ความแข็งแกร่งของตระกูลราชวงศ์แห่งจักรวรรดิไป๋อวิ๋นในปัจจุบันเรียกได้ว่าแทบจะไร้เทียมทานและไม่มีขุมกำลังใดกล้ามีเรื่องบาดหมางกับพวกเขา
เพราะเหตุนั้น แม้องค์จักรพรรดิฉีเซิ่งจะหาเรื่องเล่นงานตระกูลฉินอย่างเปิดเผยต่อหน้าคนมากมายก็ไม่มีผู้ใดคิดยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ ผู้คนมากมายเพียงล้อมรอบและเฝ้าชมเหตุการณ์อยู่อย่างห่าง ๆ แม้บางคนจะกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของตระกูลฉิน ทว่าพวกเขาก็ทำได้เพียงรับชมเหตุการณ์จากรอบนอกเท่านั้นและไม่กล้าลงมือทำสิ่งใด
เสียงของฉินอวี้โม่ที่ดังมาจากฝูงชนอย่างกะทันหันทำให้รอยยิ้มเย้ยหยันบนใบหน้าของฉีเซิ่งชะงักไปทันที
ประกายความมุ่งร้ายฉายวาบในแววตาของเขาขณะเลื่อนสายตาไปหยุดลงที่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ
“พวกเจ้าเป็นใคร ? คิดจะมีปัญหากับตระกูลราชวงศ์งั้นรึ ?”
เขาเอ่ยถามด้วยสีหน้าเรียบเฉยพร้อมด้วยวาจาที่ยัดเยียดความผิดให้กับคนทั้งสองโดยตรง
“โอ้ เจ้าคิดว่าเจ้าคู่ควรพอรึ !”
ฉินอวี้โม่แสยะยิ้มออกมาและกล่าวต่อ “ตระกูลราชวงศ์ในอดีตเป็นขุมกำลังที่เที่ยงธรรมและตรงไปตรงมามากที่สุดในดินแดน พวกเขาไม่มีทางหาเรื่องเล่นงานผู้อื่นด้วยวิธีการสกปรก ๆ นับประสาอะไรกับการทำสิ่งที่น่ารังเกียจเช่นนี้ ตระกูลราชวงศ์ภายใต้การปกครองของเจ้าในตอนนี้…มันทำให้ชื่อเสียงเกียรติยศของวงศ์ตระกูลเสื่อมเสียโดยแท้ !”
จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยในอดีตเป็นที่ยอมรับของทุกคนไม่ว่าจะเป็นด้านความแข็งแกร่งหรือลักษณะนิสัย ฉีอวี้และฉีฉีเองก็เป็นองค์ชายและองค์หญิงที่ได้รับความเคารพอย่างสูง
คิดไม่ถึงเลยว่าทายาทผู้ครองบัลลังก์ในปัจจุบันอย่างฉีเซิ่งจะเป็นบุคคลที่ชั่วร้ายและไร้ยางอายเช่นนี้
เกรงว่าในตอนแรกเขาคงจะเสแสร้งแสดงละครว่าเป็นคนดีนอบน้อมและหลอกตบตาฉีเยวี่ยนเวยได้สำเร็จจนได้รับช่วงต่อเป็นผู้ครองบัลลังก์ในที่สุด
“เหอะ เจ้ากล้าดีอย่างไรจึงพูดจากับท่านพี่ของข้าเช่นนี้ รนหาที่ตายสิ้นดี !”
ฉีเฉิงแค่นเสียงและกล่าวเสียงดัง การที่มีองค์จักรพรรดิและคนของตระกูลราชวงศ์อยู่ที่นี่ทำให้เขามั่นใจยิ่งกว่าเดิม
“ก้มลงกราบขอโทษท่านพี่ของข้าเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้น…เจ้าจะต้องตายอยู่ที่นี่แน่ !”
เขามองฉินอวี้โม่และหานโม่ฉืออย่างวางท่า หากมิใช่เพราะเขามิอาจสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของคนทั้งสอง เกรงว่าเขาคงจะยโสโอหังยิ่งกว่านี้เสียอีก
“พรืดดด ! ฮ่า ๆ ๆ แน่ใจรึว่าอยากให้พวกข้าขอโทษเขา ?”
ฉินอวี้โม่ถึงกับหัวเราะพรืดอย่างกลั้นไม่อยู่และรู้สึกว่าถึงเวลาแล้วที่จักรวรรดิไป๋อวิ๋นจะเปลี่ยนผู้ปกครองเสียที
“เหอะ ที่นี่คือนครไป๋อวิ๋นและตระกูลราชวงศ์เป็นผู้ตัดสินชี้ชะตาของทุกคน ไม่ว่าพวกเจ้าทั้งสองเป็นใคร ในเมื่อริอาจกล่าววาจาเช่นนี้กับข้าในผืนแผ่นดินของจักรวรรดิไป๋อวิ๋น มันก็เป็นการที่เจ้านำพาความตายมาสู่ตนเอง !”
ฉีเซิ่งแค่นเสียงเย็นชาเช่นกันและรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังท้าทายอำนาจของตน
ในความจริง ภายในดินแดนหวนหลิงมีรูปปั้นของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือที่ถูกสร้างขึ้นมา หากทั้งสองปรากฏตัวด้วยรูปลักษณ์ดั้งเดิม ฉีเซิ่งและทุกคนไม่มีทางกล่าววาจาเช่นนี้กับพวกนางอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือจงใจปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ของพวกตนตั้งแต่ต้นส่งผลให้ไม่มีผู้ใดจดจำได้แม้แต่คนเดียว
“ได้สิ หากต้องการให้ข้าขอโทษ เจ้าก็เอาชนะข้าให้ได้เสียก่อน อยากเห็นนักว่าตระกูลราชวงศ์ของพวกเจ้าจะมีฝีมือสักเพียงใด !”
ฉินอวี้โม่กวักมือท้าทายทุกคนในตระกูลราชวงศ์อย่างเปิดเผย ถึงอย่างไรผู้ที่มีความแข็งแกร่งมากที่สุดในหมู่พวกเขาก็มีพลังไม่เกินกว่าขอบเขตจักรพรรดิทูตสวรรค์ขั้นสูงสุดซึ่งนางสามารถบดขยี้ได้อย่างง่ายดายภายในลมหายใจเดียวและไม่รู้สึกถึงภัยคุกคามแม้แต่น้อย
“ท่านจอมยุทธ์ทั้งสอง ขอบคุณที่แสดงตัวเพื่อสนับสนุนในสิ่งที่ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเรื่องระหว่างตระกูลฉินและตระกูลราชวงศ์ ท่านทั้งสองไม่ควรเข้ามาแทรกแซง”
เมื่อทุกคนในตระกูลฉินเรียกสติจากความประหลาดใจชั่วขณะได้ ฉินชวนก็ก้าวเข้าไปหาฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือพร้อมยกกำปั้นให้กับทั้งสองเนื่องจากไม่ต้องการให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย
“เหอะ ฉีเฉิง ทุกคนเกรงกลัวตระกูลราชวงศ์ของพวกเจ้าก็จริง ทว่ามิใช่พวกเราตระกูลฉิน หากต้องการจะต่อสู้นักก็อย่าเสียเวลาพูดจาไร้สาระอีกเลย”
ฉินขุยกล่าวต่อ เขาเองก็ไม่ต้องการให้ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเข้ามาเกี่ยวข้องเช่นกัน
ในตอนนี้ตระกูลราชวงศ์เป็นตระกูลที่ถือครองอำนาจสูงสุดและไม่มีความจำเป็นที่จอมยุทธ์แปลกหน้าทั้งสองจะต้องพลอยเดือดร้อนไปกับเรื่องของพวกเขา ตระกูลฉินของพวกเขามีกฎเกณฑ์หลักปฏิบัติที่ชัดเจนอยู่แล้วและพวกเขาไม่มีทางลากผู้บริสุทธิ์เข้ามาเกี่ยวข้อง
“เหอะ ไม่ต้องห่วง ตระกูลฉินของพวกเจ้าจะถูกกำจัดไปแน่ ทว่าคนที่ริอาจแส่เข้ามาหาเรื่องและกล่าววาจาดูหมิ่นข้าเช่นนี้ หากคิดจะหนีลอยนวลไปเฉย ๆ ละก็…ฝันไปเถอะ !”
ฉีเฉิงมิใช่คนจิตใจดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เขาเมินเฉยต่อทุกคนในตระกูลฉินและแค่นเสียงเย็นชาก่อนโบกมือเล็กน้อย จากนั้นบุรุษคนหนึ่งที่มีพลังในขอบเขตจักรพรรดิทูตสวรรค์ก็พุ่งเข้าโจมตีฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ
“ไสหัวไปให้พ้น !”
ฉินอวี้โม่เพียงเปล่งเสียงออกไปสั้น ๆ และยอดฝีมือในขอบเขตจักรพรรดิทูตสวรรค์ผู้นั้นก็หยุดชะงักอยู่กับที่อย่างฉับพลัน
“เป็นไปได้อย่างไร ?!”
สีหน้าของทุกคนในตระกูลราชวงศ์เปลี่ยนไปทันที ผู้ที่เป็นจอมยุทธ์ในขอบเขตจักรพรรดิทูตสวรรค์ถึงกับอ้าปากค้างและพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
“พวกเจ้าเป็นใครกันแน่ ?!”
เพียงเปล่งวาจาออกมาสั้น ๆ จอมยุทธ์ในขอบเขตจักรพรรดิทูตสวรรค์ก็ถึงกับสูญเสียประสิทธิภาพในการต่อสู้ไปอย่างสิ้นเชิง จอมยุทธ์ทั้งสองคนนี้ช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก…
“เหอะ เมื่อครู่นี้ยังมีคนพูดอยู่มิใช่รึว่าเรื่องของข้าเป็นเพียงแค่เรื่องโกหกและข้าตายไปนานแล้ว ?”
สายตาเย็นชาของฉินอวี้โม่กวาดมองฉีเฉิงตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าอย่างพินิจพิจารณาและวาจาเพียงประโยคเดียวของนางก็ทำให้สีหน้าของทุกคนในตระกูลราชวงศ์บิดเบี้ยวไปทันที
“เจ้าคือฉินอวี้โม่อย่างนั้นหรือ ?!”
ฉีเฉิงกลืนน้ำลายดังเอื๊อกทว่ายังไม่ปักใจเชื่อ พวกเขาทั้งหมดเคยเห็นรูปปั้นและภาพวาดของฉินอวี้โม่มาก่อนแล้วและมันมิใช่สตรีที่อยู่ตรงหน้าในเวลานี้
“เหอะ ตอนนี้ท่านลุงฉีอยู่ในดินแดนระดับสูง หากเขาทราบว่าตระกูลฉีที่อยู่ในการปกครองของเจ้ากลายเป็นเช่นนี้ เขาคงกินไม่ได้นอนไม่หลับเป็นแน่ ทว่าตอนนี้ก็บังเอิญพอดี ข้าจะถือโอกาสนี้ในการช่วยเขาสั่งสอนให้เจ้าสำนึกเอง !”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากและรูปลักษณ์ของนางก็เริ่มเปลี่ยนแปลงทีละน้อย ภายในเวลาเพียงไม่นาน นางก็กลับคืนเป็นรูปลักษณ์เดิม
ใบหน้างดงามสะเทือนทั้งใต้หล้าปรากฏตรงหน้าทำให้ทุกคนตกตะลึงไปตาม ๆ กัน
คนกลุ่มแรกที่เรียกสติกลับคืนมาคือคนของตระกูลฉิน สีหน้าของพวกเขาแสดงถึงความตื่นเต้นและมีความสุขอย่างชัดเจน
“คารวะคุณหนูใหญ่ !”
พวกเขาคุกเข่าและกล่าวเสียงดังฟังชัดจนได้ยินไปทั่วบริเวณ
“คารวะท่านจอมยุทธ์ฉินอวี้โม่ !”
คนอื่น ๆ ก็เรียกสติกลับคืนมาเช่นกันและคุกเข่าโค้งคำนับต่อฉินอวี้โม่ด้วยท่าทางนอบน้อมทันที
“ทุกคนลุกขึ้นเถอะ”
ฉินอวี้โม่โบกมือเล็กน้อยเพื่อให้ทุกคนลุกขึ้นยืน
คนเหล่านั้นก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นทว่าสีหน้ายังคงตื่นเต้นอย่างที่สุด การได้พบหน้ายอดอัจฉริยะผู้เป็นตำนานของดินแดนเช่นนี้ พวกเขาไม่อาจควบคุมสีหน้าท่าทางได้เลย
“แม่เจ้า หากนางคือฉินอวี้โม่ แล้วบุรุษผู้นั้นก็คงเป็น…”
ใครคนหนึ่งคาดเดาตัวตนของหานโม่ฉือได้ทันทีและรู้สึกตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม ทุกคนในดินแดนหวนหลิงทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเป็นอย่างดี มีเพียงบุรุษหนุ่มผู้นี้เท่านั้นที่จะอยู่เคียงข้างนางได้
“เขาคือจอมยุทธ์หานโม่ฉือ !”
สตรีนางหนึ่งอุทานเสียงดังเมื่อเห็นใบหน้าของหานโม่ฉือและแววตาเป็นประกายทันที พวกนางทราบดีว่าในอดีตหานโม่ฉือได้ชื่อว่าเป็นบุรุษหนุ่มที่รูปงามที่สุดในดินแดนหวนหลิง เพียงแต่ไม่เคยมีผู้ใดที่เคยยลโฉมเขา ในเมื่อมีโอกาสได้พบเขาเช่นนี้ พวกนางจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร
“ไม่ เป็นไปไม่ได้ ฉินอวี้โม่ตายไปแล้วมิใช่หรือ…”
ฉีเฉิงตกใจสุดขีดและสีหน้าแสดงความไม่อยากเชื่ออย่างที่สุด ใบหน้าของฉีเซิ่งเองก็ซีดเผือดและไม่อยากเชื่อเช่นกัน หากผู้ที่อยู่ตรงหน้าคือฉินอวี้โม่จริง วันนี้ชะตากรรมของพวกเขาก็คงจบเห่เป็นแน่…
“ใครบอกพวกเจ้าว่าข้าตายไปแล้ว ?”
ฉินอวี้โม่เลิกคิ้วสูงและเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่าเหตุใดฉีเฉิงจึงได้มั่นใจว่านางตายไปแล้ว
“ท่านจอมยุทธ์ฉินอวี้โม่ สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดกันเท่านั้น”
ฉีเซิ่งก็ควรคู่แก่การได้ชื่อว่าเป็นคนที่ตบตาอดีตจักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยได้สำเร็จจนสืบทอดบัลลังก์ของจักรวรรดิไปได้ ภายในเวลาเพียงสั้น ๆ เขาก็กลอกตาเล็กน้อยและความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจก่อนกล่าวกับฉินอวี้โม่ด้วยน้ำเสียงนอบน้อมโดยที่บ่งบอกว่าสถานการณ์ทุกอย่างนี้เป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด
“เรื่องเข้าใจผิด ? นี่เจ้าคิดว่าข้าหูหนวกตาบอดหรือไร้สมองกัน ?!”
ฉินอวี้โม่แสยะยิ้มเย้ยหยันและโบกมือแผ่พลังออกไปส่งผลให้คนของตระกูลราชวงศ์ขยับเขยื้อนไม่ได้อีก
“การที่เจ้าได้รับการแต่งตั้งให้รับช่วงต่อครองบัลลังก์มิใช่เพื่อการสร้างความวุ่นวายและกดขี่ข่มเหงผู้อื่นเช่นนี้ ดินแดนหวนหลิงหลอมรวมกลายเป็นปึกแผ่นเดียวกันมานานแล้วและพวกเจ้าไม่มีสิทธิ์ใช้อำนาจของตระกูลราชวงศ์เพื่อทำสิ่งที่ชั่วร้ายเหล่านี้ !”
นางกล่าวอย่างเย็นชาและทำลายรากฐานพลังของคนเหล่านั้นทันที