สงครามครั้งยิ่งใหญ่ ณ ที่ราบกำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด
ความแข็งแกร่งโดยรวมของทั้งสองฝ่ายไม่ได้แตกต่างกันมากนักและไม่มีผู้ใดเอาชนะคู่ต่อสู้ของตนเองได้ตั้งแต่ต้น
ฟู่ชางและคนอื่น ๆ ซึ่งประจันหน้ากับผีดิบเกราะทองก็สามารถตั้งตัวกลายเป็นฝ่ายได้เปรียบเหนือกว่าเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ผีดิบไร้จิตวิญญาณเหล่านั้นก็ต่อสู้อย่างไม่กลัวตายและไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดแม้แต่น้อย เพราะเหตุนั้น การสังหารผีดิบเหล่านั้นจึงมิใช่เรื่องง่ายเลย
เวลานี้ การต่อสู้ในจุดอื่น ๆ ก็ล้วนเข้าสู่สภาวะจนมุมและไม่สามารถตัดสินผู้ชนะได้ในเวลาสั้น ๆ
ฉินอวี้โม่และฮวาฟางเฟยก็ต่อสู้กันอย่างดุเดือด เวลานี้ ฉินอวี้โม่ที่บรรลุพลังในขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงสุดสามารถประจันหน้ากับฮวาฟางเฟยได้ดีกว่าก่อนหน้านี้มากนัก ต่อให้ไม่ใช้ข่ายอาคมเก้ามังกรทลายพิภพ นางก็สามารถใช้ทักษะอื่น ๆ เพื่อต่อสู้กับฮวาฟางเฟยได้อย่างไม่เสียเปรียบ
ฉินอวี้โม่ในตอนนี้ก็ทำให้ฮวาฟางเฟยแอบตกตะลึงอยู่ในใจ ในการประจันหน้ากันก่อนหน้านี้ นางยังมีพลังที่เหนือกว่าอย่างชัดเจน แม้ด้วยพลังของข่ายอาคมเก้ามังกรทลายพิภพ ฉินอวี้โม่ก็ยังกำจัดนางไม่สำเร็จ ทว่าครานี้ฮวาฟางเฟยกลับกลายเป็นฝ่ายที่ด้อยกว่าและนั่นเป็นความรู้สึกที่ไม่สบอารมณ์อย่างที่สุด
“เหอะ ฮวาฟางเฟย เจ้ามีความแข็งแกร่งเพียงแค่นี้เองรึ !”
ความแข็งแกร่งของฮวาฟางเฟยในตอนนี้คงจะอยู่ในขอบเขตเทพยุทธ์สองดาราขั้นสูงสุด ในบรรดาคนทั้งหมดที่นี่ นอกเหนือจากผีดิบเกราะทอง พลังของนางก็ถือว่ามากพอที่จะจัดอยู่ในสิบอันดับแรก
ความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ก็อยู่ในขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงสุดเพียงเท่านั้นซึ่งถือว่าอ่อนแอกว่าฮวาฟางเฟยไม่น้อย อย่างไรก็ตาม นางมีความสามารถในการกระโดดข้ามระดับของตนเอง หากฮวาฟางเฟยไม่มีไพ่ตายใดอีก ฉินอวี้โม่ก็มั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้โดยไม่ต้องใช้ข่ายอาคมเก้ามังกรทลายพิภพด้วยซ้ำ
“เหอะ ฉินอวี้โม่ อย่าเพิ่งหลงดีใจไปก่อนเลย !”
ฮวาฟางเฟยแค่นเสียงเย็นชาและกล่าววาจาราวกับว่านางยังมีไพ่ตายอื่นซ่อนไว้
ทันใดนั้น พลังทั่วทั้งร่างของนางก็พุ่งพรวดขึ้นมาอย่างรวดเร็วก่อนที่ระดับพลังของนางจะทะลวงผ่านขอบเขตเทพยุทธ์สองดาราขั้นสูงสุดไปและหยุดลงในขอบเขตเทพยุทธ์สามดาราขั้นสูงสุด
“พลังอำนาจในขอบเขตเทพยุทธ์แกร่งกล้าเกินกว่าที่เจ้าจะจินตนาการได้ วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าตระหนักถึงชะตากรรมของการที่ท้าทายข้า !”
ฮวาฟางเฟยกล่าวอย่างเย็นชาและโบกมือเล็กน้อยก่อนกระบี่ที่ก่อตัวจากพลังมายาจะปรากฏตรงหน้าและพุ่งตรงเข้าหาฉินอวี้โม่ทันที
ฉินอวี้โม่ไม่มีท่าทีตื่นตระหนกแม้แต่น้อยและปล่อยกระบี่ยักษ์ทลายปฐพีออกไปเช่นกัน
ตูมมม !
พลังของทั้งสองฝ่ายปะทะกันอย่างรุนแรงและทำให้ม่านป้องกันรอบตัวทั้งสองสั่นสะเทือนไปชั่วขณะ
พลังจากการปะทะดังกล่าวทำให้ฉินอวี้โม่ถอยหลังออกไปนับสิบก้าวในขณะที่ฮวาฟางเฟยถอยหลังไปเพียงครึ่งก้าวเท่านั้น เห็นได้ชัดว่านางเป็นต่อในการประจันหน้านี้
การปะทะครานี้ก็ทำให้ฉินอวี้โม่เข้าใจถึงความแข็งแกร่งของตนเองมากยิ่งขึ้น ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบัน คู่ต่อสู้ระดับสูงสุดที่นางจะรับมือได้คือจอมยุทธ์ในขอบเขตเทพยุทธ์สามดาราเท่านั้น สำหรับระดับที่เหนือกว่าสามดารา ฉินอวี้โม่ยังไม่มีโอกาสรับมือได้ในตอนนี้
การโจมตีครานี้ที่ทำให้ฉินอวี้โม่ถอยหลังไปหลายก้าวและนั่นทำให้กำลังใจของฮวาฟางเฟยฟื้นฟูกลับมาอีกครั้ง นางปล่อยการโจมตีเข้าใส่ฉินอวี้โม่อย่างต่อเนื่องและเห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการให้อีกฝ่ายมีโอกาสตั้งตัวได้ทัน นางต้องการกำหนดผลลัพธ์ของการต่อสู้ครานี้โดยเร็วที่สุดและกำจัดฉินอวี้โม่โดยตรง
ฉินอวี้โม่ก็พยายามต้านทานการกระหน่ำโจมตีของฮวาฟางเฟยไว้ ทว่าหยดเลือดที่ไหลซึมจากมุมปากในขณะนี้ทำให้สถานการณ์ดูไม่สู้ดีนัก ความแข็งแกร่งของฮวาฟางเฟยในตอนนี้เหนือชั้นกว่าก่อนมากเกินไป หากไม่นำข่ายอาคมเก้ามังกรทลายพิภพออกมาใช้ เกรงว่าฉินอวี้โม่คงจะต้านทานอีกฝ่ายได้อีกไม่นานแน่ !
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่แสดงข่ายอาคมเก้ามังกรทลายพิภพออกมาคราก่อน ตอนนี้ฮวาฟางเฟยก็ต้องเตรียมตัวรับมือกับมันเป็นอย่างดีแล้ว ต่อให้สามารถถ่วงเวลาระยะหนึ่งเพื่อวางข่ายอาคมจนสำเร็จได้ ฉินอวี้โม่ก็ยังต้องหาทางหลอกล่อให้ฮวาฟางเฟยเข้าไปในระยะรัศมีของข่ายอาคม
หากฮวาฟางเฟยไม่เข้าไปในวงล้อมของข่ายอาคมเก้ามังกรทลายพิภพ ข่ายอาคมที่ทรงพลังนั้นก็จะไร้ประโยชน์ไปโดยปริยาย…
“เหอะ อยากเห็นนักว่าเจ้าจะทำอะไรได้อีก !”
เมื่อเห็นท่าทางที่ไม่สู้ดีของฉินอวี้โม่ ฮวาฟางเฟยก็แค่นเสียงเย็นชาและกล่าววาจาเย้ยหยันทันที
การเก็บตัวอยู่ในฐานทัพของจอมยุทธ์ปีศาจตลอดช่วงที่ผ่านมาช่วยให้ความแข็งแกร่งของนางพัฒนาขึ้นมาก
จอมยุทธ์ปีศาจมีวิธีการพิเศษที่ช่วยให้นางพัฒนาความแข็งแกร่งได้อย่างรวดเร็ว และก็ไม่เพียงแต่นางเท่านั้น ทว่าเยว่ปู้ฉินและคนอื่น ๆ ก็แข็งแกร่งกว่าเดิมมากเช่นกัน
เวลานี้เยว่ปู้ฉินกำลังต่อสู้กับเหลยเจี้ยนเชิงและมีพลังที่ได้เปรียบเหนือกว่าเช่นกัน ความแข็งแกร่งของเขาและฮวาฟางเฟยอยู่ในระดับไล่เลี่ยกันและบรรลุถึงขอบเขตเทพยุทธ์สามดาราขั้นสูงสุด ทว่าในทางกลับกัน เหลยเจี้ยนเชิงซึ่งมีพลังในขอบเขตเทพยุทธ์สองดาราขั้นสูงสุดยังด้อยกว่าอยู่หนึ่งระดับ
อย่างไรก็ตาม วิชายุทธ์และทักษะการต่อสู้ของเหลยเจี้ยนเชิงก็ถือว่าพิเศษอย่างมาก พลังในการโจมตีของเขาน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าเยว่ปู้ฉินเสียอีกและรูปแบบการต่อสู้ของเขาก็ทำให้ฝ่ายตรงข้ามติดขัดไปทุกกระบวนท่า เพราะเหตุนั้น เยว่ปู้ฉินจึงยังไม่สามารถเอาชนะเขาได้เสียที
ความแข็งแกร่งของฝ่ายจอมยุทธ์ปีศาจหลายคนก็มีการพัฒนาขึ้นมากในช่วงที่ผ่านมาและคนของดินแดนมหาเทพก็เผชิญกับความตึงมือมากขึ้นเมื่อเผชิญหน้ากับพวกเขา
อย่างไรก็ตาม จิตใจของผู้คนในฝ่ายดินแดนมหาเทพก็ยังคงเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณนักสู้ แม้ฮวาฟางเฟยและคนอื่นจะพัฒนาพลังได้ด้วยวิธีการพิเศษของจอมยุทธ์ปีศาจ ทว่าทุกคนก็ไม่มีทางตัดใจยอมแพ้
ในทางกลับกัน การต่อสู้ระหว่างหานโม่ฉือและเสียอวิ๋นดูอืดอาดและสงบเสงี่ยมมากที่สุด แต่ทุกคนทราบดีว่าพลังที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีทุกกระบวนท่าของทั้งสองฝ่ายน่าสะพรึงกลัวมากที่สุดในสมรภูมิรบแห่งนี้
ความแข็งแกร่งของเสียอวิ๋นอยู่ในขอบเขตเทพยุทธ์ห้าดาราซึ่งเหนือกว่าฮวาฟางเฟยและคนอื่น ๆ ถึงสองระดับเต็ม ๆ
สำหรับหานโม่ฉือผู้ซึ่งเก็บตัวเงียบอยู่เสมอ เขาก็มีความแข็งแกร่งภายนอกอยู่ที่ขอบเขตเทพยุทธ์สี่ดาราขั้นสูงสุดแล้ว ซึ่งกล่าวได้ว่าน่าสะพรึงกลัวไม่ต่างกัน
กระบวนท่าของทั้งสองฝ่ายไม่โดดเด่นเท่าใดนัก ทว่าพลังที่อัดแน่นภายในแต่ละกระบวนท่าเป็นสิ่งที่ไม่อาจประมาทได้เลย พลังมายาในบริเวณโดยรอบส่วนใหญ่ถูกดึงดูดเข้าไปรวมตัวกับคนทั้งสองส่งผลให้การต่อสู้ของคนอื่น ๆ รอบตัวได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อย
“เจ้าเป็นใครกันแน่ ?!”
หลังจากการปะทะกันหลายสิบกระบวนท่า ทว่ายังไม่มีฝ่ายใดแพ้ชนะ เสียอวิ๋นก็ขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อยและมองหานโม่ฉือด้วยความสงสัยเต็มหัวใจ
ข้อมูลที่พวกเขารวบรวมมาก่อนหน้านี้ระบุเพียงว่าหานโม่ฉือติดตามฉินอวี้โม่มาจากดินแดนระดับต่ำจนมาถึงที่ดินแดนมหาเทพแห่งนี้
อย่างไรก็ตาม ไม่น่าเชื่อเลยว่าจอมยุทธ์จากดินแดนต่ำต้อยเช่นนั้นจะมีพรสวรรค์และความแข็งแกร่งที่น่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนี้ได้
พรสวรรค์ของฉินอวี้โม่ก็ถือว่าผิดธรรมชาติมากพอแล้ว ทว่าหานโม่ฉือกลับมีพรสวรรค์ที่เหนือกว่านางเสียอีก !
สิ่งที่ทำให้เสียอวิ๋นหวั่นใจยิ่งกว่าคือหานโม่ฉือมีพลังเพียงในขอบเขตเทพยุทธ์สี่ดาราเท่านั้น ทว่าไม่ทราบเช่นกันว่าเป็นเพราะเหตุใด บุรุษผู้นี้เหมือนว่าจะเริ่มเป็นฝ่ายได้เปรียบทีละเล็กทีละน้อย แม้มันจะไม่ปรากฏชัดเจน แต่เสียอวิ๋นก็ยังรับรู้ถึงมันได้
แม้ด้วยพลังที่ต่างกันหนึ่งระดับ เสียอวิ๋นก็ยังถูกอีกฝ่ายกดข่มได้ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อยิ่งนัก
สิ่งนี้ทำให้เขานึกสงสัยเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของหานโม่ฉือเป็นครั้งแรก จอมยุทธ์จากดินแดนระดับต่ำจะมีพื้นเพภูมิหลังที่น่าหวาดหวั่นเช่นนี้ได้อย่างไร…
“หึ พวกเจ้าสืบเรื่องข้ามาอย่างชัดเจนแล้วมิใช่รึ ?”
หานโม่ฉือหัวเราะในลำคอ แน่นอนว่าเสียอวิ๋นไม่มีทางทราบถึงตัวตนที่แท้จริงของเขา ข้อมูลทุกอย่างที่คนเหล่านี้สืบมาก่อนหน้านี้ล้วนเป็นความจริง ทว่าเรื่องที่เขาเกิดใหม่ในร่างของบุรุษนัยน์ตาแดงฉานนามว่าหานโม่ฉือ มีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่จะทราบเบื้องลึกเบื้องหลังที่แท้จริง
แน่นอนว่าด้วยการที่เสียอวิ๋นสืบข้อมูลเกี่ยวกับฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมาอย่างละเอียดชัดเจน เขาก็ย่อมเชื่อข้อมูลเหล่านั้นมาตลอด
สิ่งสำคัญคือหานโม่ฉือผสานพลังของเผ่าปีศาจเข้ากับกายโกลาหลของตนที่บังเอิญได้มาก่อนหน้านี้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ต่อให้เป็นยอดฝีมือในระดับสูงกว่านี้ ตราบใดที่เขาไม่เปิดเผยพลังดั้งเดิมของตนออกไป อีกฝ่ายก็ไม่มีทางทราบได้ว่าหานโม่ฉือคือผู้สืบสายโลหิตโดยตรงของเผ่าปีศาจ
“เจ้าได้พลังโกลาหลมาจากที่ใดกัน ?!”
เป็นจริงดังที่คิดไว้ เสียอวิ๋นสันนิษฐานว่าความแปลกประหลาดทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้มาจากพลังโกลาหลในร่างของหานโม่ฉือ
กายโกลาหลเป็นสภาวะร่างกายพิเศษซึ่งมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร แม้แต่เขาเองก็ไม่รับรู้ถึงเบื้องลึกของพลังโกลาหลมากนัก เสียอวิ๋นจึงเชื่อว่าการที่หานโม่ฉือแสดงพลังการต่อสู้ได้อย่างน่าสะพรึงกลัวน่าจะเกี่ยวข้องกับกายโกลาหลดังกล่าว
หานโม่ฉือไม่กล่าวสิ่งใดและเพียงยกยิ้มมุมปากอย่างเยือกเย็นขณะปล่อยการโจมตีเข้าใส่เสียอวิ๋นต่อไป
อย่างไรก็ตาม ครานี้เขาแอบเพิ่มพลังของตนเองมากยิ่งขึ้นซึ่งแม้แต่เสียอวิ๋นก็ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ