ภายในห้องส่วนตัว ฉินอวี้โม่และสหายคนสนิทเพียงไม่กี่คนรวมตัวกันด้วยสีหน้าที่สงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับสถานการณ์ในฐานทัพของจอมยุทธ์ปีศาจที่ทำให้หานโม่ฉือหวาดหวั่นอย่างเห็นได้ชัด
“เมื่อครู่นี้ข้าสัมผัสได้ว่ามีบุรุษลึกลับผู้หนึ่งอยู่ในฐานทัพของจอมยุทธ์ปีศาจซึ่งศัตรูเก่าแก่ของข้าส่งมาเพื่อจัดการกับข้า”
หานโม่ฉือไม่ต้องการปิดบังความจริงจากคนเหล่านี้และกล่าวอธิบายอย่างคร่าว ๆ
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของทุกคนยังคงฉงนงุนงง เขาจึงเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวตนในอดีตของตนเอง
“ในภพอดีต ข้าเป็นทายาทผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของเผ่าปีศาจและในตอนนั้นก็เกิดเรื่องบางอย่างขึ้น ทว่าตอนนี้ในระหว่างที่ความแข็งแกร่งของข้าฟื้นฟูขึ้นเรื่อย ๆ และความทรงจำของข้าก็เริ่มกลับมา ศัตรูเก่าแก่ของข้าจึงรับรู้ถึงตัวตนของข้าได้”
แม้หานโม่ฉือจะไม่ลงรายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต ฉินอวี้โม่ก็ทราบดีว่าเขาหมายถึงสิ่งใด
นางเข้าใจแล้วว่าเหตุใดนางจึงไม่เคยทราบเรื่องราวชีวิตของหานโม่ฉือในภพก่อน เผ่าปีศาจเป็นขุมกำลังที่ลึกลับมาตั้งแต่ต้นและดินแดนอื่นทราบข้อมูลเกี่ยวกับพวกเขาเพียงน้อยนิดเท่านั้น ในอดีตครานั้น จู่ ๆ ‘อวี้เฟิง’ ก็ปรากฏตัวอย่างไร้ที่มาและแม้ทั้งสองจะพบรักกันในที่สุด นางก็ไม่เคยทราบเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของเขา
ไม่คิดเลยว่าแท้จริงแล้วหานโม่ฉือจะเป็นทายาทผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของเผ่าปีศาจ
ตำแหน่งจ้าวแห่งโลกปีศาจเป็นสิ่งที่ล่อตาล่อใจอย่างที่สุดและบางสิ่งบางอย่างก็สามารถเข้าใจได้โดยง่าย ในเมื่อหานโม่ฉือเป็นทายาทผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของเผ่าปีศาจ เขาก็ย่อมมีคู่แข่งมากมายที่พยายามต่อสู้เพื่อแย่งชิงมัน ตลอดเวลานับหมื่นปีที่ผ่านมา เกรงว่าตำแหน่งจ้าวแห่งโลกปีศาจคงจะถูกเปลี่ยนมือไปนานแล้ว และเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังที่ฟื้นฟูกลับมาและทราบว่าหานโม่ฉือยังมีชีวิตอยู่ เป็นธรรมดาที่ศัตรูเหล่านั้นจะทำทุกอย่างเพื่อขัดขวางมิให้เขาทวงคืนบัลลังก์กลับไปได้
“ในโลกปีศาจมีข้อกำจัดพิเศษบางอย่างอยู่ ต่อให้ทราบว่าข้ายังมีชีวิตอยู่ ยอดฝีมือเหล่านั้นก็ไม่สามารถมาที่นี่ได้ด้วยตัวเอง พวกเขาจึงส่งมาได้เพียงลิ่วล้อหรือผู้ติดตามเท่านั้นและบุรุษผู้นั้นก็คงจะเป็นหนึ่งในนั้น ทว่าร่างกายของเขาได้รับการกลายพันธุ์โดยเผ่าปีศาจและแข็งแกร่งกว่าจอมยุทธ์ทั่วไปมากนัก ในตอนนี้ข้าก็ยังมิใช่คู่มือของเขา”
หานโม่ฉือกล่าวอธิบายต่อ กลิ่นอายจากบุรุษผู้นั้นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ทราบถึงตัวตนของอีกฝ่ายได้ ภายในสมรภูมิรบโบราณ ในช่วงเวลาที่หานโม่ฉือตัดสินใช้พลังของโลกปีศาจ เขาก็ทราบดีว่าจะต้องถูกค้นพบอย่างแน่นอน และก็เป็นจริงดังที่คิดไว้ หลังจากที่เขาและทุกคนรีบออกมาจากที่นั่น บุรุษผู้นั้นก็ปรากฏตัวขึ้นมา หากมิใช่เพราะไหวตัวและตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว เกรงว่าเขาคงต้องประจันหน้ากับบุรุษผู้นั้นเป็นแน่
ในเวลานี้หานโม่ฉือก็ยังไม่สามารถเอาชนะบุรุษผู้นั้นได้ โชคดีที่บุรุษผู้นั้นไม่มีทางระบุตัวตนของเขาได้ตราบใดที่หานโม่ฉือไม่แสดงพลังของโลกปีศาจออกมา นั่นหมายความว่าเขาจะยังไม่เป็นอันตรายในตอนนี้
“เป็นอย่างนี้นี่เอง”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ทุกคนก็เข้าใจได้ทันทีว่าเหตุใดหานโม่ฉือจึงหวาดหวั่นต่อบุรุษผู้นั้นยิ่งนัก
“ตราบใดที่บุรุษผู้นั้นยังยืนยันตัวตนของข้าไม่ได้ เขาก็จะไม่ลงมือทำสิ่งใดสุ่มสี่สุ่มห้าและจะไม่เข้าร่วมสงครามระหว่างเราและจอมยุทธ์ปีศาจอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นทุกคนวางใจได้เลย”
เผ่าปีศาจมีกฎปฏิบัติที่ชัดเจนอยู่แล้ว แม้ยังไม่ทราบว่าบุรุษผู้นั้นเป็นลูกน้องของผู้ใด หานโม่ฉือก็ทราบดีว่าบุรุษผู้นั้นไม่กล้าก่อเรื่องสร้างปัญหาตามอำเภอใจ การที่เขาไปที่ฐานทัพของจอมยุทธ์ปีศาจครานี้ก็เพื่อสืบข่าวเท่านั้นและคงจะไม่มีความกล้ามากพอที่จะเข้ามาแทรกแซงในสงครามของดินแดนอื่น
“ถ้าเช่นนั้นช่วงนี้เจ้าก็อย่าเพิ่งเคลื่อนไหวล่ะ เพียงแค่พวกเราทั้งหมดก็ถือว่ามากพอที่จะต่อสู้กับจอมยุทธ์ปีศาจได้ ในเมื่อบุรุษผู้นั้นมิใช่คนของดินแดนนี้ เขาก็คงจะอยู่ที่นี่เพียงไม่นาน หลังจากที่เขากลับไป วิกฤตทั้งหมดก็จะคลี่คลายไปโดยธรรมชาติ”
ทุกคนกล่าวเป็นเสียงเดียวและแสดงความคิดตาม ๆ กัน
“อย่ากังวลกันไปเลย หานโม่ฉือทราบดีว่าควรทำอย่างไร”
ฉินอวี้โม่กล่าวเพื่อมิให้ทุกคนเป็นกังวลมากนัก หานโม่ฉือมิใช่คนที่จะทำในสิ่งที่ไม่มั่นใจ เพราะฉะนั้นจึงคาดการณ์ได้ว่าเขาน่าจะมีแผนการอยู่ในใจแล้ว
การรอจนกว่าบุรุษผู้นั้นจากไปเป็นเพียงทางเลือกสุดท้ายเท่านั้นและการกำจัดเขาอย่างสิ้นซากเป็นสิ่งที่ควรกระทำมากที่สุด สมาชิกของเผ่าปีศาจที่ทราบเกี่ยวกับตัวตนของหานโม่ฉือในตอนนี้น่าจะมีเพียงน้อยคนเท่านั้นและผู้ที่สามารถเดินทางมาที่นี่ก็มีอยู่จำกัด เพราะเหตุนั้น การกำจัดบุรุษผู้นั้นจะเป็นทางที่ทำให้เขาปลอดภัยต่อไปอีกพักใหญ่
เมื่อออกไปจากดินแดนมหาเทพแห่งนี้และไปยังดินแดนอื่น มันก็ยากที่สมาชิกของเผ่าปีศาจจะระบุตำแหน่งของหานโม่ฉือได้อีก…
ในขณะที่ทุกคนเดินทางกลับสำนักเมฆาครามโดยการขับเคลื่อนคฤหาสน์เฟิงหัว สถานการณ์การต่อสู้ภายนอกก็ดุเดือดมากขึ้นเรื่อย ๆ
ทุกคนรวมตัวเข้าโจมตีฐานทัพของขุมกำลังใหญ่ที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของจอมยุทธ์ปีศาจในเวลาเดียวกัน คนของจอมยุทธ์ปีศาจก็ไม่มีเวลาที่จะตอบสนองได้ทันและต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่นั่งลำบาก
ภายในเวลาเพียงสองวัน ฐานทัพของขุมกำลังส่วนใหญ่ก็ถูกทวงคืนกลับมาได้สำเร็จและคนของจอมยุทธ์ปีศาจก็ถูกไล่ต้อนจนต้องถอนกำลังออกไป
ฐานทัพที่ถูกทวงคืนกลับมาได้เร็วที่สุดคือสำนักเบิกภูผาและนิกายกระบี่สายฟ้า ทั้งสองขุมกำลังคือขุมกำลังที่ตัดสินใจถอนกำลังคนออกมาก่อนหน้านี้และเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะตั้งหลักและกอบกู้อาณาเขตของตนเองมาได้อย่างรวดเร็ว
แม้จอมยุทธ์ปีศาจจะจัดกำลังคนที่แข็งแกร่งไว้คุ้มกันทั้งสองขุมกำลัง พวกเขาก็ยังไม่อาจต้านทานการโจมตีและรักษาอาณาเขตเหล่านั้นไว้ได้
สถานการณ์ของขุมกำลังอื่นก็มีแนวโน้มที่ดีเช่นกัน เนื่องจากพวกเขาได้รับความช่วยเหลือสมทบจากตระกูลราชวงศ์ เมื่อฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เดินทางกลับมาถึงสำนักเมฆาคราม จอมยุทธ์ของดินแดนมหาเทพก็ทวงคืนฐานทัพได้เกือบทั้งหมดแล้ว…
ณ สำนักเมฆาคราม ทุกคนรวมตัวกันเพื่อหารือเรื่องต่าง ๆ กันอีกครั้ง
ครานี้แม้แต่ตระกูลใหญ่จากเมืองราชวงศ์แห่งมณฑลกลางก็มารวมตัวกันในสำนักเมฆาครามเช่นกัน
“ทุก ๆ คน การที่เพียงแค่ทวงคืนฐานทัพของพวกเรากลับมาเช่นนี้ มันมิใช่เป็นค่าชดใช้ที่ถูกเกินไปสำหรับการกระทำของจอมยุทธ์ปีศาจรึ ?”
ฟู่ชางกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ การที่จอมยุทธ์ปีศาจเปิดฉากโจมตีเพื่อยึดฐานทัพของขุมกำลังใหญ่หลายแห่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงที่กำหนดไว้ว่าสงครามชี้ชะตาจะเริ่มต้นขึ้นหลังจากเวลาสองปี สามสำนักและเก้านิกายของพวกเขามิใช่ขุมกำลังที่จะถูกผู้ใดรังแกได้ง่าย ๆ และพวกเขาจะต้องหาทางตอบโต้เพื่อทำให้จอมยุทธ์ปีศาจตระหนักถึงพลังอำนาจของพวกเขาเช่นกัน
“จ้าวสำนักฟู่มีแผนการอะไรอยู่รึ ? เพียงบอกพวกเรามาเถอะ หากทำให้จอมยุทธ์ปีศาจเผชิญกับความสูญเสียได้ เราก็ไม่ขัดข้อง”
ผู้นำของหลายขุมกำลังกล่าวเป็นเสียงเดียวกันและแสดงถึงความชิงชังที่มีต่อจอมยุทธ์ปีศาจอย่างไม่ปิดบัง หากมิใช่เพราะยังไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะจอมยุทธ์ปีศาจได้ พวกเขาก็คงจะเดินหน้าโจมตีเพื่อกวาดล้างคนเหล่านั้นและกำจัดจอมยุทธ์ปีศาจให้สิ้นซากไปนานแล้ว
“การที่มีขุมกำลังจำนวนหนึ่งที่ทรยศหักหลังพวกเราและไปร่วมมือกับจอมยุทธ์ปีศาจ ข้าคิดว่าเราควรขับไล่คนพวกนั้นออกจากดินแดนมหาเทพและปล่อยให้พวกเขาแบกหน้าไปที่ฐานทัพของจอมยุทธ์ปีศาจเสีย ดินแดนของเราไม่มีพื้นที่รองรับบุคคลที่ชั่วร้ายเหล่านั้น !”
ฟู่ชางกล่าวความคิดเห็นออกไปโดยตรงซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่ฉินอวี้โม่หารือกับคนอื่น ๆก่อนหน้านี้
“จ้าวสำนักฟู่ พวกเราก็คิดเช่นเดียวกัน นิกายหมื่นบุปผา สำนักห้าขุนเขาและนิกายเมฆาล่องลอยโอหังเกินไป พวกเขายอมจำนนต่อจอมยุทธ์ปีศาจและยังกล้าบุกโจมตีขุมกำลังของเราอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ถึงเวลาที่เราควรสั่งสอนให้พวกนั้นสำนึก !”
ฉินเทียนกล่าวแสดงความคิดเห็นเช่นกัน คนอื่น ๆ ก็ไม่คัดค้านสิ่งใดและแสดงสีหน้าที่ตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง
พวกเขาทนอยู่เฉยมานานเกินไปแล้วและในที่สุดก็ได้โอกาสตอบโต้เสียที ถึงเวลาแล้วที่คนของจอมยุทธ์ปีศาจจะตระหนักถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของพวกเขา !
“ถ้าเช่นนั้นเราต้องหารือแผนการกันอย่างละเอียดก่อน”
เมื่อเห็นว่าทุกคนไม่คัดค้าน ฟู่ชางก็กล่าวเพื่อให้ทุกคนสงบลงและหารือกันต่อไป
“มีขุมกำลังใหญ่อยู่สี่แห่งด้วยกันที่ยอมจำนนต่อจอมยุทธ์ปีศาจ ในบรรดาขุมกำลังเหล่านั้น นิกายหมื่นบุปผาและสำนักห้าขุนเขาควรจะเป็นขุมกำลังที่รับมือได้ยากที่สุด ส่วนอีกสองขุมกำลังก็ถือว่าไม่อ่อนแอเช่นกัน เราควรให้คนของสองขุมกำลังร่วมมือกันโจมตี”
เขาเริ่มจากการกล่าวถึงสถานการณ์ของทั้งสี่ขุมกำลังก่อนและต้องการฟังความคิดเห็นจากคนอื่น ๆ
“ตอนนี้นิกายหมื่นบุปผาเป็นขุมกำลังที่จัดการได้ยากที่สุด ให้เป็นหน้าที่ของเรานิกายกระบี่สายฟ้าและสำนักเมฆาครามก็แล้วกัน”
ฉินอวี้โม่กล่าวเป็นคนแรก ด้วยโอกาสทองเช่นนี้ แน่นอนว่านางต้องการจัดการกับนิกายหมื่นบุปผาด้วยตัวเอง
ในตอนนี้แม้ว่าจะมีสมาชิกของจอมยุทธ์ปีศาจอยู่ที่นิกายหมื่นบุปผาเป็นจำนวนมาก ทว่าการร่วมมือกันระหว่างนิกายกระบี่สายฟ้าและสำนักเมฆาครามก็คงจะเพียงพอที่จะจัดการกับคนเหล่านั้นได้
“ถ้าเช่นนั้นพวกเราสำนักเบิกภูผาและนิกายหงส์แดงก็จะจัดการกับสำนักห้าขุนเขาเอง”
จ้าวสำนักเบิกภูผากล่าวขึ้นมา ขุมกำลังของพวกเขาไม่สบอารมณ์กับสำนักห้าขุนเขาเป็นทุนเดิมอยู่แล้วและในที่สุดก็ได้โอกาสเหมาะสมที่จะลงมือเสียที