ด้านหลังซากศพของเทพอสูร ในเวลานี้สีหน้าของมังกรกระดูกดำผู้ซึ่งกำลังรอการฟื้นคืนชีพของซากศพที่เหลืออย่างใจเย็นกลายเป็นบิดเบี้ยวเหยเกในทันที
พลังอำนาจที่หานโม่ฉือแสดงออกมาทำให้มันรู้สึกถึงแรงกดดันอย่างมหาศาลและเป็นแรงกดดันที่รุนแรงยิ่งกว่าผู้นำของจอมยุทธ์ปีศาจเสียอีก
ก่อนหน้านี้พวกเขาก็สืบข้อมูลความแข็งแกร่งของหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่มาอย่างชัดเจนแล้ว แล้วหานโม่ฉือมีพลังการต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ได้อย่างไร…?
“นี่มันพลังของเผ่าปีศาจ…”
ฉินอวี้โม่ไม่แปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น จากความหวาดหวั่นที่เนตรปีศาจมีต่อหานโม่ฉือในครานั้น รวมถึงข้อมูลที่หานโม่ฉือเปิดเผยก่อนหน้านี้ล้วนพิสูจน์ถึงตัวตนของเขาได้เป็นอย่างดี ในเมื่อเคยเป็นส่วนหนึ่งของเผ่าปีศาจ มันก็ไม่แปลกที่เขาจะใช้พลังของเผ่าปีศาจได้
อย่างไรก็ตาม นางไม่เคยทราบเลยว่าพลังของหานโม่ฉือจะฟื้นคืนกลับมามากถึงเพียงนี้แล้ว ด้วยพลังที่เขามีในตอนนี้ แม้แต่ในทั่วทั้งดินแดนมหาเทพก็คงจะไม่มีผู้ใดที่แกร่งกล้ามากพอจะเป็นคู่มือให้กับเขาได้
“เจ้าใช้พลังของเผ่าปีศาจได้อย่างไรกัน ? เจ้าเป็นใครกันแน่ ?!”
มังกรกระดูกดำจ้องหน้าหานโม่ฉืออย่างไม่ละสายตาและความกลัวจากก้นบึ้งของหัวใจทำให้มันไม่สามารถวางท่าโอหังได้อีกต่อไป
วิธีการและทักษะมากมายของจอมยุทธ์ปีศาจในปัจจุบันนี้ก็มีต้นกำเนิดมาจากเผ่าปีศาจทั้งสิ้น ทว่าพวกเขาเรียนรู้ได้สำเร็จเพียงไม่ถึงสองในสิบส่วนของทั้งหมดเท่านั้นและยังไม่ชำนาญเท่าใดนัก
สำหรับสมาชิกที่แท้จริงของเผ่าปีศาจ การที่จะฟื้นคืนชีพซากศพทรงพลังในสมรภูมิรบโบราณแห่งนี้ก็สามารถทำได้อย่างง่ายดายเพียงการโบกมือเบา ๆ เท่านั้นและไม่จำเป็นต้องเผชิญกับความยุ่งยากใด ๆ
ยิ่งไปกว่านั้น สมาชิกที่แท้จริงของเผ่าปีศาจก็ถึงขั้นรังเกียจวิธีการดังกล่าวด้วยซ้ำ เพราะถึงอย่างไรพลังในการต่อสู้ของพวกเขาเพียงอย่างเดียวก็มากพอที่จะทำให้จอมยุทธ์คนอื่น ๆ หวาดหวั่นอย่างที่สุดแล้ว
การที่หานโม่ฉือผู้นี้มีพลังที่แกร่งกล้าของเผ่าปีศาจ นั่นก็หมายความว่าเขาอาจเป็นสมาชิกของเผ่าปีศาจ หากเป็นเช่นนั้นจริง ไม่ว่าจะเป็นวิธีการใด ๆ ของจอมยุทธ์ปีศาจก็คงจะไม่มากพอที่จะเอาชนะเขาได้…
“โอ้ ไม่ว่าข้าจะเป็นใคร พวกเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์รู้หรอก ส่วนโครงกระดูกเทพอสูร ข้านึกว่าจะมีฝีมือมากกว่านี้เสียอีก !”
หานโม่ฉือหัวเราะเบา ๆ และปล่อยก้อนพลังมายาตรงไปยังบรรพบุรุษเทพอสูรซึ่งอยู่ไม่ไกล
“ว๊ากก…”
ซากศพเทพอสูรส่งเสียงกรีดร้องออกมาและการโจมตีเพียงครั้งเดียวของหานโม่ฉือก็ทำให้มันบาดเจ็บสาหัสได้แล้ว พลังความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้เหนือชั้นกว่าก่อนมากนัก
“โม่ฉือดูจะแปลกไป…”
เซิ่งเซียวขมวดคิ้วเล็ก ๆ และกล่าวด้วยความสับสน พลังอำนาจของหานโม่ฉือในตอนนี้แกร่งกล้ามากจริง ๆ ทว่ามันก็ทำให้เขารับรู้ได้ว่ามีบางอย่างที่ผิดแปลกไป ดูเหมือนว่าหานโม่ฉือไม่สามารถควบคุมพลังนั้นได้ด้วยซ้ำ และหลังจากที่ใช้มัน บุรุษหนุ่มผู้เย็นชาก็ราวเปลี่ยนไปเป็นคนละคนและกลิ่นอายจากร่างของเขาในตอนนี้ก็ทำให้เซิ่งเซียวรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก
ฉินอวี้โม่เพียงยืนนิ่งและไม่กล่าวสิ่งใด นางเองก็สัมผัสถึงได้ถึงบางอย่างที่ผิดปกติจากหานโม่ฉือเช่นกัน ดูเหมือนว่ามีปัญหาบางอย่างเกี่ยวกับพลังนั้นและแม้แต่หานโม่ฉือเองก็ไม่เต็มใจที่จะใช้มันนัก บางทีหากใช้พลังนั้นมากเกินไป มันอาจส่งผลร้ายบางอย่างต่อเขาก็เป็นได้
ตูมมม !
หานโม่ฉือทราบถึงสิ่งนี้เป็นอย่างดีและเลือกที่จะจบการต่อสู้นี้ให้เร็วที่สุด อึดใจต่อมา เขาก็แผ่พลังออกไปจนถึงขีดสุดและเหวี่ยงฝ่ามือโจมตีโดยที่ทำให้โครงกระดูกเทพอสูรสลายกลายเป็นเถ้าถ่านและลอยหายไปในอากาศทันที
จากนั้นเขาก็ไม่รอช้าและหันไปโจมตีมังกรกระดูกดำจนกระเด็นออกไป ก้อนพลังสีดำที่กำลังหมุนวนกลางอากาศก็ถูกคว้าเข้ามาอยู่ในมือของหานโม่ฉือโดยที่ไร้ซึ่งอุปสรรคใด ๆ
ตูม ตูมม ตูมมม !
ซากศพทั้งหมดบนพื้นทั้งส่วนที่ฟื้นคืนชีพแล้วและยังเป็นซากศพล้วนระเบิดออกมาจนเกิดเสียงระเบิดดังสนั่นอย่างต่อเนื่อง ภายในเวลาเพียงสั้น ๆ ทั่วบริเวณนี้ก็ไม่มีซากศพหลงเหลืออีกต่อไป
“เป็นไปได้อย่างไร ?!”
สีหน้าของมังกรกระดูกดำเหยเกมากขึ้นเรื่อย ๆ มันไม่คาดคิดเลยว่าหานโม่ฉือจะมีพลังที่น่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนี้
ก่อนหน้านี้มันและจอมยุทธ์ปีศาจทั้งหมดสืบข้อมูลมาแล้วและมั่นใจว่าแผนการครานี้จะไม่มีจุดบกพร่องหรือช่องโหว่ใด สิ่งเดียวที่คาดไม่ถึงคือหานโม่ฉือจะแสดงพลังที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ออกมาและทำลายแผนการของพวกตนจนย่อยยับป่นปี้
เห็นได้ชัดว่าแผนการของจอมยุทธ์ปีศาจในครานี้ถึงคราวล้มเหลวแล้ว ซากศพสิ่งมีชีวิตทรงพลังถูกทำลายไปทั้งหมดและแม้แต่โครงกระดูกเทพอสูรที่แข็งแกร่งที่สุดก็มิใช่คู่มือของหานโม่ฉือด้วยซ้ำ
“ถอนกำลังเร็ว !”
มังกรกระดูกดำตัดสินใจอย่างรวดเร็วและสั่งการกับสมาชิกจอมยุทธ์ปีศาจก่อนหายวับไปต่อหน้าทุกคน
สมาชิกของจอมยุทธ์ปีศาจเหล่านั้นก็ไม่ล่าช้าเช่นกันและเริ่มถอนกำลังออกไปอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาเพียงครู่เดียว ในพื้นที่บริเวณนี้ก็เหลือเพียงกลุ่มของฉินอวี้โม่และฝ่ายตรงข้ามอีกเพียงไม่มากซึ่งรวมถึงอู่เหวินยงเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่าอู่เหวินยงตอบสนองได้ไม่ทันและคนที่เหลือล้วนเป็นกลุ่มคนที่เดินทางมากับเขา
“เหอะ อู่เหวินยง อย่าคิดว่าจะหนีไปไหนได้ !”
ฉินอวี้โม่แค่นเสียงเย็นชาก่อนที่ซิวจะก้าวออกไปข้างหน้าและปิดผนึกจุดตันเถียนของอู่เหวินยงทันทีโดยที่ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายมีโอกาสได้หลบหนี
“อ๊ากกก !”
อู่เหวินยงเรียกสติกลับคืนมาอย่างรวดเร็วและส่งเสียงร้องโหยหวน ในตอนนี้เขาไม่สามารถใช้พลังมายาได้อีกต่อไปและทำได้เพียงหลับตารอความตายเท่านั้น
จุดตันเถียนของคนอื่น ๆ ที่มากับเขาก็ล้วนถูกปิดผนึกไปเช่นกันและไม่สามารถหนีเอาตัวรอดได้อีก
“หนีออกไปก่อนเถอะ !”
หานโม่ฉือกลับคืนสู่สภาวะปกติและหันไปจับมือฉินอวี้โม่ก่อนพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อสัมผัสได้ถึงความกระตือรือร้นของหานโม่ฉือ ฉินอวี้โม่ก็หลบหนีไปกับเขาอย่างไม่ลังเล เซิ่งเซียวและอวิ๋นซื่อเทียนเองก็เร่งฝีเท้าตามไปเช่นกันโดยมีบรรดาอสูรมายาติดตามไปอย่างใกล้ชิดพร้อมกับกลุ่มคนที่ถูกปิดผนึกจุดตันเถียนไปเมื่อครู่
ภายในเวลาเพียงสั้น ๆ เดิมทีพื้นที่ทั่วบริเวณนี้ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายโกลาหลก็เหลือเพียงความว่างเปล่าและเงียบสงบเท่านั้น
พรึ่บ !
คลื่นความผันผวนบางอย่างปรากฏขึ้นมาบนอากาศและร่างหนึ่งก็แหวกห้วงมิติออกมาในจุดที่หานโม่ฉือยืนอยู่ก่อนหน้านี้
“หืม ?”
เมื่อพบเพียงที่ราบว่างเปล่าและไร้ซึ่งผู้ใด บุรุษผู้นั้นก็รู้สึกประหลาดใจในทันที
“เห็นได้ชัดว่ากลิ่นอายนั่นเพิ่งจะปรากฏขึ้นมาที่นี่ เหตุใดจึงหายไปอย่างกะทันหันเช่นนี้ ?”
เขาพึมพำด้วยความฉงนสงสัย พวกเขาตามหากลิ่นอายดังกล่าวมานานหลายปีและเมื่อครู่นี้ก็สัมผัสได้ว่าอย่างชัดเจนว่ามันปรากฏขึ้นที่นี่ แม้จะรีบมุ่งหน้ามาทันที เขาก็ยังคลาดจากเป้าหมายไปอย่างน่าเสียดาย
“เหอะ ท้ายที่สุดข้าก็จะต้องหาเจ้าจนพบ !”
บุรุษผู้นั้นเพียงกล่าวทิ้งท้ายก่อนหายวับไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน
ณ ทางเข้าสมรภูมิรบโบราณ หานโม่ฉือยืนนิ่งอยู่กับที่ ร่างกายของเขาอ่อนแอลงพอสมควร เมื่อครู่นี้เขาใช้พลังไปมากถึงแปดในสิบส่วนและตอนนี้ใบหน้าซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด
“เจ้าเป็นอะไรรึไม่ ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามพร้อมขมวดคิ้วมุ่น การใช้พลังที่น่าสะพรึงกลัวเมื่อครู่ย่อมมีผลข้างเคียงพอสมควร แม้ด้วยความแข็งแกร่งในระดับของหานโม่ฉือ เขาก็ยังได้รับผลกระทบไปไม่น้อย
“ข้าไม่เป็นไร มันคือพลังต้นกำเนิดเดิมของข้า เมื่อครู่ข้าเพียงยืมมันมาใช้เป็นการชั่วคราวเท่านั้นและข้าจะอ่อนแอลงเพียงหนึ่งวัน”
หานโม่ฉืออธิบายและไม่ปิดบังจากฉินอวี้โม่
“หากเจ้าใช้พลังนั้น คนพวกนั้นจะรับรู้ถึงตัวตนของเจ้าและทำให้ตกอยู่อันตรายหรือไม่ ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามตามข้อสันนิษฐานของตน หากมิใช่เพราะสิ่งนี้ หานโม่ฉือก็คงไม่รีบร้อนหลบหนีออกมาเช่นนี้
“ไม่ พวกเขาเพียงสัมผัสได้ว่าข้าใช้พลังดั้งเดิมของข้าและระบุตำแหน่งตามพลังนั้นเท่านั้น ทว่าพวกเขาตามหาข้าไม่พบหรอก ไม่ต้องกังวล”
หานโม่ฉือกล่าวพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ เพื่อมิให้ฉินอวี้โม่เป็นกังวล ‘คนเหล่านั้น’ สามารถตรวจจับการใช้พลังของเขาได้จริง ทว่าไม่สามารถแกะรอยตามตัวเขาได้ ในเวลานี้หานโม่ฉือก็ยังไม่ต้องการไปจากที่นี่เพราะยังสะสางปัญหาความวุ่นวายในดินแดนมหาเทพไม่ได้
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี ทว่าเจ้าควรที่จะเก็บพลังนั้นไว้ใช้ในยามคับขันเท่านั้น อย่าเพิ่งใช้มันในช่วงนี้”
ฉินอวี้โม่จับมือหานโม่ฉือและกล่าวอย่างจริงจังในขณะที่ความกังวลยังคงไม่หายไป พลังนั้นเกรี้ยวกราดจนเกินไปและหานโม่ฉือยังไม่สามารถควบคุมมันได้ในตอนนี้ เพราะเหตุนั้น นางจึงไม่ต้องการให้เขาใช้พลังที่จะเป็นอันตรายต่อตนเอง
“รับทราบ ที่รักของข้า”
หานโม่ฉือยิ้มอย่างอบอุ่นและพยักศีรษะเบา ๆ ส่งผลให้บรรยากาศผ่อนคลายลงเล็กน้อย
.