ซากปรักหักพังของต้นไม้โลกถูกค้นพบโดยจอมยุทธ์ที่ทรงพลังผู้หนึ่งซึ่งบังเอิญผ่านไปในทิศทางนั้นเมื่อหลายวันก่อน
หลังจากค้นพบซากปรักหักพัง เขาก็ไม่รอช้าและกระจายข่าวออกไปทันที
แม้ว่าขุมกำลังจำนวนมากจะได้ทราบเรื่องนี้กันอย่างถ้วนหน้า พวกเขาก็ไม่มั่นใจในความน่าเชื่อถือของข่าวสารดังกล่าวเท่าใดนัก
ขุมกำลังระดับหนึ่งเกือบทั้งหมดไม่มีทีท่าสนใจมากนัก คนส่วนใหญ่ที่เดินทางมาในครานี้จึงเป็นคนของขุมกำลังระดับสอง
ตระกูลไป๋และตระกูลหนิงก็ถือเป็นขุมกำลังระดับสองอันดับต้น ๆ ของดินแดน
“เดิมทีมันไม่เป็นที่สนใจของขุมกำลังระดับหนึ่งแม้แต่แห่งเดียว ทว่าคนจากตระกูลสาขาของตระกูลเยี่ยกลับบังเอิญอยู่ในละแวกนี้พอดิบพอดี เมื่อได้ทราบข่าว พวกเขาจึงรีบเดินทางมาเช่นกัน เพราะเหตุนั้น ในบรรดาทุกขุมกำลังที่มาที่นี่ ตระกูลเยี่ยจึงอยู่ในระดับสูงที่สุด แม้แต่ตระกูลไป๋และตระกูลหนิงก็ยังต้องเกรงใจพวกเขา”
การได้ทราบเช่นนี้ทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที ในขณะที่นางกำลังคิดอยู่ว่าจะสืบข่าวเกี่ยวกับตระกูลเยี่ยอย่างไร ไม่คาดคิดว่าคนจากตระกูลเยี่ยจะนำตัวมาถวายถึงที่เช่นนี้
แม้เป็นเพียงตระกูลสาขา พวกเขาก็ย่อมทราบเกี่ยวกับสถานการณ์ของตระกูลเยี่ยพอสมควร หากสืบถามจากคนเหล่านั้น คาดว่านางอาจได้เบาะแสเกี่ยวกับศิษย์พี่และพี่สะใภ้ก็เป็นได้
“สหายน้อยทั้งหลาย ต้นไม้โลกเป็นตัวตนที่สร้างดินแดนมากมายนับไม่ถ้วนระหว่างการเติบโต ซากปรักหักพังของมันย่อมเป็นสิ่งที่พิเศษมากทว่าเต็มไปด้วยภยันตรายเช่นกัน แม้พรสวรรค์และความแข็งแกร่งของพวกเจ้าจะยอดเยี่ยม พวกเจ้าก็ยังต้องเผชิญกับวิกฤตเมื่อเข้าไปในซากปรักหักพัง เพราะเหตุนั้น เราควรจะร่วมมือกันจะดีกว่าและเราอาจได้ของดีจากซากปรักหักพังของต้นไม้โลก”
ไป๋เสี่ยวหลงกล่าวด้วยท่าทางสงบนิ่งและระบุจุดประสงค์อย่างไม่ปิดบัง การเชิญชวนคนทั้งสี่มาร่วมมือด้วยถือเป็นการให้ความสำคัญกับความแข็งแกร่งของพวกนางมาก หากฉินอวี้โม่และสหายไม่แข็งแกร่งมากพอ ไป๋เสี่ยวหลงไม่มีทางกล่าวเชิญชวนด้วยตัวเองอย่างแน่นอน
“ด้วยความยินดีเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่และทุกคนสบตากันเล็กน้อยและเข้าใจตรงกันทันที บุคลิกนิสัยของไป๋เสี่ยวหลงผู้นี้น่าประทับใจไม่น้อยและการร่วมมือกับตระกูลไป๋ของเขาก็มิใช่สิ่งที่เลวร้ายสำหรับพวกนาง
ฉินอวี้โม่และสหายทั้งสามไม่ทราบเกี่ยวกับซากปรักหักพังและดินแดนแห่งนี้มากนัก หากมีตระกูลไป๋คอยชี้แนะ การสำรวจของพวกนางก็จะราบรื่นขึ้นมาก
“สหายน้อยทั้งหลายมิใช่คนของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ใช่รึไม่ ?”
ไป๋เสี่ยวหลงเอ่ยถามลองเชิงโดยไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะตอบคำถามของตน
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ พวกเรามาจากดินแดนมหาเทพและมาที่โลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เพื่อตามหาใครบางคน”
ฉินอวี้โม่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง เมื่อชั่งใจแล้วว่าคงจะสอบถามข้อมูลจากไป๋เสี่ยวหลงได้บ้าง นางจึงกล่าวออกไปตามตรง
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่ทราบว่าคนที่พวกเจ้ากำลังตามหามีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไรรึ ? ข้าอาจจะช่วยสืบหาข่าวได้”
เป็นจริงดังที่คิดไว้ ไป๋เสี่ยวหลงเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้นทันที
“คนที่เรากำลังตามหาคือศิษย์พี่และพี่สะใภ้ของข้าซึ่งมีนามว่าฉินเฟิงและฉินเหยียน พวกเขาถูกคนของตระกูลเยี่ยจับตัวไป ไม่ทราบเลยว่าตอนนี้พวกเขายังอยู่ที่ตระกูลเยี่ยรึไม่…”
ฉินอวี้โม่เริ่มเล่าถึงสถานการณ์ของฉินเฟิงและฉินเหยียนขณะมองไป๋เสี่ยวหลงด้วยแววตาคาดหวัง
ตระกูลไป๋ก็เป็นขุมกำลังระดับสองในเมืองเซิ่งหลิงและมีความแข็งแกร่งมากพอสมควร บางทีพวกเขาอาจทราบสถานการณ์ของตระกูลเยี่ยก็เป็นได้
“ฉินเฟิง…ฉินเหยียน…ข้าไม่เคยได้ยินสองชื่อนี้มาก่อน”
ไป๋เสี่ยวหลงใช้ความคิดครู่หนึ่งและมั่นใจว่าไม่เคยได้ยินชื่อของทั้งสองมาก่อน แม้ว่าเขาเองก็ทราบเกี่ยวกับตระกูลเยี่ยและคนของตระกูลนั้นมากพอสมควรก็ตาม
“แต่ทว่า…มีใครคนหนึ่งที่มีสถานการณ์คล้ายคลึงกับที่เจ้ากล่าวมา หากข้าจำไม่ผิด ดูเหมือนว่าคุณชายของตระกูลเยี่ยที่เพิ่งถูกพบตัวเมื่อไม่นานมานี้จะมีนามว่าเยี่ยเฟิง หากพิจารณาจากช่วงเวลาที่เขากลับมาที่ตระกูลเยี่ย มันก็ประจวบเหมาะกับเวลาที่เจ้ากล่าวถึงและมีโอกาสสูงที่เขาจะใช่คนเดียวกันกับฉินเฟิง”
หลังจากไตร่ตรองเล็กน้อย เขาก็กล่าวเสริมขึ้นมา
เขาไม่มั่นใจนักว่าเยี่ยเฟิงคือฉินเฟิงที่ฉินอวี้โม่ตามหาหรือไม่ ทว่าก็มีความเป็นไปได้ถึงแปดในสิบส่วนที่ทั้งสองจะเป็นคนเดียวกัน
“ตอนนี้สถานการณ์ของเขาเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ?”
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ คาดเดาไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าคุณชายใหญ่ของตระกูลเยี่ยจะต้องเป็นฉินเฟิงที่พวกตนตามหา เพียงแต่ตอนนี้พวกนางได้รับคำยืนยันจากปากของไป๋เสี่ยวหลง
“ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกัน ในตอนแรกมีข่าวแพร่ออกมาว่าตระกูลเยี่ยพบตัวนายน้อยเยี่ยเฟิงที่หายตัวไปนานหลายปี ทว่าหลังจากนั้นข่าวทั้งหมดเกี่ยวกับเขาก็ถูกปิดกั้นอย่างสิ้นเชิง คนของเมืองเซิ่งหลิงทราบเพียงสถานการณ์โดยรวมของตระกูลเยี่ย สำหรับคุณชายใหญ่ที่หายตัวไปนานและเพิ่งพบตัวนั้น ไม่มีผู้ใดได้เห็นหน้าค่าตาของเขาจริง ๆ เสียที”
ไป๋เสี่ยวหลงส่ายศีรษะเบา ๆ กล่าวได้ว่าเรื่องนี้เป็นความลับสุดยอดของตระกูลเยี่ย เว้นเพียงแต่ข่าวสารบางอย่างที่ถูกเผยแพร่ออกมาในตอนที่พบตัวเขา ทุกคนก็ไม่เคยได้ยินข่าวความคืบหน้าใดเพิ่มเติมอีกเลย คุณชายใหญ่ตระกูลเยี่ยผู้นั้นลึกลับอย่างยิ่งและไม่เคยปรากฏตัวให้คนนอกได้เห็น เพราะเหตุนั้น หลายคนจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าตระกูลเยี่ยพบตัวคุณชายแล้วจริง ๆ หรือไม่…
“แม้ข้าไม่ทราบข้อมูลเกี่ยวกับคุณชายใหญ่ของตระกูลเยี่ย ทว่าตระกูลเยี่ยก็เป็นตระกูลที่ยุ่งเหยิงมากและมักเกิดความขัดแย้งที่รุนแรงกันเอง คุณชายใหญ่ของตระกูลคือผู้สืบอำนาจที่ชอบธรรม เกรงว่าคงมีคนไม่น้อยที่ไม่ต้องการให้เขากลับมา เพราะฉะนั้นแล้วข้าจึงคิดว่าสถานการณ์ของเขาในตอนนี้อาจไม่ดีนัก”
เขากล่าวต่อเนื่องจากเข้าใจธรรมชาติของตระกูลเยี่ยพอสมควร
“ขอบคุณผู้นำไป๋ที่บอกความจริงกับพวกเราเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวขอบคุณไป๋เสี่ยวหลงพร้อมรอยยิ้ม สิ่งที่ได้ทราบในวันนี้เป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่างมาก อย่างน้อยที่สุดนางก็มั่นใจได้แล้วว่าฉินเฟิงอยู่ที่ตระกูลเยี่ยจริง แม้ยังไม่ทราบว่าเขาเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ตาม
สำหรับฉินเหยียนที่เดินทางมากับเยี่ยซาและคณะก่อนหน้านี้ นางก็อาจจะอยู่ที่ตระกูลเยี่ยเช่นกัน สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือฉินอวี้โม่และสหายจะต้องเข้าไปสำรวจในซากปรักหักพังของต้นไม้โลกเสียก่อน เมื่อเสร็จสิ้นเรื่องของที่นี่ พวกนางจึงจะเริ่มตามหาคนทั้งสองอย่างจริงจัง
ไม่ว่าตระกูลเยี่ยจะเต็มไปด้วยภยันตรายเพียงใด พวกนางก็จะช่วยฉินเฟิงและฉินเหยียนฝ่าฟันอุปสรรคทุกอย่างไปด้วยกัน
“ซากปรักหักพังจะปรากฏในอีกสามวัน เมื่อถึงตอนนั้น เราจะไปพบกันที่หน้าประตูเมืองเพื่อเดินทางไปที่นั่นด้วยกัน”
ไป๋เสี่ยวหลงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาและกล่าวถึงแผนการที่เตรียมไว้
ครานี้ผู้ที่อยู่ในคณะเดินทางของตระกูลไป๋ล้วนเป็นบุคคลสำคัญของตระกูล นอกเหนือจากไป๋เสี่ยวหลงก็ยังมีผู้อาวุโสหลายคนและศิษย์มากพรสวรรค์จำนวนหนึ่ง ก่อนหน้านี้ไป๋เสี่ยวหลงออกไปจัดการธุระบางอย่างนอกเมืองและบังเอิญเห็นการประจันหน้าระหว่างตระกูลหนิงและกลุ่มของฉินอวี้โม่ เพราะเหตุนั้น เขาจึงแวะไปที่นั่นด้วยความสงสัยใคร่รู้
เวลานี้สมาชิกคนอื่น ๆ ของตระกูลไป๋ก็พักอยู่ในโรงเตี๊ยมและคนเหล่านั้นจะไม่ปรากฏให้เห็นจนกระทั่งถึงวันที่ซากปรักหักพังปรากฏ
ฉินอวี้โม่และสหายทั้งสามพยักศีรษะแสดงความเข้าใจ หลังจากวันนี้ ตระกูลหนิงคงไม่กล้ากวนใจพวกนางอีกต่อไปและกล่าวได้ว่าชื่อเสียงของพวกตนก็เริ่มโด่งดังในบริเวณเมืองฝู่ฮว๋าจากการต่อสู้ครานั้นแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้พวกนางก็ตกลงร่วมมือกับตระกูลไป๋ ไม่ว่าผู้ใดที่คิดจะมีเรื่องกับพวกนางก็คงต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนเสียก่อน
เมื่อทั้งสี่กลับถึงโรงเตี๊ยม เถ้าแก่โรงเตี๊ยมก็มีท่าทีนอบน้อมต่อพวกนางยิ่งกว่าเดิม สายตาที่คนอื่น ๆ มองฉินอวี้โม่และสหายก็เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเช่นกัน ความสามารถในการต่อสู้ของจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ทั้งสี่คนนี้น่าสะพรึงกลัวจนเกินไปและสามารถทำให้จอมยุทธ์ในขอบเขตเทพยุทธ์หกดาราไร้พลังในการต่อสู้ได้ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่ออย่างแท้จริง
ตลอดช่วงสองวันต่อมา ฉินอวี้โม่และสหายก็ไม่ออกไปที่ใดและเก็บตัวอยู่ภายในโรงเตี๊ยมเพื่อปรับสภาวะพลังในร่างกายให้เสถียรคงที่ คนตระกูลหนิงก็ไม่มากวนใจพวกนางอีกและทุกอย่างเงียบสงบราวกับเหตุการณ์ปะทะก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้น
ก่อนหน้านี้ไป๋เสี่ยวหลงได้ส่งข่าวมาบอกพวกนางแล้วว่าเขาต้องจัดการธุระบางอย่างและจะกลับมาทันทีที่จัดการธุระเสร็จสิ้น
เช้าตรู่ของวันที่สาม ฉินอวี้โม่และคณะก็มุ่งหน้าไปยังประตูเมืองของเมืองฝู่ฮว๋าอย่างรวดเร็ว
ผู้คนจำนวนมากได้มารวมตัวกันที่นี่แล้วและกล่าวได้ว่าแทบทุกคนที่ต้องการเข้าไปสำรวจซากปรักหักพังล้วนปรากฏตัวอยู่ที่นี่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว
ทันทีที่ปรากฏตัว คนทั้งสี่ก็ตกเป็นเป้าสายตาของทุกคน
“พวกเจ้าทั้งสี่คือคนที่เอาชนะหนิงหม่านโหลวในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ใช่รึไม่ ?”
น้ำเสียงทะนงตนดังขึ้นในหูของฉินอวี้โม่และสหาย จากนั้นคนกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามาตรงหน้าอย่างช้า ๆ
.
.