ฉินอวี้โม่ทราบดีว่าเยี่ยซีหมายหัวพวกตนมาตั้งแต่ต้นและจะมีลิ่วล้อของตระกูลเยี่ยที่คอยยุแยงอยู่เป็นจำนวนมาก เพราะเหตุนั้น นางจึงไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย
ทันทีที่นางกำลังจะเอ่ยปากตอบโต้ ใครคนหนึ่งก็กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเสียก่อน “นี่มันเรื่องอะไรกัน ? นี่เป็นซากปรักหักพังที่ถูกพบโดยบังเอิญและไม่ได้เตรียมไว้เฉพาะสำหรับผู้ที่มีพลังในขอบเขตเทพยุทธ์ขึ้นไป เหตุใดจึงจะกีดกันพวกเราเช่นนี้ ?”
เมืองฝู่ฮว๋าเป็นเพียงเมืองขนาดเล็กเท่านั้น เป็นธรรมดาที่ความแข็งแกร่งของประชากรที่นี่จะไม่สูงมากนักและยังมีหลายคนที่อยู่ในขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงสุด
กล่าวได้ว่าข้อเสนอของเยี่ยซีจุดชนวนความไม่พอใจของสาธารณะได้อย่างแท้จริง
“เหอะ ซากปรักหักพังของต้นไม้โลกเป็นสถานที่ที่อันตรายมาก ต่อให้พวกเจ้าจอมยุทธ์ราชาเซียนเข้าไป มันก็เป็นเพียงแค่การเข้าไปหาความตายเท่านั้น นายน้อยของเรากำลังคำนึงถึงชีวิตของพวกเจ้าแท้ ๆ ทว่าพวกเจ้ากลับไม่รู้สำนึก !”
ลิ่วล้อของตระกูลเยี่ยอีกคนกล่าววาจาปกป้องเยี่ยซีอย่างรวดเร็ว
“เหอะ ยังไม่ได้เข้าไปข้างในด้วยซ้ำ พวกเจ้าทราบได้อย่างไรว่าคนที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตเทพยุทธ์จะต้องตาย ? แม้ความแข็งแกร่งของนายน้อยของเจ้าจะอยู่ในขอบเขตเทพยุทธ์สี่ดารา เชื่อหรือไม่ว่าเขามิใช่คู่มือของอวี้โม่ของเราด้วยซ้ำ”
อวิ๋นซื่อเทียนแค่นเสียงเย้ยหยันและชำเลืองมองบุรุษผู้นั้นอย่างดูถูกเหยียดหยาม
“นั่นสิ ขอบเขตเทพยุทธ์แล้วมีสิทธิพิเศษอย่างไรเล่า ? พวกเจ้าเพียงโชคดีที่มีทรัพยากรมากกว่าจึงมีโอกาสทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตเทพยุทธ์ก็เท่านั้น มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับฝีมือที่แท้จริงเลยสักนิด”
คนอื่น ๆ เห็นด้วยและกล่าวแสดงความคิดเห็นของตนออกมา เพียงนึกถึงเหตุการณ์ที่ฉินอวี้โม่และสหายประจันหน้ากับจอมยุทธ์เทพยุทธ์หกดาราก่อนหน้านี้ ความมั่นใจของพวกเขาก็เพิ่มจนเต็มเปี่ยม
“เหอะ ในไม่ช้าก็เร็ว พวกเราจะบรรลุขอบเขตเทพยุทธ์ได้อย่างแน่นอน พวกเจ้าตระกูลเยี่ยอย่าดูถูกดูแคลนผู้อื่นมากนักเลย”
……
ตระกูลเยี่ยกลายเป็นเป้าหมายของคำวิพากษ์วิจารณ์ของทุกคนเป็นครู่ใหญ่
“หุบปากไปซะ !”
สีหน้าของเยี่ยซีเหยเกอย่างที่สุดและตะโกนกร้าวด้วยความฉุนเฉียวส่งผลให้หลายคนไม่กล้าส่งเสียงอีกต่อไป
“ข้าว่าเราควรชี้วัดด้วยความแข็งแกร่งจะดีกว่า”
ไป๋เสี่ยวหลงกล่าวออกไปเช่นกัน แม้ไม่ได้ออกตัวปกป้องฉินอวี้โม่ เขาก็อยู่ฝ่ายเดียวกับพวกนาง
ถึงอย่างไรทุกคนก็ตระหนักถึงความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่เป็นอย่างดีแล้ว แม้เป็นเพียงจอมยุทธ์ราชาเซียนขั้นสูงสุด ทว่าความสามารถในการต่อสู้ของนางก็ไม่ด้อยไปกว่าจอมยุทธ์ในขอบเขตเทพยุทธ์แม้แต่น้อยและมีโอกาสมากที่จะเอาชนะเยี่ยซีได้
“ส่งคนที่มีพลังในขอบเขตเทพยุทธ์หนึ่งดาราออกมาดวลฝีมือจะดีกว่า ตราบใดที่เอาชนะได้ คนผู้นั้นก็จะได้เข้าไปในซากปรักหักพัง”
เจ้าเมืองฝู่ฮว๋ากล่าวขึ้นมาเช่นกัน ในเวลานี้เขาก็รู้สึกว่าคนตระกูลเยี่ยทำตัวเผด็จการเกินไปและแอบรู้สึกไม่พอใจอยู่ลึก ๆ เพียงแต่ไม่สามารถแสดงออกอย่างชัดเจนจนเกินไปได้
“พวกเราเห็นด้วย ใช้วิธีนั้นกันเถอะ”
คนอื่น ๆ ก็ตอบตกลงและไม่มีข้อคัดค้าน ในขณะที่เยี่ยซีจ้องมองฉินอวี้โม่ตาเขม็งและส่งจอมยุทธ์ขอบเขตเทพยุทธ์หนึ่งดาราของตระกูลเยี่ยออกมา
แม้จอมยุทธ์ขอบเขตราชาเซียนหลายคนไม่เต็มใจนัก ทว่าเมื่อเห็นคนอื่น ๆ ตอบรับ พวกเขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้และจำต้องก้าวออกไปเพื่อเริ่มดวลฝีมือกับฝ่ายตรงข้าม
แม้ว่าความแข็งแกร่งของบุรุษผู้นั้นจะอยู่ในขอบเขตเทพยุทธ์หนึ่งดาราจริง ทว่าเขาก็ไม่ถือว่าทรงพลังมากนัก อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างระหว่างขอบเขตราชาเซียนและขอบเขตเทพยุทธ์ก็ยังเป็นช่องว่างที่ใหญ่มาก สำหรับจอมยุทธ์หลายคนที่ไม่มีไพ่ตายเหมือนฉินอวี้โม่ เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะเอาชนะไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ภายในเวลาเพียงสองก้านธูป คนส่วนใหญ่ก็ต้องพ่ายแพ้ไปและเหลือเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เอาชนะและมีสิทธิ์เข้าไปสำรวจซากปรักหักพัง
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ก็คือหนึ่งในนั้น
อันที่จริง เยี่ยซีต้องการให้คนตระกูลเยี่ยผู้นั้นสั่งสอนบทเรียนให้กับฉินอวี้โม่ ทว่าน่าเสียดาย ด้วยความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ในตอนนี้ การที่เผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ในขอบเขตเทพยุทธ์หนึ่งดาราไม่ทำให้นางรู้สึกถึงความกดดันแม้แต่น้อย นางเอาชนะอีกฝ่ายได้โดยแทบไม่ต้องเปลืองแรงด้วยซ้ำ หากมิใช่เพราะเป็นเพียงการดวลเพื่อวัดฝีมือ เกรงว่านางคงจะทำลายรากฐานพลังของเขาไปแล้ว
“เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้นขุมกำลังแต่ละแห่งจะเลือกตัวแทนยี่สิบคนเพื่อเข้าไปในซากปรักหักพังและคนอื่น ๆ ที่เหลือก็รออยู่ข้างนอกนี่”
เรียกได้ว่าในครานี้จะมีผู้ที่เข้าไปในซากปรักหักพังของต้นไม้โลกเป็นจำนวนสองถึงสามร้อยคน
ทุกคนก็ไม่คัดค้านและยืนรอในพื้นที่เปิดโล่งอย่างเงียบสงบเพื่อรอการปรากฏตัวของซากปรักหักพัง
ครืนนน !
ทันใดนั้น เสียงอื้ออึงก็ดังขึ้นและจู่ ๆ ต้นไม้ขนาดใหญ่ทั่วบริเวณก็กระจัดกระจายกันออกไปจนเกิดเป็นเส้นทางทอดยาวปรากฏตรงหน้าทุกคน
“ซากปรักหักพังปรากฏขึ้นแล้ว !”
ทุกคนโพล่งออกไปเป็นเสียงเดียว แม้ไม่ทราบว่าถนนตรงหน้านำทางไปที่ใด สภาวะพลังหนาแน่ที่แผ่ออกมาก็ทำให้พวกเขาผ่อนคลายอย่างยิ่งและมั่นใจได้ว่านี่คือทางเข้าของซากปรักหักพังที่รอคอย
“เหอะ เข้าไปกันเถอะ !”
เยี่ยซีแค่นเสียงและชำเลืองมองไปที่กลุ่มของฉินอวี้โม่อีกครั้งก่อนนำคนตระกูลเยี่ยตรงไปยังเส้นทางข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
“เราก็ไปกันเถอะ”
ไป๋เสี่ยวหลงพยักศีรษะให้กับฉินอวี้โม่และสหายก่อนเดินตามคนตระกูลเยี่ยเข้าไป คนอื่น ๆ ก็เดินตามเข้าไปเช่นกันและเริ่มต้นการสำรวจซากปรักหักพังด้วยตนเอง
ระหว่างเดินหน้าไปตามถนนทอดยาว สภาพแวดล้อมรอบตัวก็เริ่มเปลี่ยนแปลงและดูเหมือนพวกเขาจะเข้ามาในผืนป่าที่เก่าแก่โบราณแห่งหนึ่ง ต้นไม้เขียวขจีปรากฏให้เห็นอยู่นับไม่ถ้วนและสภาวะพลังที่บริสุทธิ์ก็ทำให้ทุกคนรู้สึกสบายและผ่อนคลายอย่างมาก
“คิดไว้ไม่มีผิด ซากปรักหักพังของต้นไม้โลกมีพลังชีวิตที่อุดมสมบูรณ์อยู่ในทุกหนแห่งจริง ๆ”
อวิ๋นซื่อเทียนถอนหายใจและจับแขนฉินอวี้โม่เบา ๆ
ในเมื่อที่นี่คือซากปรักหักพัง มันย่อมควบคู่มากับภยันตรายที่คาดไม่ถึง บางทีรอบตัวอาจมีพลังบางอย่างที่พวกนางรับรู้ไม่ได้เป็นการชั่วคราวและอาจแยกพวกนางออกจากกันไป
เป็นจริงดังที่คิดไว้ เมื่อก้าวต่อไปเพียงประมาณสิบก้าว ฉินอวี้โม่ก็รับรู้ได้ถึงแรงฉุดดึงที่ทรงพลังบางอย่างและอึดใจต่อมา นางก็มองไม่เห็นผู้ใดรอบตัวอีก
ฉินอวี้โม่ไม่แปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย และหลังจากที่ลองทดสอบดู นางก็ยืนยันได้ว่าตนเองสามารถเชื่อมโยงเข้ากับคฤหาสน์เฟิงหัวได้ตามปกติ
“นายหญิง ในซากปรักหักพังของต้นไม้โลกนี้มีสภาวะพลังที่อุดมสมบูรณ์อย่างมาก ตอนนี้พลังของท่านก็ติดอยู่ในสภาวะคอขวดและอาจใช้ประโยชน์จากสภาวะพลังเหล่านี้เพื่อทะลวงพลังได้”
ซิวกล่าวหลังจากปรากฏตัวข้างกายฉินอวี้โม่ ซากปรักหักพังของต้นไม้โลกแห่งนี้เต็มไปด้วยสภาวะพลังที่อุดมสมบูรณ์และทรงพลังอย่างยิ่งซึ่งจะเป็นประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ต่อการทะลวงพลังของฉินอวี้โม่
ขอบเขตพลังของนางติดชะงักมาเป็นพักใหญ่แล้วและไม่สามารถข้ามไปสู่ขอบเขตเทพยุทธ์ได้ บังเอิญว่าสภาวะพลังของที่นี่ก็สามารถช่วยให้นางทะลวงพลังได้สำเร็จ
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและหาที่เหมาะสมนั่งขัดสมาธิก่อนเริ่มทำการบ่มเพาะพลังอย่างไม่รีรอ
แม้ไม่ทราบว่าคนอื่น ๆ ถูกแยกออกไปที่ใด นางก็คาดการณ์ได้ว่าทุกคนจะไม่ตกอยู่ในอันตรายในตอนนี้ ซากปรักหักพังของต้นไม้โลกก็ดูเหมือนกับเป็นมิติพิเศษแห่งหนึ่งซึ่งยังไม่ทราบว่าจุดศูนย์กลางอยู่ที่ใด หากฉินอวี้โม่บ่มเพาะพลังจนเข้าสู่ขอบเขตเทพยุทธ์ได้สำเร็จ โอกาสในการเอาชนะตระกูลเยี่ยก็จะเพิ่มขึ้นไปอีก
“ข้าจะลองไปสำรวจดูรอบ ๆ”
ซิวกล่าวเพียงสั้น ๆ ก่อนแยกตัวออกไป ความแข็งแกร่งของมันติดอยู่ในสภาวะคอขวดเช่นเดียวกับฉินอวี้โม่ ทว่าตราบใดที่ผู้เป็นนายทะลวงพลังได้สำเร็จ มันในฐานะอสูรแห่งโชคชะตาก็จะวิวัฒนาการไปเช่นกัน เพียงแต่มันยังไม่รีบร้อนในตอนนี้
ในเวลานี้ มารยาก็ปรากฏตัวข้าง ๆ ฉินอวี้โม่เพื่อคอยปกป้องคุ้มกันความปลอดภัย อสูรอื่น ๆ ก็ไม่รอช้าและออกมาจากคฤหาสน์เฟิงหัวก่อนเริ่มทำการบ่มเพาะพลังเช่นกัน
นับตั้งแต่มาเยือนโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ พวกมันก็รู้สึกถึงความกดดันอย่างบอกไม่ถูก หากไม่หมั่นฝึกวิชาและบ่มเพาะพลัง ต่อให้อสูรทั้งหมดจะรวมร่างกันก็อาจช่วยฉินอวี้โม่ได้ไม่มากนัก เพราะเหตุนั้น พวกมันจึงหมายมั่นที่จะพัฒนาความแข็งแกร่งโดยเร็วที่สุด…
ภายในชั่วพริบตา เวลาก็ผ่านมากว่าครึ่งเดือนแล้ว
ก่อนหน้านี้ฉินอวี้โม่ได้วางข่ายอาคมไว้รอบตัว หากผู้ใดบังเอิญผ่านมาทางนี้ พวกเขาก็จะผ่านไปทางอื่นโดยอัตโนมัติและจะไม่มีทางรบกวนนางได้ เพราะเหตุนั้น นางจึงบ่มเพาะพลังได้อย่างสงบราบรื่นตลอดหลายวันที่ผ่านมา
ทันใดนั้น สภาวะพลังฟ้าดินทั่วบริเวณก็หลั่งไหลเข้ามาที่ร่างของฉินอวี้โม่ผู้ซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นและจู่ ๆ นางก็ลืมตาขึ้นมา
“ในที่สุดก็ทะลวงพลังสำเร็จ !”
นางยกยิ้มมุมปากและรู้สึกพึงพอใจในความสำเร็จของตนเองที่สามารถทะลวงพลังได้ภายในเวลาเพียงสิบห้าวัน
ขอบเขตราชาเซียนและขอบเขตเทพยุทธ์เป็นขอบเขตที่แตกต่างกันมาก เวลานี้ ฉินอวี้โม่รู้สึกได้ว่าพลังมายาในร่างของตนพัฒนาขึ้นกว่าเดิมอย่างน้อยสามเท่าตัว
“นายหญิง มาที่นี่เร็วเข้า”
เสียงของซิวดังขึ้นในโสตประสาทของฉินอวี้โม่และเป็นน้ำเสียงกระตือรือร้นราวกับค้นพบอะไรบางอย่าง