสองอย่างมาก เสี่ยวอ้ายโม่ผู้ชาญฉลาดมีไหวพริบตรงหน้าทำให้เหลยเจี้ยนเชิงรู้สึกถูกชะตาอย่างที่สุด
เหลยเจี้ยนเชิงไม่มีครอบครัวและนิกายกระบี่สายฟ้าก็ไม่เคยมีทายาทผู้สืบทอด เดิมทีเขาตั้งใจจะหาศิษย์ที่มีพรสวรรค์โดดเด่นสักคนในนิกายเพื่อรับช่วงต่อ ทว่าตอนนี้เขาเปลี่ยนความตั้งใจนั้นแล้ว
“เสี่ยวอวี้โม่ ข้าอยากจะเป็นตาอีกคนของเสี่ยวอ้ายโม่ ไม่ทราบว่ามันจะเป็นไปได้รึไม่ ?”
เขาหันไปมองฉินอวี้โม่และเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงใจ
“ท่านแม่ ข้าก็ชอบท่านตาเหลยมากเลยเจ้าค่ะ”
เสี่ยวอ้ายโม่ทราบดีว่าบิดามารดาเคารพในการตัดสินใจของพวกตนและรีบกล่าวแสดงความคิดออกไปโดยตรง
“ท่านตาเหลย ท่านอยากเป็นท่านตาของข้าหรือท่านตาของเสี่ยวอ้ายฉือล่ะเจ้าคะ ?”
นางเอ่ยถามอีกครั้งพร้อมรอยยิ้ม
“เสี่ยวอ้ายโม่อยากให้ข้าเป็นตาของเจ้าหรือตาของเสี่ยวอ้ายฉือล่ะ ?”
เด็กสาวที่น่ารักน่าชังตรงหน้าทำให้เหลยเจี้ยนเชิงไม่อาจละสายตาไปได้เลย เขาอดยื่นมือออกไปบีบแก้มนุ่ม ๆ บนใบหน้าเล็กไม่ได้และคลี่ยิ้มกว้างอย่างไม่อาจปิดบัง
“เอาล่ะ แม้เสี่ยวอ้ายฉือต้องการจะเป็นพี่ชาย ท่านแม่ก็กำชับกับข้าเสมอว่าพี่สาวต้องดูแลน้องชายให้ดี เพราะฉะนั้นท่านตาเหลยควรจะได้เป็นท่านตาของเราทั้งสองคนเจ้าค่ะ”
เสี่ยวอ้ายโม่ก็หยุดคิดไปชั่วครู่หนึ่งและกล่าววาจาที่ทำให้ทุกคนอดหัวเราะด้วยความเอ็นดูไม่ได้
“ตกลง ตกลง ! ถ้าเช่นนั้นต่อไปข้าจะมีหลานถึงสองคน นับจากนี้ไป นิกายกระบี่สายฟ้าจะอยู่ในมือของเสี่ยวอ้ายโม่และเสี่ยวอ้ายฉือ”
เหลยเจี้ยนเชิงรู้สึกสบายใจอย่างยิ่งทว่าสงสัยใคร่รู้ยิ่งนักว่าเสี่ยวอ้ายฉือที่เขายังไม่ได้พบหน้าจะเป็นเด็กอย่างไร
เสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่เป็นฝาแฝดชายหญิงและทั้งสองคงจะเป็นเด็กที่น่ารักน่าเอ็นดูไม่ต่างกัน
“ท่านตาเหลย เข้าไปข้างในกันก่อนเถอะเจ้าค่ะ ข้าหิวมากแล้ว”
เสี่ยวอ้ายโม่กระโดดลงจากอ้อมแขนของเหลยเจี้ยนเชิงและวิ่งเข้าไปด้านในนิกายกระบี่สายฟ้า แน่นอนว่าทุกคนเดินตามไปอย่างรวดเร็วและรอยยิ้มกว้างประดับใบหน้าบ่งบอกถึงความสุขและความสบายใจ…
ในเวลาเดียวกันนั้น ในอีกฟากหนึ่ง ณ คฤหาสน์ลึกลับในม่านหมอก เสี่ยวอ้ายฉือกำลังอ่านตำราอยู่ภายในห้องของคฤหาสน์หลังนี้
“เสี่ยวอ้ายฉือ ย่าปรุงอาหารอร่อย ๆ มาให้เจ้า มาชิมดูเถอะ”
น้ำเสียงอ่อนโยนดังขึ้น นางคือเจ้าของคฤหาสน์ผู้เป็นสตรีวัยกลางคนที่งดงามใจดีนั่นเอง
.
.