เสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่เป็นพี่น้องฝาแฝดและมีสายใยเชื่อมโยงพิเศษระหว่างกันซึ่งทำให้รับรู้ถึงกันและกันได้ทุกเมื่อ อย่างไรก็ตาม การรับรู้ดังกล่าวย่อมมีระยะที่จำกัด
หากอยู่นอกเหนือกว่าระยะจำกัดนั้น ทั้งสองฝ่ายจะไม่สามารถรับรู้ถึงกันและกันได้
โชคดีที่เสี่ยวอ้ายโม่และฉินเทียนปรากฏตัวในเมืองที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากเมืองที่เสี่ยวอ้ายฉืออาศัยอยู่
เวลานี้ เสี่ยวอ้ายฉืออยู่ในช่วงการเก็บตัวบ่มเพาะวิชาและไม่ทันสัมผัสได้ถึงตัวตนของเสี่ยวอ้ายโม่
“เราไปหาเสี่ยวอ้ายฉือกันเถอะ”
ฉินเทียนกล่าวพลางจับมือเสี่ยวอ้ายโม่ไว้แน่น เมื่อเหยียบเข้ามาในดินแดนนี้ เขาก็สัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของบรรดาจอมยุทธ์ในโลกแห่งเทพ ตอนนี้แม้ว่าเขาจะก้าวเข้ามาสู่ขอบเขตเทพยุทธ์อย่างสมบูรณ์แล้ว ทว่าเขาที่อยู่ในดินแดนแห่งนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งนัก แม้ในเมืองเล็ก ๆ ที่ปรากฏตัวในตอนนี้ก็ยังมีจอมยุทธ์ในขอบเขตเทพยุทธ์ปรากฏให้เห็นอยู่ทั่วไป จอมยุทธ์ในขอบเขตราชาเซียนก็มีอยู่มากมายมหาศาล แม้แต่เด็กสาวอายุสิบสามถึงสิบสี่ปีก็มีความแข็งแกร่งที่บรรลุขอบเขตราชาเซียนแล้ว
สภาวะพลังของดินแดนแห่งนี้ก็หนาแน่นกว่าดินแดนมหาเทพเสียอีกและเต็มไปด้วยโอกาสที่ไม่มีทางไขว่คว้าได้ในดินแดนระดับต่ำ ไม่แปลกใจเลยที่จอมยุทธ์ของที่นี่จะแข็งแกร่งมากเช่นนี้
ฉินเทียนไม่รีบร้อนออกไปสืบข่าวทว่าปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์เล็กน้อยและเสี่ยวอ้ายโม่ก็กลายเป็นหลานตัวน้อยที่ดูธรรมดาและไม่โดดเด่น จากนั้นทั้งสองก็เริ่มมุ่งหน้าไปยังทิศทางของเสี่ยวอ้ายฉือ
…..
ณ ดินแดนมหาเทพ สถานการณ์ต่าง ๆ ในดินแดนคลี่คลายแล้ว เวลานี้ฟู่ชางเตรียมตัวนำทางฉินอวี้โม่และอีกสองคนไปยังช่องทางที่นำไปสู่โลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
“ข้าจะรอเจ้าที่โลกแห่งเทพ”
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือจุมพิตกันด้วยความรักเต็มเปี่ยมและพยายามอดกลั้นความเศร้าโศกภายในใจขณะยิ้มให้กันและกัน
“ตกลง ข้าจะรีบไปที่นั่นโดยเร็วและพวกเราจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมกันตาอีกครั้ง”
หานโม่ฉือพยักศีรษะเบา ๆ และกล่าวพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น หากมิใช่เพราะต้องควบคุมสถานการณ์ที่โลกปีศาจเสียก่อน เขาก็คงไม่มีทางยอมพรากจากฉินอวี้โม่อย่างแน่นอน การจากกันครานี้เป็นเพียงการจากกันสั้น ๆ เพื่อการรวมตัวที่ยาวนานยิ่งกว่า และอีกไม่นานพวกเขาจะได้อยู่ด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาอีกครั้ง
ฉินอวี้โม่ อวิ๋นซื่อเทียนและเซิ่งเซียวตามฟู่ชางไปถึงภูเขาด้านหลังสำนักเมฆาครามโดยมีฟู่อวิ๋นซิวตามไปอย่างใกล้ชิด
บุรุษหนุ่มทราบข่าวว่าฉินอวี้โม่และอีกสองคนจะเดินทางไปที่โลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จึงวางแผนที่จะติดตามไปเพื่อสั่งสมประสบการณ์ เมื่อทราบเช่นนั้น ฟู่ชางก็ไม่ขัดขวางแต่อย่างใด หากฟู่อวิ๋นซิวเดินทางไปด้วย เมื่อได้พบกับบรรพบุรุษของตระกูลฟู่ การที่จะติดต่อขอความช่วยเหลือก็จะง่ายดายมากขึ้น
ทันทีที่มาถึงภูเขา ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงสภาวะพลังที่แรงกล้าซึ่งถาโถมเข้ามา สภาวะพลังบนภูเขาแห่งนี้หนาแน่นยิ่งกว่าสภาวะพลังในสำนักเมฆาครามเสียอีก
“สภาวะพลังเหล่านี้รั่วไหลออกมาจากโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ แม้จะหนาแน่นมาก มันก็มีอันตรายซ่อนไว้เช่นกัน ข้ากังวลว่าสภาวะพลังที่หลั่งไหลออกมามากเกินไปจะส่งผลกระทบต่อดินแดนมหาเทพ ข้าจึงวางผนึกไว้รอบบริเวณนี้ นอกจากข้าก็ไม่มีผู้ใดที่จะเปิดมันได้”
ฟู่ชางกล่าวอธิบายกับฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ด้วยวาจาที่แสดงให้เห็นว่าเขาให้ความสำคัญกับช่องทางนี้อย่างมาก
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะด้วยความเข้าใจ หากทราบว่าบนภูเขาหลังสำนักเมฆาครามมีทางเข้าที่นำไปสู่ดินแดนระดับที่สูงกว่า เกรงว่าคนมากมายในดินแดนมหาเทพคงรีบมุ่งหน้ามาที่นี่เป็นแน่ เพราะถึงอย่างไร โลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็เต็มไปด้วยภยันตรายที่แม้แต่จอมยุทธ์อันดับต้น ๆ ของดินแดนมหาเทพก็อาจจะรับมือไม่ได้ นับประสาอะไรกับคนธรรมดาทั่วไปเหล่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น หากเรื่องที่สำนักเมฆาครามมีสถานที่สำหรับฝึกยุทธ์ที่ล้ำค่าเช่นนี้แพร่งพรายออกไป มันจะนำไปสู่การแข่งขันแย่งชิงอย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น สงครามภายในจะทำให้ดินแดนมหาเทพตกอยู่ท่ามกลางสถานการณ์วุ่นวายโกลาหลซึ่งมิใช่ผลดีต่อสำนักเมฆาครามและทั้งดินแดน
เพราะเหตุนั้น การปิดผนึกที่แห่งนี้จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด
ทั้งคณะเดินหน้าขึ้นไปถึงยอดเขาโดยไม่เผชิญกับภยันตรายใด แม้สภาวะพลังของที่นี่จะแน่นหนาอย่างมาก มันก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใดปรากฏให้เห็น
“ถ้าเช่นนั้น สาเหตุที่สำนักเมฆาครามเลือกตั้งรกรากถิ่นฐานอยู่ที่นี่เป็นเพราะบรรพบุรุษของท่านทราบเกี่ยวกับค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้จึงเลือกก่อตั้งสำนักขึ้นที่นี่ใช่รึไม่เจ้าคะ ?”
ฉินอวี้โม่คาดเดาได้อย่างลาง ๆ ว่านี่คือสาเหตุที่สำนักเมฆาครามถูกก่อตั้งขึ้นที่นี่
“ใช่แล้วล่ะ เมื่อบรรพบุรุษของเราค้นพบช่องทางไปสู่ดินแดนในระดับสูงกว่า พวกเขาก็เลือกก่อตั้งสำนักเมฆาครามขึ้นที่นี่ เดิมทีก็เป็นเพราะกังวลว่าคนของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะข้ามมาที่ดินแดนมหาเทพและนำพาอันตรายมาสู่ผู้คน ทว่าในภายหลัง ข้าก็ได้ค้นพบว่านี่เป็นค่ายกลเคลื่อนย้ายทางเดียวที่สามารถผ่านเข้าไปได้ แต่ไม่สามารถกลับออกมา”
ฟู่ชางไม่คิดปิดบังและกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ทุกคนก็เผยรอยยิ้มออกมา แม้ช่องทางที่นำไปสู่ดินแดนระดับสูงนี้จะเป็นประโยชน์ไม่น้อยสำหรับสำนักเมฆาคราม มันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย เพราะเหตุนั้น การเลือกปิดผนึกมันไว้จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับผู้คนทั่วทั้งดินแดนมหาเทพ
เมื่อเดินมาถึงจุดหนึ่ง ฟู่ชางก็โบกมือเล็กน้อยก่อนเกิดเสียงครืนอย่างประหลาดพร้อมกับพื้นดินที่แยกออกตรงกลางก่อนเผยให้เห็นค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ส่องแสงสว่าง
“สหายน้อยอวี้โม่ เจ้าและทุกคนต้องระวังตัวให้มากเมื่อไปที่โลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ หากรับมือกับสถานการณ์ที่นั่นไม่ได้ พวกเจ้าก็กลับมาได้ทุกเมื่อ แม้เราจะช่วยอะไรได้ไม่มาก ในดินแดนมหาเทพก็จะมีบ้านให้พวกเจ้ากลับมาได้เสมอ !”
เขากล่าวกำชับฉินอวี้โม่และทุกคนอีกครั้งด้วยความรู้สึกกังวลในใจ
“เจ้าค่ะ ท่านลุงฟู่วางใจได้เลย เราจะระวังตัวเป็นอย่างดี เมื่อมีโอกาสในภายภาคหน้า พวกเราจะกลับมาที่ดินแดนมหาเทพเพื่อเยี่ยมเยือนทุกท่านอย่างแน่นอน”
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ พยักศีรษะยืนยันก่อนก้าวเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายตรงหน้า
ทันใดนั้น คลื่นพลังรุนแรงก็ปะทะเข้าใส่พวกนางอย่างจังจนแทบหมดสติไป
ทั้งสี่จับมือกันไว้แน่นเพื่อป้องกันมิให้คลื่นพลังรุนแรงดังกล่าวแยกพวกตนออกจากกัน ราวกับว่าพวกนางข้ามผ่านระยะทางหนึ่งปีแสงไปเมื่อเกิดแสงสว่างวาบและพวกนางถูกส่งไปยังทะเลสาบอันหนาวเหน็บ
“หนาวชะมัด…”
อวิ๋นซื่อเทียนกระโดดออกจากทะเลสาบและบ่นพึมพำ เท้าของนางในตอนนี้หนาวเหน็บจนแทบแข็งทื่อ
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็เหาะออกจากทะเลสาบเช่นกันก่อนกวาดสายตาสังเกตรอบตัวเพื่อระบุว่าพวกตนอยู่ที่ใด
ตอนนี้พวกนางอยู่บนภูเขาสูงแห่งหนึ่งซึ่งล้อมรอบไปด้วยสภาวะพลังที่อุดมสมบูรณ์อย่างยิ่งและหนาแน่นยิ่งกว่าดินแดนมหาเทพหลายเท่าตัว นอกจากนี้ พวกนางก็ไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายของสิ่งมีชีวิตอื่นใด นอกเหนือจากทะเลสาบน้ำเย็นตรงหน้า ที่แห่งนี้ก็เหมือนจะเป็นภูเขารกร้างธรรมดา ๆ
พื้นที่รอบตัวที่ปราศจากร่องรอยของจอมยุทธ์คนอื่น ๆ พิสูจน์ให้เห็นว่าที่แห่งนี้มิใช่สถานที่ฝึกยุทธ์ที่ได้รับความนิยมเท่าใดนัก
คณะจอมยุทธ์ต่างถิ่นทั้งสี่เดินออกไปสำรวจรอบ ๆ บริเวณและไม่พบเบาะแสใด เนื่องจากไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ พวกนางจึงไม่สามารถบอกได้เลยว่าพวกตนอยู่ที่ใด
“เราบ่มเพาะพลังกันที่นี่สักพักเถอะ หลังจากนั้นเราจะออกตามหาพี่ฉินเฟิงและพี่ฉินเหยียน”
เซิ่งเซียวกล่าวเสนอออกไปทันที ในเวลานี้ความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนอยู่ในช่วงชะงักงัน ในขณะที่ความแข็งแกร่งของฟู่อวิ๋นซิวเข้าใกล้การทะลวงพลังเต็มที การใช้เวลาบ่มเพาะพลังอยู่ที่นี่อาจช่วยให้ทะลวงพลังได้สมบูรณ์และก้าวไปเข้าสู่ขอบเขตเทพยุทธ์ได้เต็มตัว
โลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เป็นสถานที่ที่มีระดับพลังเหนือกว่าดินแดนมหาเทพมากนัก เพราะเหตุนั้น พลังในขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงสุดจึงไม่เพียงพออีกต่อไปและพวกเขาจะต้องพัฒนาตนให้แข็งแกร่งเพื่อที่จะปกป้องตัวเองได้
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ไม่คัดค้านและมีความคิดในทำนองเดียวกัน
ทุกคนแยกย้ายกระจายตัวกันไปในมุมต่าง ๆ ก่อนนั่งลงหลับตาและเริ่มการบ่มเพาะพลัง…
ภายในชั่วพริบตา เวลาก็ผ่านไปครึ่งปีแล้ว
ตูมมม !
ในเวลานี้ เกิดการผันผวนที่รุนแรงบนอากาศก่อนที่ฟู่อวิ๋นซิวและอวิ๋นซื่อเทียนจะลืมตาขึ้นมาพร้อมกัน เรียกได้ว่าทั้งสองทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตเทพยุทธ์ได้ในเวลาเดียวกัน
“ขอแสดงความยินดีด้วย”
ทั้งสองกล่าวแสดงความยินดีให้กันและกันพร้อมรอยยิ้ม การทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตเทพยุทธ์หมายความว่าพวกเขามีฝีมือมากพอที่จะปกป้องตัวเองได้ซึ่งจะเป็นผลดีสำหรับแผนการต่อ ๆ ไป
“ข้ายังขาดอีกนิดเดียวเท่านั้น”
เมื่อฉินอวี้โม่สัมผัสได้ว่าสหายทั้งสองทะลวงพลังได้สำเร็จ นางก็ลืมตาและลุกขึ้นยืนก่อนส่ายศีรษะอย่างจนปัญญาเล็กน้อย
ในกระบวนการทะลวงพลังของนาง นางจำเป็นต้องใช้พลังงานในปริมาณมหาศาลและต้องอาศัยโอกาสที่เหมาะสมเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ยังไม่มีโอกาสเหล่านั้น การทะลวงพลังของนางจึงไม่ราบรื่นอย่างที่คิดไว้