เมื่อถึงเวลาอาทิตย์ตกดิน ฉินอวี้โม่ก็ลืมตาขึ้นจากภาวะจิตสมาธิ
“นักเรียนฉินอวี้โม่ยินดีกับเจ้าด้วย”
ซ่างกวนซวี่มองฉินอวี้โม่แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ในห้าชั่วยามที่ฉินอวี้โม่ไร้การเคลื่อนไหว ซ่างกวนซวี่สัมผัสได้ถึงกระแสพลังอันแข็งแกร่งไหลวนอยู่รอบกายนาง
เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกว่านักเรียนใหม่ผู้นี้ไม่ธรรมดา ยิ่งกว่านั้นเขายังเชื่อมั่นอย่างไร้ข้อสงสัยเลยว่าสตรีตรงหน้าจะสามารถก้าวข้ามขอบเขตในหอคอยวิญญาณได้
“ขอบคุณท่านอาจารย์ซ่างกวน”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวขอบคุณอาจารย์ที่ปรึกษา
ซ่างกวนซวี่เพียงแค่ยิ้มตอบและไม่ได้กล่าวสิ่งใด เขาหันหลังและเดินออกไปจากลานประลองอย่างรวดเร็ว
“อวี้โม่ ก่อนหน้านี้เจ้าคุยอะไรกับอาจารย์อย่างนั้นหรือ ?”
เยว่ชิงเฉิงตรงเข้ามาและกล่าวถามด้วยความสงสัยในทันที
“ข้าใกล้จะก้าวข้ามขอบเขตแล้ว ข้าจึงขออนุญาตอาจารย์ซ่างกวนเพื่อเข้าไปฝึกในหอคอยวิญญาณสักระยะ อาจารย์ซ่างกวนบอกว่าขอเพียงข้าสามารถอยู่ในท่าจางหม่าปู้ตามบทเรียนที่อาจารย์สอนให้ได้จนอาทิตย์ตกดินเขาก็จะอนุญาต ข้าคิดว่าอาจารย์คงแค่อยากจะทดสอบข้าเท่านั้น”
ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยรอยยิ้ม ดูจากการที่ซ่างกวนซวี่มอบวันหยุดให้เสี่ยวโร่วและโอวหยางชิงเฟิงได้โดยง่าย นั่นก็แสดงให้เห็นว่าเขาคิดจะมอบวันหยุดให้คุณหนูตระกูลฉินอยู่แล้วเพียงแต่อาจารย์ที่ปรึกษาอยากจะทดสอบความแข็งแกร่งของนางให้เห็นกับตาเท่านั้น
เมื่อเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดทุกคนก็พยักหน้าและพากันเดินตรงไปยังโรงอาหาร
“เสี่ยวโร่ว ชิงเฟิง ยินดีกับพวกเจ้าด้วยที่ได้วันหยุดเจ็ดวัน”
ฉินอวี้โม่ยิ้มพลางเอ่ยแสดงความยินดีกับสหายทั้งสอง
“ฮ่า ๆ ๆ แค่นี้ยังสู้เจ้าไม่ได้หรอก”
โอวหยางชิงเฟิงยิ้มออกมาและกล่าว
“ชิงเฟิง ช่วงวันหยุดเจ็ดวันนี้เจ้าวางแผนจะไปที่ใดอย่างนั้นหรือ ? เท่าที่ข้ารู้มาเหมือนว่าเจ้าจะยังไม่ได้สมัครชั้นเรียนไหนเลยนี่”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามคุณชายรองตระกูลโอวหยางด้วยความสงสัย
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าเองก็อยากจะเข้าไปในหอคอยวิญญาณเหมือนกัน ข้าอยากจะรู้ว่ามันเป็นอย่างไร ว่ากันว่าข้างในมันเหมือนกับเป็นอีกโลกหนึ่งเลย”
โอวหยางชิงเฟิงยิ้ม เขาเองก็อยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ภายในหอคอยศักดิ์สิทธิ์ที่ซึ่งผู้ใดต่างก็ปรารถนาอยากเข้าไปนั่นเช่นกัน
“นี่หินมายา พวกมันน่าจะเพียงพอให้เจ้าเข้าไปในหอคอยวิญญาณได้เจ็ดวัน ส่วนที่เหลือน่าจะเพียงพอให้ข้าก้าวข้ามขอบเขตได้”
ฉินอวี้โม่มอบหินมายาบางส่วนให้โอวหยางชิงเฟิงอย่างไม่ลังเล
ตอนนี้นางมีหินมายาทั้งหมดสองร้อยห้าสิบสี่ก้อน สองร้อยก้อนได้มาจากสองพี่น้องแซ่จี ส่วนที่เหลืออีกห้าสิบสี่ก้อนเป็นรางวัลของนาง ห้าสิบมาจากรางวัลของผู้ครองอันดับหนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่ง ส่วนอีกสี่เป็นหินมายาที่ทางโรงเรียนมอบให้รายเดือน
หินมายาหนึ่งก้อนสามารถใช้เพื่ออยู่ภายในหอคอยวิญญาณได้สองชั่วยาม หากจะอยู่หนึ่งเดือนจะต้องใช้หินมายาทั้งหมดหนึ่งร้อยแปดสิบก้อน
“เช่นนั้นข้าก็ต้องขอบคุณเจ้าแล้ว”
โอวหยางชิงเฟิงรับมันมาทันทีโดยไม่ลังเล เขากับฉินอวี้โม่เป็นสหายสนิทกันสำหรับทั้งสองแล้วไม่มีเรื่องให้ต้องเกรงใจกันอยู่แล้ว หากว่าฉินอวี้โม่ต้องการหินมายาในอนาคต เขาก็จะยินดีมอบให้นางอย่างไม่ลังเลเช่นกัน
นอกจากนี้ฉินอวี้โม่ยังต้องการมอบหินมายาบางส่วนให้เสี่ยวโร่วด้วย ทว่าสาวใช้น้อยกลับปฏิเสธ
“คุณหนู สำหรับหอคอยวิญญาณข้าแค่อยากจะลองเข้าไปดูเท่านั้นแค่หินมายาที่ข้ามีก็คงจะพอแล้วเจ้าค่ะ ส่วนเวลาที่เหลือข้าอยากจะเข้าไปชั้นเรียนข่ายอาคมมากกว่า”
เสี่ยวโร่วเป็นคนมีความคิด ถึงแม้จะไม่ต้องติดตามฉินอวี้โม่ แต่สาวน้อยก็มีแนวทางและเป้าหมายที่จะทำเป็นของตัวเอง นางคิดว่าชั้นเรียนข่ายอาคมเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากและมันก็ดูจะสามารถช่วยให้นางแข็งแกร่งจนสนับสนุนฉินอวี้โม่ได้ ดังนั้นแล้วเสี่ยวโร่วจึงตั้งใจไว้แล้วว่าจะมุ่งมั่นกับการเรียนวิชาข่ายอาคมอย่างเต็มที่
“ได้ ไว้ข้าออกมาจากหอคอยวิญญาณแล้วข้าจะไปหาเจ้าที่ชั้นเรียนข่ายอาคม”
ฉินอวี้โม่พยักหน้า คุณหนูคนงามเข้าใจความคิดของเสี่ยวโร่วดี ตอนนี้สาวใช้น้อยก็ค่อย ๆ เติบโตขึ้นและมีความคิดเป็นของตัวเองมากขึ้น แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ฉินอวี้โม่ก็รู้ดีว่าความคิดที่จะทุ่มเททุกอย่างเพื่อนางของเสี่ยวโร่วก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง
หลังจากพักผ่อนในคืนนั้น เช้าวันรุ่งขึ้นสหายของฉินอวี้โม่ก็แยกกันออกเป็นสองกลุ่ม
ฉินอวี้โม่ โอวหยางชิงเฟิงและเสี่ยวโร่วไปยังหอคอยวิญญาณ ขณะที่คนอื่น ๆ ที่เหลือไปเข้าชั้นเรียนของอาจารย์ซ่างกวนต่อ
ในขณะกำลังเดินทาง เพียงแค่มองเห็นส่วนฐานของหอคอยอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนั้น สหายทั้งสามก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณที่หอคอยแห่งนี้ปลดปล่อยออกมาได้แล้ว สมแล้วจริง ๆ ที่เป็นถึงสถานที่พิเศษแห่งโรงเรียนราชสำนัก
หอคอยวิญญาณนี้มีทั้งหมดเจ็ดชั้น และยิ่งขึ้นไปยังชั้นสูงก็ยิ่งพบกับสภาวะพลังที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตามก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถขึ้นไปจนถึงชั้นที่เจ็ดได้
ต้องทราบก่อนว่า สภาวะพลังในบรรยากาศนี้เมื่อยิ่งเข้มข้นก็จะยิ่งเป็นผลดีต่อการฝึก ทว่าในขณะเดียวกันมันก็จะเป็นการสร้างแรงกดดันที่หนักหน่วงให้กับร่างกายด้วย ดังนั้นแล้วหากไม่มีพลังที่สูงส่งมากพอรวมถึงร่างกายอันแข็งแกร่ง การขึ้นไปยังหอคอยชั้นสูง ๆ ก็จะส่งผลเสียมากกว่าผลดีเพราะผู้ฝึกฝนจะได้รับแรงกดดันที่มหาศาลจนร่างกายรับไม่ไหว ด้วยเหตุนี้ตามปกติแล้ว เพื่อความปลอดภัยทางโรงเรียนจึงอนุญาตให้นักเรียนเข้าใหม่ฝึกฝนอยู่แต่เพียงในสามชั้นแรกเท่านั้น
เมื่อฉินอวี้โม่และสหายทั้งสองมาถึงประตูทางเข้าหอคอย พวกเขาก็พบผู้อาวุโสท่านหนึ่งกำลังยืนเฝ้าอยู่ ดูแล้วเขาน่าจะเป็นผู้ที่มีหน้าที่คุ้มกันหอคอยแห่งนี้
“พวกเจ้าสามารถเข้าไปได้อย่างอิสระ หินมายาจะถูกดูดซับด้วยตัวของมันเองเมื่ออยู่ภายในหอคอยวิญญาณ”
ผู้อาวุโสผู้นั้นกล่าวอธิบายกับคนทั้งสามเพียงสั้น ๆ
ทันทีที่ก้าวเข้าไปในหอคอย พวกเขาก็รู้สึกได้ถึงพลังวิญญาณและพลังมายาอันเข้มข้นอัดแน่นอยู่ในบรรยากาศ
“ว้าว สภาวะพลังภายในหอคอยแห่งนี้หนาแน่นกว่าภายนอกตั้งสองเท่า !”
เสี่ยวโร่วเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น นางสัมผัสได้ถึงพลังภายในหอคอยแห่งนี้อย่างชัดเจน
“พวกเราขึ้นไปดูที่ชั้นบนกันหน่อยไหม ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยชวนด้วยรอยยิ้ม ความเข้มข้นของพลังเพียงแค่ชั้นแรกนี้ยังไม่สามารถทำให้นางพึงพอใจได้
เสี่ยวโร่วและโอวหยางชิงเฟิงพยักหน้า พวกเขามองหาบันไดทางขึ้นในทันที ก่อนจะพากันเดินขึ้นไปชั้นบน
ในหอคอยแห่งนี้มีคนอยู่ไม่มากนัก เมื่อเห็นกลุ่มคนไม่คุ้นหน้าเข้ามาทุกคนจึงอดไม่ได้ที่จะลอบมอง และเมื่อเห็นใบหน้านวลของฉินอวี้โม่พวกเขาก็ชะงักไปทันที
ถึงอย่างไรฉินอวี้โม่ก็เป็นเพียงนักเรียนเข้าใหม่ ฉะนั้นแม้ว่าจะโด่งดังแต่ก็ยังมีบางคนไม่รู้จักนาง โดยเฉพาะเหล่าผู้ที่เก็บตัวอยู่ในหอคอยแห่งนี้ในช่วงที่พวกนางเข้ามาในโรงเรียน
“เอ๊ะ นั่นไม่ใช่รุ่นน้องที่เข้าใหม่หรอกหรือ ? เพราะข้าไม่เคยเห็นหน้าพวกเขามาก่อนเลย แต่น่าแปลกหากเป็นเด็กใหม่จริงจะไม่เข้าร่วมชั้นเรียนแล้วมาที่หอคอยวิญญาณเช่นนี้ได้อย่างไร ?”
บางคนตั้งข้อสงสัย โดยทั่วไปเหล่านักเรียนใหม่มีชั้นเรียนสามัญที่ต้องเข้าร่วมเกือบทุกวัน ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาจำได้ว่าซ่างกวนซวี่ผู้เข้มงวดรับหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้สอนในชั้นเรียนสามัญและเป็นที่ปรึกษาของเด็กใหม่ปีนี้ ซึ่งโดยปกติคนอย่างเขาไม่น่าจะยอมปล่อยให้นักเรียนออกจากชั้นเรียนได้ง่าย ๆ เช่นนี้
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
คนอื่น ๆ ส่ายศีรษะ ไม่มีใครสามารถให้คำตอบในเรื่องนี้ได้
คณะอวี้โม่ทั้งสามไม่ได้หยุดอยู่เพียงชั้นสอง ทั้งสามมุ่งตรงไปยังชั้นสามในทันที
เป็นไปตามที่ทุกคนคาดเอาไว้ สภาวะพลังของชั้นที่สามนั้นมากกว่าโลกภายนอกถึงสี่เท่า จากการคำนวณอย่างคร่าว ๆ ที่ชั้นบนสุดของหอคอยก็น่าจะมีสภาวะพลังที่เข้มข้นกว่าภายนอกถึงแปดเท่า
“โรงเรียนมีกฎว่านักเรียนใหม่ใช้หอคอยวิญญาณได้สูงสุดแค่ชั้นสาม แล้วข้าก็รู้สึกว่าถ้าเราขึ้นไปอีกอาจจะเกิดปัญหากับร่างกายได้ ฉะนั้นข้าคิดว่า ข้าจะหาที่ฝึกอยู่ที่ชั้นนี้แหละ”
โอวหยางชิงเฟิงกล่าว เขารู้สึกว่าเขายังไม่สมควรขึ้นไปด้านบนเพราะเกรงว่าร่างกายอาจจะยังไม่สามารถรับความกดดันของพลังที่เข้มข้นขึ้นกว่านี้ได้
ส่วนฉินอวี้โม่นั้น ในตอนนี้ตัวนางยังคงรู้สึกผ่อนคลายอยู่ แม้ว่าสภาวะพลังในบรรยากาศของชั้นที่สามนี้จะเข้มข้นมากกว่าภายนอกถึงสี่เท่า แต่มันก็ยังไม่ถึงระดับที่ทำให้นางรู้สึกพึงพอใจอยู่ดี
ปกติแล้วนักเรียนใหม่ไม่ควรจะขึ้นไปสูงเกินกว่าชั้นที่สาม แต่นั่นก็เป็นเพราะทางโรงเรียนเกรงว่าเด็กรุ่นเยาว์หน้าใหม่ที่ยังอ่อนประสบการณ์จะทนรับความกดดันของชั้นที่สูงกว่านี้ไม่ได้ เมื่อเวลานี้คุณหนูตระกูลฉินคิดว่าตัวเองสามารถทนรับได้ นางจึงคิดจะขึ้นไปฝึกในชั้นที่สูงกว่า
เป็นเรื่องน่าประหลาดใจอย่างยิ่งสำหรับโอวหยางชิงเฟิง เมื่อเห็นว่าเสี่ยวโร่วในตอนนี้ดูไม่มีอาการทางร่างกายใด ๆ แสดงให้ออกมาแม้แต่น้อย แม้แต่สีหน้าของนางก็ยังคงดูสบาย ๆ และสาวใช้น้อยเองก็ยังรู้ว่าตัวเองสามารถขึ้นไปได้สูงกว่านี้
ฉินอวี้โม่ไม่ได้ประหลาดใจเรื่องนี้มากนัก เนื่องจากเสี่ยวโร่วสามารถเข้าชั้นเรียนข่ายอาคมได้ และจากข้อสันนิษฐานของซิวแล้วนั่นเป็นผลมาจากสายเลือดตระกูลโบราณที่ไหลเวียนอยู่ในกายนาง ฉินอวี้โม่ตระหนักมาได้สักพักแล้วว่า ในอนาคตเสี่ยวโร่วของนางจะต้องกลายเป็นยอดฝีมือระดับแนวหน้าผู้หนึ่งเป็นแน่
อย่างไรก็ตาม เสี่ยวโร่วก็เลือกที่จะไม่ขึ้นไป นางแค่อยากจะมาเยี่ยมชมที่นี่เท่านั้น หลังจากเดินดูสักพักสาวน้อยก็ตั้งใจจะออกไปและเข้าชั้นเรียนข่ายอาคมเพราะนั่นเป็นสิ่งที่นางสนใจมากที่สุดในเวลานี้ อย่างไรก็ตามเมื่อยังพอมีเวลาเหลืออยู่บ้างเสี่ยวโร่วก็อยากลองฝึกอยู่ที่นี่ชั่วครู่
ดังนั้น โอวหยางชิงเฟิงและเสี่ยวโร่วจึงเลือกมุมหนึ่งในชั้นที่สามและเริ่มตั้งสมาธิฝึกฝน ส่วนฉินอวี้โม่กลับเดินแยกออกไปแล้วมองหาประตูที่จะพาขึ้นไปยังชั้นที่สี่
ต้องทราบก่อนว่า ทุก ๆ บันไดทางขึ้นตั้งแต่ชั้นที่สี่เป็นต้นไปในหอคอยวิญญาณแห่งนี้จะมีผู้อาวุโสคอยเฝ้าเอาไว้ ซึ่งนักเรียนคนใดที่ต้องการขึ้นบันไดไปยังชั้นสูงกว่าก็จะต้องผ่านการทดสอบในเบื้องต้นเสียก่อน
ฉินอวี้โม่สังเกตการณ์โดยรอบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจมุ่งตรงไปยังประตูบานหนึ่งที่ตั้งอยู่บริเวณมุมด้านซ้าย ประตูบานนี้เป็นประตูเปิดสู่บันไดที่ทอดขึ้นไปยังชั้นที่สี่ของหอคอย ในเวลานี้ประตูนั้นถูกปิดสนิทและที่ข้างบานประตูมีบุรุษชราผู้หนึ่งกำลังนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่
“ขออภัยผู้อาวุโส ข้าอยากจะขึ้นไปฝึกฝนชั้นบน ไม่ทราบว่าจะเปิดประตูให้ข้าได้หรือไม่ ?”
เมื่อเดินมาถึงประตู ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ
ผู้อาวุโสเฝ้าประตูลืมตาขึ้น และเมื่อมองเห็นว่าคนที่กล่าวกับเขาเป็นสตรีร่างบาง บุรุษชราก็ขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจ
“หากว่าข้าจำไม่ผิด เจ้าคือนักเรียนใหม่ฉินอวี้โม่ใช่หรือไม่ ?”
บุรุษเฒ่าผู้เฝ้าประตูเอ่ยถาม เขาเอ่ยนามของฉินอวี้โม่ออกมาตรง ๆ
“ท่านรู้ชื่อของข้าด้วยอย่างนั้นหรือ ?”
เมื่อเห็นว่าผู้อาวุโสเฝ้าประตูรู้จักชื่อของตน ฉินอวี้โม่ก็ประหลาดใจไม่น้อยจึงรีบกล่าวถาม
“ฮ่า ๆ ๆ เรื่องนั้นมันแน่นอน ตอนนี้ในโรงเรียนราชสำนักแทบไม่มีผู้ใดไม่รู้จักนามนี้”
ผู้เฒ่าเฝ้าประตูหัวเราะร่วนแล้วกล่าวต่อ “เจ้าเรียกข้าว่าผู้อาวุโสหลิวก็ได้”
ฉินอวี้โม่พยักหน้า “ผู้อาวุโสหลิว ข้าเป็นนักเรียนใหม่ ข้าทราบดีว่าทางโรงเรียนมีข้อกำหนดว่านักเรียนใหม่ไม่ควรจะขึ้นไปฝึกเหนือชั้นที่สาม แต่ตัวข้ารู้สึกว่าสภาวะพลังของชั้นสามนี้มันเบาบางเกินไป ข้าจึงอยากจะไปยังชั้นที่สูงกว่านี้ ท่านพอจะอนุญาตให้ข้าผ่านทางได้หรือไม่ ?”
เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ ผู้อาวุโสแซ่หลิวก็ประหลาดใจ “เช่นนั้นข้าคงต้องทดสอบพลังจิตวิญญาณของเจ้าก่อน”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าและหลับตาลง ก่อนจะทำตามวิธีที่บุรุษอาวุโสผู้ทำหน้าที่เฝ้าประตูผู้นี้บอก
ในตอนนั้นเอง ฉินอวี้โม่ก็สัมผัสได้ว่าพลังจิตวิญญาณของผู้อาวุโสหลิวหลั่งไหลเข้ามาภายในห้วงจิตของนางและราวกับว่ามันกำลังทำการสำรวจบางสิ่ง
อย่างไรก็ตาม เมื่อพลังวิญญาณของผู้อาวุโสหลิวมุ่งหน้าเข้าไปยังส่วนลึก พลังจิตวิญญาณของฉินอวี้โม่ก็พุ่งเข้าจู่โจมและขับไล่พลังของเขาออกไปในทันที
“เฮ้อ~ อันตรายจริง ๆ เกือบไปแล้วสิ !”
ผู้อาวุโสที่มีนามเต็มว่าหลิวชางหลัวลืมตาขึ้นแล้วมองฉินอวี้โม่ด้วยอาการตกตะลึง ใบหน้าชรานั้นมีแววแตกตื่น บุรุษผู้เฒ่าถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
เมื่อครู่โชคดีที่เขาถอยหนีได้อย่างทันท่วงที มิฉะนั้นก็คงจะถูกพลังวิญญาณอันแข็งแกร่งของแม่นางน้อยผู้นี้เล่นงานและอาจจะได้รับบาดเจ็บไปแล้ว
“สาวน้อย พลังจิตวิญญาณของเจ้าแปลกประหลาดยิ่งนัก มันสามารถปกป้องตัวเจ้าเองได้ หากว่าข้าหนีออกมาจากช้ากว่านี้สักนิด วันนี้ข้าคงต้องถูกหามออกไปจากหอคอยวิญญาณแล้วล่ะ”
หลังจากลืมตาตื่นขึ้น เมื่อเห็นว่าฉินอวี้โม่มองเขาอย่างงุนงง ผู้อาวุโสหลิวก็เอ่ยอธิบาย
ฉินอวี้โม่ผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบกล่าวน้ำเสียงตกใจ “ต้องอภัยผู้อาวุโสหลิว ข้าไม่ทราบเลยว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น”
“เอาเถอะ ข้าไม่ตำหนิเจ้าหรอก ข้าแค่ตกใจไปมากหน่อยเท่านั้น”
ผู้อาวุโสหลิวยิ้มใจดี เขาพึงพอใจกับกิริยาที่นอบน้อมของฉินอวี้โม่มาก มีพรสวรรค์สูงส่งทว่าไม่หยิ่งยโส แถมยังสุภาพอ่อนหวาน เป็นสตรีน้อยที่ดียิ่งนัก
“แม่นางน้อย เจ้ารอก่อน กฎของโรงเรียนระบุไว้ว่านักเรียนใหม่ไม่สามารถขึ้นไปสูงกว่าชั้นนี้ได้ รอข้าสักครู่ ข้าจะไปรายงานท่านอธิการเดี๋ยวนี้ หากว่าท่านเห็นด้วย ข้าจึงจะเปิดประตูให้เจ้าขึ้นไปได้ ยิ่งกว่านั้นข้าจะไปบอกกับผู้อาวุโสที่เฝ้าประตูชั้นอื่น ๆ เพื่อขอให้พวกเขาอนุญาตให้เจ้าขึ้นไปเป็นกรณีพิเศษให้ด้วย เจ้าสามารถขึ้นไปสูงเพียงใดก็ได้ มันขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของเจ้า แต่จงจำไว้ให้ดีว่าอย่าได้ฝืนตัวเอง”
ผู้อาวุโสหลิวไตร่ตรองชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวออกมา
แม้ว่าจะมีกฎของโรงเรียนระบุไว้แล้ว ทว่าด้วยพลังจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งอย่างผิดปกติของฉินอวี้โม่เช่นนี้ แม้ว่าจะขึ้นไปยังชั้นสูงนางก็ไม่น่าจะได้รับอันตรายใด ๆ ยิ่งกว่านั้นชั้นสามนี้คงไม่เป็นที่พึงพอใจสำหรับบุคคลแข็งแกร่งเช่นนี้แน่
“เช่นนั้นข้าต้องรบกวนท่านผู้อาวุโสหลิวแล้วเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวขอบคุณผู้อาวุโสเฝ้าประตูด้วยรอยยิ้ม
‘ผู้อาวุโสหลิวไม่ต้องมาบอกข้าหรอก ให้สาวน้อยผู้นั้นขึ้นไปเถอะ’
อย่างไรก็ตามก่อนที่ผู้อาวุโสหลิวจะได้แจ้งกับท่านอธิการด้วยตนเอง เขาก็ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยของอธิการมู่อวิ๋นดังเข้ามาในห้วงจิต
‘ขอรับ ท่านอธิการ’
ผู้อาวุโสหลิวพยักหน้า นี่ทำให้เขาทราบว่าท่านอธิการแห่งโรงเรียนราชสำนักคงจะลอบสังเกตการณ์แม่นางฉินอวี้โม่ผู้นี้อยู่อย่างลับ ๆ เป็นแน่ มิฉะนั้นแล้วคงไม่รู้ถึงสถานการณ์ของนางได้รวดเร็วถึงเพียงนี้
“อวี้โม่ ท่านอธิการอนุญาตแล้ว เจ้าสามารถขึ้นไปได้”
ผู้อาวุโสหลิวพยักหน้าให้ฉินอวี้โม่และเปิดประตู
ฉินอวี้โม่ยิ้มรับอย่างนอบน้อมก่อนจะก้าวเดินขึ้นไปยังชั้นที่สี่ของหอคอยวิญญาณ