หลังจากหยุดพักในระยะสั้น ๆ ทั้งสี่ก็ออกเดินลงจากภูเขาไปตามทางเดินที่ทอดยาว
เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาความวุ่นวายที่อาจเผชิญ ฉินอวี้โม่และทุกคนจึงกินโอสถแปลงกายเข้าไปและปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอกเป็นการชั่วคราว
ทั้งฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนปรับเปลี่ยนลักษณะเพียงบางอย่างเท่านั้นและยังคงเป็นสตรีที่มีอายุอ่อนวัยเช่นเดิมโดยที่มีรูปลักษณ์ที่โดดเด่น ในขณะที่เซิ่งเซียวและฟู่อวิ๋นซิวดูธรรมดามากยิ่งขึ้นและเสแสร้งแสดงว่าตนเองเป็นทหารองครักษ์ของสตรีทั้งสองซึ่งโดยรวมแล้วทำให้ไม่เป็นที่สะดุดตามากนัก
ต่อให้บางคนของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะทราบเกี่ยวกับตัวตนของฉินอวี้โม่ หากได้พบใบหน้าในตอนนี้ คนเหล่านั้นก็ไม่มีทางจดจำนางได้อย่างแน่นอน
คณะคนทั้งสี่เดินลงจากภูเขาต่อไปเรื่อย ๆ โดยไม่พบกับผู้ใด หลังจากเดินทางนานพอสมควร พวกนางก็ปรากฏตัวข้างหน้าเมืองหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘เมืองฝู่ฮว๋า’ ซึ่งเป็นเมืองที่ดูไม่ยิ่งใหญ่หรือโอ่อ่ามากจนเกินไป
เมืองฝู่ฮว๋าเป็นเมืองระดับสองขนาดเล็กซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และมีผู้คนสัญจรไปมาเพียงไม่มากนัก ในเวลานี้ทั้งสี่ก็ยังไม่ตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนในเมือง
ฉินอวี้โม่และอีกสามคนเดินตรงเข้าไปในตัวเมืองเพื่อตามหาโรงเตี๊ยมและเช่าห้องพักจำนวนหนึ่งก่อนเรียกเถ้าแก่โรงเตี๊ยมเข้ามาเพื่อสอบถาม
“เถ้าแก่ พวกเราขอถามอะไรจะได้รึไม่ ?”
ฟู่อวิ๋นซิวหยิบโอสถระดับเจ็ดออกมาและยื่นให้กับเถ้าแก่โรงเตี๊ยม
เนื่องจากไม่ทราบถึงสถานการณ์ของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และไม่ทราบว่าคนที่นี่ใช้สกุลเงินแบบใดเพื่อแลกเปลี่ยน ทั้งสี่จึงคิดเห็นตรงกันว่าควรใช้สิ่งของแลกเปลี่ยนไปก่อนซึ่งจะเพิ่มความลึกลับน่าค้นหามากยิ่งขึ้น
“ท่านจอมยุทธ์ทั้งหลาย เชิญถามตามสบายขอรับ”
เถ้าแก่ไม่ปฏิเสธและรับโอสถระดับเจ็ดนั้นไว้ แววตาของเขาแสดงถึงความเคารพมากยิ่งขึ้นทันที เขาเองก็ได้พบคนมามากหน้าหลายตาทว่ามีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่จะมีโอสถระดับเจ็บในการครอบครอง ยิ่งไปกว่านั้น คนทั้งสี่ก็มีลักษณะท่าทางที่ดูดีไม่น้อยและคาดว่าจะต้องมีสถานะที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน บุรุษหนุ่มสองคนที่ดูเหมือนเป็นองครักษ์ก็มีพลังอยู่ในขอบเขตเทพยุทธ์และถือว่าเป็นจอมยุทธ์ที่ทรงพลังอย่างแท้จริง
“เถ้าแก่มีความข้อมูลเกี่ยวกับตระกูลเยี่ยบ้างรึไม่ ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา ตระกูลเยี่ยคือจุดมุ่งหมายต่อไปของพวกนาง
“ตระกูลเยี่ย…?”
สีหน้าของเถ้าแก่โรงเตี๊ยมเปลี่ยนไปเล็กน้อยและเขากวาดสายตามองคนทั้งสี่ด้วยแววตาสงสัยก่อนเอ่ยถาม “ท่านจอมยุทธ์ทั้งหลายหมายถึงตระกูลเยี่ย—หนึ่งในตระกูลใหญ่ของเมืองเซิ่งหลิงหรือขอรับ ?”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบา ๆ และถามต่อ “ในช่วงนี้มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นในตระกูลเยี่ยบ้างหรือไม่ ?”
เถ้าแก่ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนกล่าวตอบ “ท่านจอมยุทธ์ขอรับ เมืองเล็ก ๆ ของเราตั้งอยู่ไกลจากเมืองเซิ่งหลิงมากนัก เราไม่ทราบเหตุการณ์ใหญ่ที่เกิดขึ้นที่นั่น ข้าทราบเพียงว่าเมื่อหนึ่งหรือสองปีก่อน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะพบตัวคุณชายใหญ่ของตระกูลเยี่ยที่หายสาบสูญมานานหลายปี และหลังจากนั้นข้าก็ไม่เคยได้ยินข่าวคราวใดอีกเลย”
เมืองฝู่ฮว๋าตั้งอยู่ในทางตะวันตกสุดของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในขณะที่เมืองเซิ่งหลิงตั้งอยู่ในทางตะวันออกสุดซึ่งห่างไกลกันมากนัก อีกทั้งเมืองฝู่ฮว๋าแห่งนี้ก็เป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ หากมีข่าวสารใด มันก็ต้องใช้เวลานานกว่าที่พวกเขาจะทราบได้ ข่าวสารล่าสุดที่เขาได้ยินเกี่ยวกับเมืองเซิ่งหลิงก็คือการที่ตระกูลเยี่ยพบตัวคุณชายใหญ่ที่หายตัวไปเนิ่นนานซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจอย่างมาก นับตั้งแต่นั้นมา เขาก็ไม่เคยได้ยินข่าวคราวเพิ่มเติมอีกเลย
“ถ้าเช่นนั้น…มีความเป็นไปได้สูงว่าศิษย์พี่ของข้าจะเป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลเยี่ยที่พวกเขาเพิ่งพบตัว”
หากพิจารณาจากช่วงเวลาที่ข่าวเรื่องนั้นแพร่ออกมา มันก็เป็นช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกันอย่างแท้จริง จากข้อมูลดังกล่าว คาดเดาได้ไม่ยากว่าคุณชายใหญ่ของตระกูลเยี่ยที่เพิ่งถูกพบตัวจะเป็นฉินเฟิงที่พวกนางกำลังออกตามหา
ในอดีต ฉินเฟิงปรากฏตัวในดินแดนเทพมายาและกลายเป็นศิษย์ของฉินเฟยเหยียนมานานนับพันปี ทว่าเขาถูกส่งไปที่ดินแดนเทพมายาและกลายเป็นศิษย์ของฉินเฟยเหยียนได้อย่างไร ? รวมถึงตระกูลเยี่ยระบุตัวตนที่แท้จริงของเขาได้อย่างไร ? คำถามเหล่านี้มีเพียงตระกูลเยี่ยเท่านั้นที่จะให้คำตอบได้
“ขอบคุณเถ้าแก่มาก เถ้าแก่พอจะมีแผนที่ของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ให้พวกเราหรือไม่ ?”
ฉินอวี้โม่กล่าวขอบคุณเถ้าแก่โรงเตี๊ยมและถือโอกาสถามหาแผนที่ของดินแดน
“ท่านจอมยุทธ์ทั้งหลายคงจะมิใช่คนของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สินะขอรับ ?”
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมอดเอ่ยถามออกไปไม่ได้ เขาเองก็พอจะคาดเดาเกี่ยวกับคนทั้งสี่อยู่ในใจแล้วและเพียงต้องการยืนยันให้แน่ชัดเท่านั้น
“เรามิใช่คนของที่นี่หรอก”
ฉินอวี้โม่ไม่คิดปฏิเสธและกล่าวออกไปตามความจริงเนื่องจากทราบดีว่าอีกฝ่ายเพียงถามด้วยความสงสัยใคร่รู้เท่านั้น คนที่มีไหวพริบดีเช่นนี้ทราบดีว่าควรกล่าวหรือไม่กล่าวสิ่งใด ต่อให้จะทราบว่าฉินอวี้โม่และสหายทั้งสามมิใช่คนของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เถ้าแก่โรงเตี๊ยมก็ไม่มีทางป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไป
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็ขอเตือนทุกท่านว่าขุมกำลังใหญ่ของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ล้วนทรงพลังทั้งสิ้น หากเป็นไปได้ ทุกท่านอย่าประจันหน้ากับพวกเขาจะดีกว่า หากต้องการไปที่ตระกูลเยี่ย พวกท่านจะต้องระวังตัวไว้ให้มาก”
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมหยิบแผนที่ออกมาและกล่าวกำชับคนทั้งสี่
“ขอบคุณเถ้าแก่มาก ทว่าพวกเราก็เข้าใจดี ยิ่งไปกว่านั้น เราเพียงมาตามหาใครบางคนเท่านั้นและไม่ได้ต้องการมีเรื่องกับผู้ใด เราคงไม่เผชิญกับอันตรายใดหรอก”
ฉินอวี้โม่รับแผนที่จากมืออีกฝ่ายและกล่าวขอบคุณพร้อมรอยยิ้ม
หลังจากปล่อยให้เถ้าแก่ไปจัดการธุระอื่น ๆ ฉินอวี้โม่และทุกคนก็เริ่มศึกษาแผนที่กัน
ในช่วงเที่ยงของวันมีผู้คนจำนวนมากเข้ามารับประทานอาหารในห้องอาหารของโรงเตี๊ยม ฉินอวี้โม่และสหายทั้งสามนั่งอยู่ที่โต๊ะในมุมหนึ่งโดยไม่ดึงดูดสายตาของผู้ใด หลังจากศึกษาแผนที่ก็พบว่าระยะทางระหว่างเมืองเซิ่งหลิงและเมืองฝู่ฮว๋าห่างไกลกันมากจริง ๆ ด้วยการเดินทางตามความเร็วปกติ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสองถึงสามเดือนก่อนที่จะไปถึงเมืองเซิ่งหลิงได้
หากเกิดเรื่องใดในระหว่างทาง เกรงว่าอาจไม่สามารถไปถึงที่เมืองเซิ่งหลิงได้ภายในเวลาหนึ่งปีครึ่งด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม เมืองใหญ่แต่ละเมืองในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มีค่ายกลเคลื่อนย้ายสำหรับการเดินทางอยู่ ตราบใดที่ไปถึงเมืองใหญ่ที่อยู่ใกล้ที่สุดและไปหาเจ้าเมืองของที่นั่น พวกนางก็จะสามารถใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายเพื่อเดินทางไปที่เมืองเซิ่งหลิงโดยตรงได้
เมืองระดับหนึ่งที่อยู่ใกล้จุดที่ฉินอวี้โม่อยู่มากที่สุดก็คือ ‘เมืองซีเยว่’ ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่เมืองหลักของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
หลังจากไตร่ตรองดู ฉินอวี้โม่และทุกคนก็ตัดสินใจเดินทางไปที่เมืองซีเยว่เพื่อขอยืมใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายของที่นั่นและเดินทางไปที่เมืองเซิ่งหลิง
สำหรับการยืมใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายนั้นก็ไม่มีเงื่อนไขพิเศษใด ผู้ที่ต้องการใช้มันเพียงต้องจ่ายเงินในจำนวนที่มากพอเท่านั้น
หลังจากยืนยันจุดหมายต่อไป ทั้งสี่ก็เริ่มรับประทานอาหารกันอย่างผ่อนคลาย
“เถ้าแก่ รีบเตรียมห้องที่ดีที่สุดของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ให้กับคุณหนูของเรา !”
ทันใดนั้น น้ำเสียงทะนงตนก็ดังขึ้นในหูของทุกคนก่อนที่คนกลุ่มหนึ่งจะเดินเข้ามา
ผู้ที่เดินนำหน้าคนทั้งกลุ่มคือสตรีรูปงามที่มีอายุอยู่ในช่วงยี่สิบปี
ฉินอวี้โม่เคยพบหน้าสตรีนางนี้มาก่อนและเคยมีความขัดแย้งต่อกัน สตรีผู้นี้ก็คือหนิงยวี่ย่วน—คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลหนิงที่ปรากฏตัวในงานประมูลของตระกูลหลานและข่มขู่ฉินอวี้โม่ก่อนหน้านี้นั่นเอง
สีหน้าของหนิงยวี่ย่วนในตอนนี้แสดงความหงุดหงิดออกมาอย่างชัดเจนขณะกวาดสายตามองทุกคนในโรงเตี๊ยม
“เจ้าเมืองฝู่ฮว๋าช่างกล้ายิ่งนักที่ปฏิเสธคำขอของข้า อันที่จริงข้าควรที่จะได้พักในจวนเจ้าเมือง ทว่าตอนนี้กลับต้องออกมาพักในโรงเตี๊ยมเก่า ๆ ทรุดโทรมนี่ เมื่อคุณหนูผู้นี้กลับไป ข้าจะบอกเรื่องนี้กับท่านพ่อและให้ท่านพ่อสั่งสอนเจ้าเมืองฝู่ฮว๋าให้รู้สำนึก !”
นางกล่าวด้วยน้ำเสียงโมโหและฉุนเฉียวอย่างไม่ปิดบัง
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมผู้ซึ่งมีใบหน้ายิ้มแย้มก่อนหน้านี้เมื่อได้ยินวาจาของหนิงยวี่ย่วน รอยยิ้มของเขาจึงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะรีบปรับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
“ท่านจอมยุทธ์ทั้งหลายขอรับ ต้องขออภัยด้วย โรงเตี๊ยมเล็ก ๆ ของเราไม่เหลือห้องว่างอีกแล้ว เชิญพวกท่านไปสอบถามที่อื่นเถิดขอรับ”
เขากล่าวปฏิเสธอย่างมีชั้นเชิง ถึงอย่างไรโรงเตี๊ยมชำรุดทรุดโทรมของเขาก็ไม่สามารถรองรับคนกลุ่มใหญ่และ ‘สูงส่ง’ เหล่านี้ได้