“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ เจ้าเพิ่งมาที่โรงเรียนแท้ ๆ แล้วเจ้าขึ้นไปอยู่ในอันดับหนึ่งของทำเนียบดาวรุ่งได้อย่างไรกัน ?”
ระหว่างที่กำลังทานอาหารอยู่ภายในโรงอาหารของโรงเรียนชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ท่าทางภูมิฐานและเป็นมิตรก้าวตรงเข้ามายังบริเวณที่ทุกคนนั่งอยู่แล้วเอ่ยถามขึ้น เมื่อได้มองใกล้ ๆ แล้ว ทั้งลักษณะท่าทางและหน้าตาของคนผู้นี้มีส่วนคล้ายฉินอี้เฟยอยู่บ้างแต่ทว่าก็ดูอ่อนเยาว์กว่า เขาก็คือพี่ชายของฉินอี้เพ่ย ลูกพี่ลูกน้องอีกคนของฉินอวี้โม่ผู้มีนามว่า–ฉินอี้เฉียง
เวลานี้คุณชายรองตระกูลฉินกำลังมองคุณหนูสี่ของตระกูลด้วยสายตาที่เป็นกังวล
ฉินอี้เฉียงมายังโรงอาหารตั้งแต่ช่วงสายเพื่อรอพบน้องสาวของเขา ทว่าเมื่อรอจนเกือบจะพ้นเวลาอาหาร เขาก็ยังไม่เห็นเงาฉินอี้เพ่ย ยิ่งไปกว่านั้นเขายังได้ยินเสียงประกาศที่น่าตกใจเกี่ยวกับสมาชิกอีกคนของตระกูลฉิน–ฉินอวี้โม่ ลูกพี่ลูกน้องสาวผู้พลัดพรากของเขา เนื้อความในประกาศนั้นทำให้เขาทั้งตื่นตะลึงและตื่นตระหนก ซึ่งตั้งแต่นั้นมาจนถึงตอนนี้คุณชายตระกูลฉินก็ยังไม่หายจากอาการวิตกกังวล
“พี่รอง ท่านไม่ต้องร้อนใจไป เสี่ยวโม่เอ๋อร์บอกว่านางไม่กลัวจีชางและจีหย่ง ฉะนั้นพวกเราก็ไม่ต้องกังวล”
เมื่อเห็นท่าทางที่เป็นกังวลของฉินอี้เฉียง ฉินอี้เพ่ยก็กล่าวคำปลอบโยน
ถึงแม้ตัวคุณหนูสามตระกูลฉินจะกล่าวออกไปว่าน้องสาวของนางไม่กลัวจีหย่ง ทว่าส่วนลึกในใจของนางก็ยังอดเป็นกังวลไม่ได้อยู่ดี แต่ในเมื่อฉินอวี้โม่คิดและตัดสินใจอย่างที่บอก พวกนางก็ควรจะให้การสนับสนุนอย่างไร้เงื่อนไข
เมื่อฉินอี้เฉียงได้ฟังสิ่งที่ฉินอี้เพ่ยกล่าวเขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะสงบสติอารมณ์ของตัวเองลง “ถ้าเช่นนั้นก็ดี ในเมื่อเสี่ยวโม่เอ๋อร์แข็งแกร่ง พวกเราก็ควรจะยินดีกับความสำเร็จของเจ้า แต่ในฐานะพี่ชายถ้าจีชางและจีหย่งมาหาเรื่องเจ้า จำไว้ให้เรียกหาข้า พี่ชายผู้นี้จะเข้าไปขวางมันให้เอง”
ฉินอี้โม่ยิ้ม แม้ว่าจะเป็นครั้งแรกที่ได้พบกัน ทว่านางก็ยังสัมผัสได้ถึงความรักความห่วงใยของฉินอี้เฉียงที่มีต่อนาง
“พี่อี้เฉียงไม่ต้องกังวลไปหรอก”
เยว่ชิงเฉิงเอ่ยปลอบบุรุษรุ่นพี่ด้วยรอยยิ้มก่อนจะพูดต่อ “อย่าเพิ่งกล่าวถึงเรื่องความแข็งแกร่งของอวี้โม่เลย เราอย่าลืมสิว่านางมีไพ่เด็ดอยู่”
เมื่อฉินอี้เฉียงและฉินอี้เพ่ยได้ยิน พวกเขาก็หันมองหน้ากันด้วยความงุนงง แต่ไม่นานนักพวกเขาก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้
“ใช่แล้ว เราลืมเรื่องความสัมพันธ์ของเสี่ยวโม่เอ๋อร์และ ‘รุ่นพี่หานโม่ฉือ’ ได้ยังไงกัน ?”
ฉินอวี้โม่ประหลาดใจเล็กน้อย ‘รุ่นพี่หานโม่ฉืออย่างนั้นหรือ ไม่ใช่ว่าหานโม่ฉือจบการศึกษาไปนานแล้วหรอกหรือ ?’
“ใช่ หากลองคิดดี ๆ รุ่นพี่หานโม่ฉือนับเป็นตัวตนระดับตำนานคนหนึ่งของโรงเรียน ไม่มีใครกล้าหือกับเขา ถ้าจีหย่งรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอวี้โม่และรุ่นพี่โม่ฉือ เขาต้องไม่กล้าทำอะไรนางแน่”
เยว่ชิงเฉิงยิ้ม คุณหนูตระกูลช่างหลอมได้จัดการให้คนสืบหาข่าวและหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียนราชสำนักมาไม่น้อยก่อนที่นางจะเข้าสอบ แน่นอนว่าเรื่องที่หานโม่ฉือเป็นถึงนักเรียนระดับตำนานของโรงเรียนคุณหนูผู้รู้รอบย่อมไม่มีทางพลาดได้
“ใช่แม้ว่าจีหย่งจะอยู่ในอันดับที่สามในทำเนียบนภา แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหานโม่ฉือ เขาก็ไม่ต่างจากเด็กอมมือ หากว่าเขายังกล้าหาเรื่องเสี่ยวโม่เอ๋อร์ รุ่นพี่หานโม่ฉือก็คงไม่ปล่อยเขาไว้แน่”
ฉินอี้เฉียงพยักหน้า เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกโล่งใจขึ้นไม่น้อย
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ ตอนนี้เจ้าแข็งแกร่งกว่าข้าแล้ว ดูเหมือนว่าต่อไปในข้าคงต้องฝึกฝนอย่างหนักเพื่อให้ปกป้องเจ้าในฐานะพี่สาวได้”
ฉินอี้เพ่ยมองดูฉินอวี้โม่แล้วเอ่ยขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ แน่นอนว่าด้วยความเป็นพี่นางย่อมต้องอยากปกป้องผู้เป็นน้องสาวให้ได้ ทว่าฉินอี้เพ่ยกลับพบว่าตัวเองนั้นยังอ่อนแอกว่าผู้ที่นางต้องการจะปกป้องเสียอีก นี่ทำให้นางรู้สึกละอายที่จะใช้คำว่าปกป้องกับฉินอวี้โม่ในตอนนี้
ฉินอวี้โม่ยิ้มรับอย่างขอบคุณแต่ไม่ได้กล่าวสิ่งใด เยว่ชิงเฉิงและสหายคนอื่น ๆ เองต่างก็ยิ้มให้กันอย่างโล่งอก
หากว่าฉินอี้เพ่ยและฉินอี้เฉียงทราบว่าน้องสาวคนงามของพวกเขาเพิ่งจะสังหารยอดฝีมือมายาบรรพชนหกดาราไปโดยที่ตัวนางเองยังอยู่เพียงขอบเขตนภมายาเก้าดาราเท่านั้น ความกังวลใจของคุณหนูคุณชายตระกูลฉินทั้งสองก็คงจะหายวับไปราวปลิดทิ้ง อย่างไรก็ตามสหายอวี้โม่ทั้งหลายก็ยังเลือกที่จะไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้
ทุกคนทานอาหารกันอย่างมีความสุขก่อนจะแยกย้ายกันกลับไปที่หอพัก พวกเขาตัดสินใจที่จะรีบเข้าไปพักผ่อนเพราะสหายทั้งหมดตกลงกันว่าจะใช้เวลาในวันพรุ่งนี้สำหรับการสมัครเข้าร่วมชั้นเรียนต่าง ๆ
ขณะที่กำลังก้าวเท้าเข้ามายังเขตหอพัก ฉินอวี้โม่และเพื่อนสาวคนอื่น ๆ ก็ได้ยินเสียงเรียกดังขึ้นจากทางด้านหน้า
“ฉินอวี้โม่ ออกมาเดี๋ยวนี้ ! ลูกพี่จีชางอยู่ที่นี่แล้ว เก่งจริงก็ออกมาเจอกันหน่อย อย่าเอาแต่มุดหัวอยู่ในหอ เจ้าจะต้องชดใช้โทษฐานชิงอันดับหนึ่งในทำเนียบดาวรุ่งไป”
คนผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ข้างกายจีชางส่งเสียงตะโกนอย่างยโสโอหัง คำข่มขู่ของเขาได้ยินไปทั่วบริเวณไม่เว้นแม้แต่ภายในหอพักบุรุษที่อยู่ข้าง ๆ
“ใช่ ออกมาเดี๋ยวนี้ พวกเราอยากจะเห็นว่าเจ้าหน้าตาเป็นยังไง เหตุใดถึงได้กล้าชิงอันดับหนึ่งของพี่จีชางไป !”
พวกพ้องของจีชางช่วยกันตะโกนสนับสนุน ในขณะที่ลูกพี่ของพวกเขายังคงไม่กล่าวสิ่งใดออกมา ทว่าใบหน้าของผู้นำกลุ่มผู้นี้ก็ยับยุ่งขุ่นเคืองอย่างหนักหน่วง
เมื่อเห็นความวุ่นวายบริเวณหน้าหอพักสตรีของนักเรียนใหม่ เหล่านักเรียนที่กำลังจะเข้าหอหรือออกจากหอต่างก็หยุดชะงัก ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปใกล้หรือเดินผ่าน ทุกคนได้แต่มองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยสีหน้าเป็นกังวล เพราะตอนนี้จีชางพาลูกน้องมาด้วยมากมายและพวกเขาก็เกรงว่าอาจจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น
กฎของโรงเรียนราชสำนักนั้นเข้มงวดมาก นักเรียนชายไม่สามารถเข้าไปในหอพักของนักเรียนหญิงได้ หากผู้ใดฝ่าฝืนกฎนี้ พวกเขาจะถูกไล่ออกทันทีโดยไม่มีการตักเตือนหรือให้ทำทัณฑ์บนเอาไว้
ดังนั้นแม้ว่าจีชางจะโอหังเพียงใด เขาก็ยังทำได้เพียงตะโกนอยู่ด้านหน้าและไม่กล้าบุกเข้าไปด้านในหอพักของนักเรียนหญิง
“ลูกพี่ พวกเราตะโกนเรียกกันมานานแล้วนะแต่ฉินอวี้โม่ก็ยังไม่ออกมา หรือว่านางจะไม่ได้อยู่ข้างใน ?”
ในที่สุดก็มีบางคนในกลุ่มเอะใจและเริ่มตั้งข้อสงสัย
“ข้าว่ามีความเป็นไปได้ ดูจากที่นางกล้าแย่งที่หนึ่งของลูกพี่ไป นางจะต้องไม่ใช่สตรีธรรมดาแน่ อีกอย่างจะเข้ามาเรียนในโรงเรียนราชสำนักนางก็ต้องรู้จักท่านอยู่ก่อนแล้วด้วย หากว่านางอยู่ข้างในจริงก็คงจะไม่กลัวหัวหดจนเอาแต่หลบซ่อนอยู่ข้างในนั้นแน่”
เวลานี้สีหน้าของจีชางย่ำแย่ลงทุกขณะเพราะร้องเรียกอย่างไรสตรีผู้นั้นก็ไม่โผล่หัวออกมา ขณะเดียวกันพื้นที่รอบบริเวณก็เริ่มมีนักเรียนมามุ่งดูกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งสายตาของแต่ละคนที่ใช้มองมาก็มีแต่ความดูถูกเหยียดหยาม หากว่าพวกเขายังตะโกนเสียงดังกันต่อไปเช่นนี้ก็จะยิ่งดึงดูดคนให้เข้ามาเพิ่มมากขึ้น
“งั้นก็ช่างเถอะ พวกเราไปกันได้แล้ว นางคงไม่ได้อยู่ที่นี่ ไว้เราค่อยมาวันหลัง”
หลังจากตัดสินใจได้ จีชางก็เปล่งเสียงอย่างเย็นชาและกำลังเตรียมจะพาคนของเขากลับไป
อย่างไรก็ตามในตอนที่พวกเขาเพิ่งจะหันหลังกลับไป พวกเขาก็เห็นร่างบางของสตรีผู้หนึ่งยืนอยู่
“หือ สวย..สวยราวเทพธิดา..สวยมากมาย..สวยอะไรขนาดนี้ !”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ คนของจีชางก็ตกตะลึง พวกเขาแต่ละคนยืนนิ่งมองตาเยิ้ม หลายคนอดกลืนน้ำลายไม่ได้และบางคนก็ถึงกับอุทานออกมาอย่างหลงใหล
“ใช่ สวยจริง ๆ นางไม่ได้ด้อยไปกว่าสตรีที่งามที่สุดในโรงเรียนเลย”
อีกคนกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนจะกล่าวส่งเสริม
“หลีกไปแล้วหุบปาก เรื่องที่นางสวยข้าก็เห็นชัดอยู่แล้ว”
จีชางใช้มือผลักหัวลูกน้องของตนให้พ้นทาง เขารีบปั้นหน้าให้ดูหล่อเหล่าที่สุด ฉีกยิ้มทรงเสน่ห์และตีสีหน้าเป็นสุภาพบุรุษให้มากที่สุดก่อนจะเดินเข้าไปทำความรู้จักกับโฉมนารีผู้งดงามราวเทพเซียน “แม่นางคนงาม ข้าจีชางผู้ที่อยู่ในอันดับที่หนึ่งของทำเนียบดาวรุ่งและยังเป็นน้องชายของพี่จีหย่งผู้แข็งแกร่ง ข้าควรเรียกแม่นางว่าอย่างไร ?”
ฉินอวี้โม่และเหล่าสหายอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขันเมื่อเห็นท่าทางเสแสร้งของจีชาง
อย่างไรก็ตามพวกเขาทุกคนก็พยายามอดกลั้นเอาไว้ไม่ให้หลุดขำออกมา
“จริงหรือ ? เหตุใดเท่าที่ข้าจำได้คนที่อยู่ในอันดับหนึ่งของทำเนียบหน้าใหม่มีนามว่าฉินอวี้โม่ ไม่ใช่จีชางเล่า”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะกล่าววาจาที่ทำให้จีชางต้องชะงักไป
“เรื่องนั้นมันก็มีเหตุผลของมันอยู่ ข้าแค่ไม่อยากจะอยู่อันดับหนึ่งนานเกินไป ในเมื่อนางต้องการข้าก็ยกให้ได้อย่างแน่นอน แต่เป็นเพราะนางมาชิงมันไปจากข้าหน้าตาเฉยโดยไม่แจ้งก่อน นั่นเป็นพฤติกรรมไม่สมควร ดังนั้นนางก็ไม่ควรได้รับการละเว้น”
จีชางกล่าววาจาแสดงความมีน้ำใจอันงดงามและยึดถือในความถูกต้องออกมา ทว่าในสายตาของฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ อีกฝ่ายเพียงแค่เสแสร้งสร้างภาพลักษณ์งดงามเท่านั้น เขายิ้มออกมาก่อนจะกล่าวต่อ “ข้าอยากทราบชื่อของแม่นาง เผื่อว่าในอนาคตแม่นางอยากจะให้ข้าจีชางผู้นี้ช่วยดูแล ?”
“พร๊วด~”
เยว่ชิงเฉิงและคนอื่น ๆ ที่อยู่ด้านหลังฉินอวี้โม่กลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป ได้เห็นสาวงามเข้าหน่อยก็ระริกระรี้เข้ามาเกี้ยวพา แล้วเมื่อครู่ยังบอกอีกว่าจะไม่ละเว้นฉินอวี้โม่ ถ้าเขารู้ว่าสตรีที่เขาหมายตาคือคนเดียวกับฉินอวี้โม่ผู้ที่เขาเคืองแค้นนักหนา บุรุษตัวตลกตรงหน้าจะทำอย่างไร ?
“ฮ่า ๆ เมื่อครู่เหมือนข้าจะได้ยินว่าเจ้ากำลังตามหาข้าอยู่นะ ทำไมตอนนี้กลับทำเป็นไม่รู้จักแล้วมาถามชื่อข้าเช่นนี้ได้ล่ะ ?”
คุณหนูตระกูลฉินยิ้มอ่อนหวาน จีชางผู้นี้ดูอย่างไรก็ไม่ต่างจากเด็กอันธพาล หากไม่ใช่เพราะมีพี่ชายคุ้มหัวอยู่ เขาก็คงจะถูกคนอื่นลงมือสั่งสอนไปนานแล้ว
“หืม ?”
จีชางชะงักงันไปเล็กน้อยก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงคล้ายไม่พอใจ
“นี่แม่นาง ! พวกเรายังไม่รู้จักชื่อแซ่ของเจ้าเลย แล้วพวกเราจะไปตามหาเจ้าได้ยังไง เจ้าบ้าไปแล้วรึ ?”
“เมื่อครู่ข้ายังได้ยินอยู่เลยว่าเจ้ากำลังเรียกฉินอวี้โม่อยู่ หรือว่าหูของข้าจะฝาดไป ?”
ฉินอวี้โม่แสร้งทำเป็นเอามือจับหูและเอ่ยถามสหาย “ชิงเฉิง เมื่อครู่เจ้าได้ยินเหมือนกับข้าไหม ? เหมือนว่าพวกเขาจะเรียกข้า”
เยว่ชิงเฉิงและสหายทั้งหมดพยักหน้า เมื่อพวกเขาเห็นท่าทางของฉินอวี้โม่ในตอนนี้พวกเขาก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ หลังจากนี้คงจะได้ดูชมอะไรสนุก ๆ กันแล้ว
จีชางชะงักงันไปอีกครั้งในทันที สีหน้าของเขาฉายแววฉงนหนักขึ้นเรื่อย ๆ เขาไม่เข้าใจวาจาของโฉมงามตรงหน้าแม้แต่น้อย
ทว่าในตอนนั้นเองลูกน้องที่อยู่ด้านหลังก็เข้ามากระซิบข้างหูเขา “ลูกพี่ นางกำลังบอกท่านว่านางคือฉินอวี้โม่”
ถ้อยคำกระซิบกระซาบของคนผู้นั้นทำให้จีชางได้สติในที่สุด ตอนนี้เขาไม่ได้งุนงงอีกต่อไปแล้ว
“ว่ายังไงนะ เจ้าจะบอกว่าเจ้าคือฉินอวี้โม่อย่างนั้นรึ ?”
จีชางเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความรู้สึกตื่นตะลึง เขาไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินเลยสักนิด
“คนที่แย่งอันดับของเจ้าและถีบเจ้าตกลงไปก็คือข้าเอง มีปัญหาอะไรหรือ ?”
ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยเสียงไม่ดังไม่เบา ทว่ามุมปากของนางก็ไม่สามารถปกปิดรอยยิ้มขบขันเอาไว้ได้
“เจ้าคือฉินอวี้โม่จริง ๆ งั้นสินะ ?”
จีชางก็ยังคงไม่เชื่อว่าสาวงามตรงหน้าเป็นฉินอวี้โม่ ฉินอวี้โม่ผู้แย่งตำแหน่งที่หนึ่งไปจากเขาได้ แม้จะเป็นสตรีแต่ก็ควรจะดูแข็งแกร่งและหยาบกร้านกว่านี้ ทว่าสตรีบอบบางตรงหน้าเขาดูเป็นแค่ลูกคุณหนูผู้ดีที่แสนอ่อนแอเท่านั้น
“เจ้าอยากสนทนากับข้าไม่ใช่หรือ ข้าก็อยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว อยากจะพูดอะไรก็รีบพูดมา”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามออกไป นางเองก็ต้องการจะฟังว่าอีกฝ่ายจะจัดการนางอย่างไร
จีชางชะงักไปเล็กน้อย แววตาเปี่ยมเสน่ห์และกิริยาที่พยายามจะเกี้ยวพาสตรีที่เคยมีก่อนหน้านี้หายไปจนหมดสิ้น แม้ว่านางจะงดงามมากก็ตาม แต่นางก็คือฉินอวี้โม่ ฉินอวี้โม่ที่ชิงอันดับหนึ่งของเขาไปและทำให้เขาเสียผลประโยชน์ไปอย่างมหาศาล ที่สำคัญนางยังกล้ามาล้อเล่นกับเขา ตอนนี้สายตาที่ผู้คนรอบข้างมองมาที่เขาคล้ายกำลังดูการแสดงของตัวตลกอยู่ไม่ผิดเพี้ยน
“เหอะ เจ้าเองสินะ ฉินอวี้โม่”
จีชางเปล่งเสียงออกมาอย่างเย็นชาพลางเชิดหน้ามองนาง วางท่าเย่อหยิ่งราวกับว่าเขาสูงส่งกว่านางมาก
“ฉินอวี้โม่ เจ้าชิงอันดับหนึ่งในทำเนียบหน้าใหม่ของข้าไป ไหนเจ้าลองบอกข้ามาหน่อยว่าข้าควรจะทำอย่างไรกับเจ้า ?”
“ฮ่า ๆ จีชาง ข้าจำได้ว่าอันดับที่หนึ่งของทำเนียบเป็นอันดับของผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด บิดาของเจ้าก็ไม่ใช่ผู้ที่สร้างโรงเรียนนี้ขึ้นมา แล้วเจ้าถือสิทธิ์อะไรมาแสดงความเป็นเจ้าของ เจ้ากำลังเพ้อเจ้ออะไรอยู่ ที่ข้าได้อันดับก็เพราะข้าแข็งแกร่งกว่าเจ้า ข้าไม่ได้แย่งของผู้ใด และอันดับที่หนึ่งก็ไม่ใช่ของเจ้าอีกต่อไปแล้ว !”
ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นมาอย่างไม่ไว้หน้าอีกฝ่าย จีชางผู้นี้เป็นนักเรียนแห่งโรงเรียนราชสำนักอันทรงเกียรติแต่กลับมีนิสัยไม่ต่างจากอันธพาลแม้แต่น้อย นับว่าน่ารังเกียจเกินไปแล้ว
“ถูกต้องแล้ว ไว้ข้าจะไปถามอาจารย์ว่ามีกฎที่บอกว่า ที่หนึ่งเป็นของเจ้าเพียงผู้เดียวห้ามใครแย่งไป อยู่หรือไม่”
เสี่ยวโร่วเอ่ยปากสนับสนุนคุณหนูของนางอย่างไม่เกรงกลัวบุรุษที่ชื่อจีชาง
“เหอะ ข้าไม่อยากจะเสียเวลาเถียงเรื่องเหลวไหลกับพวกเจ้า”
เวลานี้ใบหน้าจีชางเริ่มบิดเบี้ยวจนน่าเกลียดมากขึ้นเรื่อย ๆ
“แต่ข้ากำลังถามเจ้าว่าเจ้าชิงอันดับหนึ่งของข้าไป เจ้าจะชดใช้อย่างไร ?!”
“ฮ่า ๆ เจ้าอยากจะให้ข้าชดใช้ยังไงล่ะ ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มแล้วถามย้อนกลับไปอย่างไม่เกรงกลัว
“ง่ายมาก ขอเพียงเจ้าจ่ายค่าชดเชยเป็นหินมายาเดือนละห้าสิบก้อนให้แก่ข้า ข้าก็จะปล่อยเจ้าไป”
จีชางไตร่ตรองเรื่องนี้เอาไว้ก่อนแล้ว หากว่าฉินอวี้โม่ยอมมอบหินมายาให้เขาเดือนละห้าสิบก้อน เมื่อรวมกับอีกยี่สิบสี่ก้อนที่เขาจะได้รับจากทางโรงเรียน นั่นเท่ากับว่าเขาจะได้หินมายาเดือนละเจ็ดสิบสี่ก้อน และก็หมายความว่าเขาได้กำไรมากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ
“แล้วถ้าข้าไม่ยอมเล่า ?”
ฉินอวี้โม่ถามกลับไปอีกครั้งอย่างไม่ทุกข์ร้อน จีชางผู้นี้ไม่ต่างจากเด็กเอาแต่ใจแม้แต่น้อย
“งั้นข้าก็ต้องทำให้เจ้ารู้ว่าการทำให้ท่านจีชางผู้นี้ขุ่นเคืองจะได้รับผลอย่างไร”
จีชางกล่าวขึ้นด้วยใบหน้าเดือดดาลถึงขีดสุด เขาจ้องมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาข่มขู่ เขาไม่ใช่นักเรียนเข้าใหม่ การฝึกฝนในโรงเรียนราชสำนักทำให้ตัวเขาเองพัฒนาไปไม่น้อย ถึงแม้ว่าจากการจัดอันดับในทำเนียบดาวรุ่งฉินอวี้โม่จะแข็งแกร่งกว่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะด้อยไปกว่านาง ในโรงเรียนราชสำนักแห่งนี้แม้แต่ผู้ที่อยู่ในสามอันดับแรกของทำเนียบพสุธาก็ยังต้องยำเกรงเขา การที่ฉินอวี้โม่ทำเช่นนี้ก็เท่ากับรนหาที่ตาย !