ณ ทางเข้าของสมรภูมิรบโบราณ ฉินอวี้โม่และคณะหยุดยืนอยู่ตรงหน้านี้
ข่ายอาคมหลากหลายชนิดที่ทางเข้าของสมรภูมิรบโบราณคือสิ่งที่ฉินอวี้โม่จัดวางไว้ด้วยตนเอง นางจึงทราบเป็นอย่างดีว่าจะทำลายพวกมันอย่างไร อึดใจต่อมา นางก็ไม่รอช้าและก้าวตรงเข้าไปทำลายข่ายอาคมหลายชั้นก่อนเผยให้เห็นม่านป้องกันที่สูญเสียพลังไปแล้ว
“ที่นี่คือสมรภูมิรบโบราณรึ ?”
ทันทีที่ภาพตรงหน้าปรากฏและเห็นเพียงความมืดมิด หลงเพ่ยเอ๋อร์ก็ขมวดคิ้วมุ่นและเอ่ยถามออกไป
“ถูกต้อง เพียงแต่มันแตกต่างไปจากที่เราเคยเห็น”
ฉินอวี้โม่กล่าวตอบพลางพยักศีรษะเบา ๆ สมรภูมิรบโบราณในปัจจุบันแตกต่างไปจากสิ่งที่พวกนางพบเห็นก่อนหน้านี้มากนัก นับตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกนางมาที่นี่ พวกนางก็สามารถมองผ่านจากม่านป้องกันและมองเห็นซากศพมากมายเกลื่อนกระจายทั่วบริเวณ ทั้งซากศพของอสูรมายาและมนุษย์ผู้เก่งกาจล้วนกระจายอยู่ทั่ว ในครานั้น แม้มีร่องรอยของพลังแห่งความตายในอากาศ มันก็ไม่หนาแน่นมากนัก
ทว่าสมรภูมิรบโบราณในตอนนี้กลับปกคลุมไปด้วยพลังแห่งความตาย เพียงยืนข้างนอก พวกนางก็สัมผัสถึงมันได้อย่างชัดเจน
ภาพของพื้นที่โล่งกว้างที่เต็มไปด้วยซากศพก็ได้หายไปแล้วเช่นกันโดยไม่อาจทราบได้ว่าพวกมันสลายกลายเป็นเถ้าถ่านหรือถูกนำออกไปโดยพลังบางอย่าง ท้องฟ้าเบื้องบนในตอนนี้ก็เป็นสีเทาหม่นและเต็มไปด้วยกลุ่มเมฆทึบซึ่งทำให้ทุกคนรู้สึกอึดอัดและหวาดหวั่นใจได้ง่าย ๆ
“คนของจอมยุทธ์ปีศาจมาที่นี่จริง ๆ”
ทันทีที่ก้าวเข้าไปในสมรภูมิรบโบราณ ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยและมันคือกลิ่นอายของจอมยุทธ์ปีศาจนั่นเอง
“ทุกคนระวังตัวด้วยล่ะ ข้าสัมผัสได้ว่ามีตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวบางอย่างอยู่ภายในสมรภูมิรบโบราณแห่งนี้และแม้แต่ข้าเองก็ยังรับมือกับมันไม่ได้”
ฟู่ไห่กล่าวเตือนทุกคนด้วยน้ำเสียงจริงจัง เพียงก้าวเข้าไปในบริเวณของสมรภูมิรบโบราณ เขาก็รับรู้ถึงวิกฤตที่ซ่อนอยู่ซึ่งแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังต้องหวาดหวั่น ในสมรภูมิรบโบราณแห่งนี้น่าจะมีตัวตนที่ทรงพลังบางอย่างและมันมีพลังที่ทำให้หัวใจของเขาสั่นระรัวขึ้นมาได้ สมาชิกของจอมยุทธ์ปีศาจมาที่นี่จริงและเกรงว่าผู้ที่มาในครานี้จะไม่ธรรมดาแม้แต่น้อย
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ/ขอรับ”
ทุกคนพยักศีรษะแสดงความเข้าใจก่อนก้าวเข้าไปในสมรภูมิรบโบราณด้วยความระมัดระวังและไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็เดินอยู่ในแถวหน้าโดยที่มีอวิ๋นซื่อเทียนตามไปอย่างใกล้ชิด
แม้ยังไม่ทราบแน่ชัดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในสมรภูมิรบโบราณ ตัวแทนที่เข้ามาสำรวจในครานี้ก็มีจำนวนไม่มากจนเกินไปและทุกคนล้วนมีความแข็งแกร่งเป็นอันดับต้น ๆ หากเผชิญกับภยันตรายใด มั่นใจได้ว่าพวกนางจะสามารถเอาตัวรอดกลับไปได้อย่างปลอดภัย
เมื่อเดินเข้าไปตลอดทาง พวกนางก็พบว่าสมรภูมิรบโบราณแห่งนี้เป็นมิติพิเศษแห่งหนึ่งซึ่งโดยรวมแล้วไม่แตกต่างไปจากโลกภายนอกมากนัก มันมีทั้งภูเขา แม่น้ำลำธาร ป่าไม้และหุบเขาปรากฏให้เห็น
อาณาเขตทั้งหมดของสมรภูมิรบโบราณกว้างขวางและมีขนาดใหญ่กว่าเมืองใด ๆ ในโลกภายนอกถึงหลายเท่าตัว นอกจากนี้ยังมีเศษแก้วชิ้นเล็กใหญ่เกลื่อนกลาดทั่วพื้นดินซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าจุดที่ฉินอวี้โม่และทุกคนยืนอยู่ในตอนนี้เคยเป็นพระราชวังมาก่อน
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสงครามครั้งประวัติศาสตร์ที่อุบัติขึ้น พระราชวังดังกล่าวจึงถูกทำลายและหายสาบสูญไปตามร่องรอยของกาลเวลา
“ที่มันโครงกระดูกของอสูรอะไรกัน ?”
ระหว่างก้าวเดิน เหมียวเจินเจินก็เตะบางอย่างเข้าโดยบังเอิญและเมื่อก้มลงมองดู นางก็พบว่ามันเป็นโครงกระดูกของอสูรชนิดหนึ่ง มันมีลักษณะเหมือนกระดูกขาทว่ามีความยาวมากถึงหนึ่งจั้งครึ่งและกว้างเกือบห้าฉื่อ
*ยาวเกือบ 5 เมตร, หนาครึ่งเมตร
เพียงเท่านี้ก็พอจะจินตนาการได้แล้วว่าขนาดที่แท้จริงของอสูรดังกล่าวจะมหึมาเพียงใด ขาข้างเดียวของมันก็ยาวกว่าความสูงของร่างมนุษย์ทั่วไปถึงสองเท่า
“ในยุคโบราณมีอสูรมายาที่ทรงพลังอยู่เป็นจำนวนมาก ทว่าหลังจากสงครามครั้งใหญ่ พวกมันก็ล้มตายไปทั้งหมดและไม่มีร่องรอยหลงเหลือในดินแดนนี้อีกเลย เจ้าของกระดูกนี้ก็อาจจะเป็นหนึ่งในนั้น ส่วนมันจะเป็นอสูรชนิดใดนั้น ข้าก็ไม่สามารถระบุได้จากกระดูกขาเพียงชิ้นเดียว อย่างไรก็ตาม สมรภูมิรบโบราณน่าจะมีซากศพของอสูรทรงพลังอยู่เป็นจำนวนมาก หากจอมยุทธ์ปีศาจมีวิธีฟื้นคืนชีพพวกมันจริง เราก็ต้องระวังตัวยิ่งกว่าเดิม อสูรที่ทรงพลังพวกนั้น…ต่อให้มีพลังเหลือเพียงหนึ่งในสิบส่วน พวกมันก็ยังมิใช่ตัวตนที่พวกเราจะรับมือได้”
ฟู่ไห่กล่าวอธิบายกับทุกคนว่าอสูรมายาในยุคโบราณทรงพลังกว่าอสูรในยุคปัจจุบันมากนักและมีหลายชนิดที่ทรงพลังเกินกว่าจินตนาการของจอมยุทธ์ในยุคนี้ หากจอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้าของดินแดนมหาเทพในยุคปัจจุบันนี้ประจันหน้ากับอสูรจากยุคโบราณเหล่านั้น โอกาสเอาชนะของพวกเขาก็มีไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนด้วยซ้ำ
ทุกคนเดินต่อไปอย่างระมัดระวังและไม่ใช้ความเร็วที่มากจนเกินไป นอกจากนี้ ฉินอวี้โม่ก็ปล่อยให้พวกอสูรมายาออกไปเพื่อสำรวจสถานการณ์โดยรอบและหาคำตอบให้แน่ชัดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
บรรดาอสูรเหล่านี้ที่เก็บตัวอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวมานาน ในที่สุดพวกมันมีโอกาสได้ออกมาสู่โลกภายนอก แน่นอนว่านั่นทำให้พวกมันตื่นเต้นดีใจอย่างยิ่ง พวกมันไม่รอช้าและแบ่งกลุ่มเป็นกลุ่มละสามถึงห้าตัวก่อนแยกย้ายกันไปในแต่ละทิศทาง
“พวกเราก็แยกย้ายกันไปสำรวจเถอะ”
แม้การเดินสำรวจด้วยกันทั้งหมดจะปลอดภัยมากกว่า ทว่าสมรภูมิรบโบราณแห่งนี้ก็กว้างใหญ่จนเกินไปและไม่มีทางทราบได้เลยว่าเมื่อใดจะพบสมาชิกของจอมยุทธ์ปีศาจสักคน ทว่าหากแบ่งกลุ่มกันไปคนละทิศทาง ความเร็วในการสำรวจของพวกเขาก็จะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
“เอาล่ะ อวี้โม่ โม่ฉือ ซื่อเทียนและเซิ่งเซียว พวกเจ้าทั้งสี่จับกลุ่มรวมกัน ส่วนคนที่เหลือจับกลุ่มเป็นหกคน เราจะแยกย้ายกันไปสำรวจหาจอมยุทธ์ปีศาจเหล่านั้น”
ฟู่ไห่ทำการแบ่งกลุ่มอย่างรวดเร็ว นอกเหนือจากคณะสหายสี่คนของฉินอวี้โม่ คนอื่น ๆจะอยู่ในกลุ่มหกคน
เนื่องจากยังไม่ทราบว่าจอมยุทธ์ปีศาจส่งคนมาที่นี่มากเท่าใดและไม่ทราบว่าในเวลานี้ซากศพของอสูรทรงพลังในสมรภูมิรบโบราณถูกฟื้นคืนชีพขึ้นมามากเพียงใด การแบ่งกลุ่มยิบย่อยมากเกินไปจึงมิใช่เรื่องที่ดีและมีแต่จะทำให้ตกเป็นรองเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนของจอมยุทธ์ปีศาจ ทว่าสำหรับกลุ่มหกคน ต่อให้จะจัดการไม่ได้ พวกเขาก็สามารถถ่วงเวลาได้มากพอให้กลุ่มอื่นเข้าไปช่วยเหลือ
หลังจากแบ่งกลุ่มเสร็จสิ้น ทุกคนก็ไม่รอช้าและมุ่งหน้าไปยังคนละทิศทางทันที
คณะสี่คนของฉินอวี้โม่ก็แผ่พลังวิญญาณออกไปสำรวจเล็กน้อยก่อนมุ่งหน้าไปยังเขตรอบนอกของสมรภูมิรบโบราณ
จุดที่จอมยุทธ์ปีศาจควรจะรวมตัวกันอยู่มากที่สุดก็คือเขตรอบนอกของสมรภูมิรบ ทว่าในจุดศูนย์กลางกลางของสมรภูมิรบโบราณ มันเป็นจุดที่เกิดการต่อสู้ที่ดุเดือดที่สุดในอดีตและแน่นอนว่ามันจะมีซากศพของทั้งจอมยุทธ์ผู้แข็งแกร่งและอสูรทรงพลังอยู่มากที่สุด
“ดูเหมือนว่าจอมยุทธ์ปีศาจจะเข้ามาที่นี่ได้นานพอสมควรแล้ว”
ซากศพที่เคยเกลื่อนกลาดไปทั่วบริเวณได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้วและคาดการณ์ได้ว่าจอมยุทธ์ปีศาจคงจะเก็บรวบรวมซากศพเหล่านั้นไว้ในที่ใดที่หนึ่ง อย่างไรก็ตาม แผนการของพวกเขาน่าจะยังไม่สำเร็จผล มิเช่นนั้น ด้วยเวลาที่ล่วงเลยมานานเช่นนี้ ฉินอวี้โม่และคณะก็คงจะประจันหน้ากับผีดิบที่ถูกฟื้นคืนชีพมาบ้างแล้ว
“จอมยุทธ์ปีศาจมีวิธีการที่แปลกประหลาดมากมายจริง ๆ ไม่แปลกใจเลยที่ในตอนแรกพวกเขาจะต่อกรกับจอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้ามากมายของดินแดนมหาเทพได้และยังกลับมาประกาศศักดาได้อีกครั้ง”
อวิ๋นซื่อเทียนกล่าวพลางถอนหายใจ แม้จอมยุทธ์ปีศาจจะเป็นศัตรูตัวฉกาจของพวกนาง พวกนางก็ไม่อาจปฏิเสธความเก่งกาจทรงพลังของคนเหล่านั้นได้เลย
ต่อให้จะใช้วิธีการที่ชั่วร้ายและสกปรกเพียงใด จอมยุทธ์ปีศาจก็ถือว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเพียงยิ้มบาง ๆ หากมิใช่เพราะจอมยุทธ์ปีศาจมีวิธีการมากมาย การจัดการกับพวกเขาคงไม่ยากเช่นทุกวันนี้
ขณะเดินต่อไปยังจุดหมายปลายทาง เวลาครึ่งวันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ท้องฟ้าสีเทาเริ่มมืดสลัวลงเรื่อย ๆ และคณะของคนทั้งสี่ก็ยังคงไม่เผชิญหน้ากับอันตรายใดเช่นเดิม ราวกับสมรภูมิรบโบราณแห่งนี้เป็นดินแดนแห่งความตายที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใดนอกจากพวกนาง
เนื่องจากไม่พบซากศพหรือโครงกระดูกใดระหว่างทาง พวกนางจึงมั่นใจได้ว่าพวกมันน่าจะถูกคนของจอมยุทธ์ปีศาจเก็บรวบรวมไปทั้งหมดแล้วและยังไม่ทราบว่าถูกนำไปที่ใด
ทันใดนั้น หมอกหนาทึบก็แผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณซึ่งบดบังวิสัยทัศน์ของทั้งสี่ ภายในม่านหมอกก็มีกลิ่นอายของความเน่าเปื่อยเจือปนมาซึ่งทำให้ฉินอวี้โม่และอีกสามคนกระอักกระอ่วนอย่างยิ่ง
“คงจะอยู่อีกไม่ไกลแล้ว”
กลิ่นคละคลุ้งดังกล่าวทำให้พวกนางมั่นใจได้ว่าตอนนี้พวกตนอยู่ไม่ไกลไปจากจุดที่สมาชิกของจอมยุทธ์ปีศาจกำลังรวมตัวอยู่
“ระวังตัวด้วย”
เซิ่งเซียวกล่าวเตือนพร้อมคว้ามือของอวิ๋นซื่อเทียนผู้ซึ่งเดินอยู่ด้านหน้าด้วยสีหน้าระแวดระวัง
อวิ๋นซื่อเทียนก็กำลังจะถลึงตาใส่เขา ทว่าจู่ ๆ แรงกดดันที่ทรงพลังบางอย่างก็กดข่มทั้งสองไว้เสียก่อน
ทันใดนั้น ร่างของสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาที่บดบังทั่วท้องฟ้าก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าคนทั้งสี่