“ฮ่า ๆ ๆ ๆ”
เมื่อวาจาของโอวหยางชิงเฟิงสิ้นสุดลง กลุ่มบุรุษชุดดำก็ชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่พวกเขาจะระเบิดเสียงหัวเราะเย้ยหยันดังลั่น
“ดูเหมือนว่าเจ้ากับฉินอวี้โม่จะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา เจ้าถึงกับคาดเดาได้ว่าพวกเรามาจากอาราม”
หัวหน้ากลุ่มผู้รุกรานกล่าวด้วยน้ำเสียงน่าขนลุก
“ในเมื่อสาวใช้ของฉินอวี้โม่ไม่ออกมา งั้นข้าก็จะเอาตัวเจ้าไปแทน ข้าไม่เชื่อว่าฉินอวี้โม่จะไม่ยอมโผล่หัวมาช่วยเจ้า !”
ยังไม่ทันสิ้นวาจา บุรุษผู้เป็นหัวหน้าก็พุ่งตรงเข้าจู่โจมโอวหยางชิงเฟิงอย่างรวดเร็วแล้ว
“อาจารย์ หากท่านมีคำถามไว้ข้าจะอธิบายภายหลัง ตอนนี้ข้าอยากจะเห็นเหลือเกินว่าคนโอหังผู้นี้ฝีมือดีเพียงใด”
โอวหยางชิงเฟิงไม่เกรงกลัว ร่างของเขาหายวับไปจากสายตาพลันปรากฏขึ้นอีกครั้งตรงหน้าคนชุดดำที่กำลังเล่นงานเขา คุณชายรองตระกูลโอวหยางพุ่งเข้าปะทะกับคนผู้นั้น
เขาจะไม่หวั่นเกรงเพียงเพราะอีกฝ่ายเป็นจอมยุทธ์มายาบรรพชน คนพวกนี้ต้องการจะรังแกสหายของเขา ต่อให้เขารู้ตัวว่าไม่มีโอกาสชนะ แต่อย่างน้อยเขาก็จะแสดงให้ศัตรูได้เห็นถึงเขี้ยวเล็บของตัวเขาเอง
“พวกเจ้าจำคำสอนของข้าได้หรือไม่ ก่อนหน้านี้ข้าเคยกล่าวกับพวกเจ้าว่าอย่างไร ?”
ซ่างกวนซวี่กวาดสายตามองดูคนชุดดำจากอารามก่อนจะหันไปมองเหล่านักเรียนของเขา
“จำได้ขอรับ/เจ้าค่ะ พวกเราคือพวกเดียวกัน หากจะสู้ต้องสู้ด้วยกัน จะถอยก็ต้องถอยด้วยกัน !”
ฉีอวี้และคนอื่น ๆ ตะโกนตอบอย่างพร้อมเพรียง นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่รู้จักกันมาที่พวกเขาทุกคนจะเปล่งเสียงออกมาจากใจได้พร้อมกันเช่นนี้ คำสอนของอาจารย์นั้นถูกต้อง พวกเขาคือนักเรียนในชั้นเรียนเดียวกัน ทุกคนคือพวกเดียวกัน ไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้น ทุกคนก็จะต้องช่วยเหลือกัน
นักเรียนจำนวนหนึ่งที่ทราบเรื่องความบาดหมางระหว่างฉินอวี้โม่กับอารามนั้น ในคราแรกที่ได้ยินคนจากอารามกล่าวพวกเขาก็ตั้งใจจะถอยหนี ทว่าเมื่อได้ยินวาจาของอาจารย์ซ่างกวน พวกเขาก็เกิดเปลี่ยนใจ
พวกเขาคือพวกเดียวกัน ฉินอวี้โม่ก็คือสหายร่วมชั้นของพวกเขา นางคือหนึ่งในพวกพ้อง ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นพวกเขาก็ไม่ควรทิ้งสหาย ยิ่งกว่านั้น ในบรรดานักเรียนในชั้นเรียนก็มีหลายคนที่รู้สึกชื่นชมในตัวฉินอวี้โม่ พรสวรรค์ของนางส่งผลให้นักเรียนในชั้นเรียนเดียวกันภาคภูมิใจ ที่สำคัญมันเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เปลวไฟแห่งความมุ่งมั่นลุกโชนขึ้นในจิตในของพวกเขา
“ต่อให้เป็นคนของอารามก็เถอะ แต่ถ้าจะทำอะไรสหายของเราก็ข้ามศพพวกเราไปก่อน !”
“ใช่ หากพวกเจ้าอยากจะรังแกพวกพ้องของเราก็จงสังหารพวกเราให้ได้ก่อน !”
จู่ ๆ เหล่านักเรียนใหม่แห่งชั้นเรียนสามัญของอาจารย์ซ่างกวนซวี่ก็กลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในฉับพลัน จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของทุกคนพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดในชั่วพริบตา
“เหอะ พวกไม่รู้จักเจียมตัว !”
เมื่อเห็นความสมัครสมานสามัคคีที่น่าหัวเราะของเหล่านักเรียนอ่อนหัด ผู้นำของคนจากอารามก็กล่าวเย้ยหยัน ก่อนจะใช้หลังฝ่ามือฟาดโอวหยางชิงเฟิงที่กำลังรับมือกับเขาอยู่จนกระเด็นไปไกล
— พรวด ! —
โอวหยางชิงเฟิงกระอักเลือดออกมาคำโต ทว่าก็ยังพยายามยันตัวลุกขึ้นพลางมองคนตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา
“ชิงเฟิง เจ้าไปจัดการคนอื่น ๆ ข้าจะรับมือกับคนผู้นี้เอง”
ซ่างกวนซวี่กล่าว จากที่เขาสังเกตดูก็พบว่าบุรุษชุดดำตรงหน้าคงจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มนี้แล้ว ขอเพียงเขารับมือคนผู้นี้ให้ ซ่างกวนซวี่ก็เชื่อว่าโอวหยางชิงเฟิงและนักเรียนคนอื่น ๆ ของเขาจะต้องจัดการกับศัตรูที่เหลือได้อย่างแน่นอน
“ได้”
โอวหยางชิงเฟิงพยักหน้าก่อนจะพุ่งตรงเข้าจู่โจมบุรุษจากอารามคนอื่น ๆ พร้อมกับพวกพ้อง
“หึ หึ อาจารย์ซ่างกวน ข้ารู้สึกเป็นเกียรติจริง ๆ ที่ได้ประมือกับอาจารย์ผู้มากฝีมือแห่งโรงเรียนราชสำนัก”
บุรุษจากอารามที่เป็นผู้นำกลุ่มเผยรอยยิ้มชั่วร้าย ร่างของเขาหายวับไปก่อนจะปรากฏตัวขึ้นโจมตีซ่างกวนซวี่จากทางด้านข้าง
“ตามที่เจ้าปรารถนา !”
ซ่างกวนซวี่แค่นเสียงเย้ยหยัน ไม่มีผู้ใดทันสังเกตเห็นว่าเมื่อครู่บุรุษผู้เป็นอาจารย์ได้บดขยี้บางสิ่งที่ดูเหมือนกับลูกปัดอย่างลับ ๆ
….
“ฮึ ซ่างกวนซวี่กำลังตกอยู่ในอันตราย !”
ภายในโรงเรียนราชสำนัก จู่ ๆ มู่อวิ๋นที่กำลังทำสมาธิอยู่ภายในห้องส่วนตัวก็ลุกยืนขึ้นอย่างกระทันหัน ใบหน้าของเขาดูเคร่งเครียดเป็นอย่างยิ่ง
ฉับพลันร่างของเขาก็หายวับไปจากห้องนั้น มู่อวิ๋นปรากฏตัวขึ้นมาในห้องที่เขาเคยใช้จับตาดูความเคลื่อนไหวของฉินอวี้โม่ และด้วยการโบกมือหนึ่งครั้งของอธิการผมสีแปลก ม่านแสงขนาดใหญ่ก็ปรากฏตรงหน้า เขากำลังเรียกดูภาพเหตุการณ์ผ่านจอภาพมายา
ภายในจอภาพมายานั้น ซ่างกวนซวี่และนักเรียนในชั้นเรียนของเขากำลังต่อสู้อยู่กับบุรุษชุดดำปิดบังใบหน้ากลุ่มหนึ่ง ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเปิดศึกกันมาได้สักพักแล้ว เพราะเวลานี้ร่างกายของเหล่านักเรียนรุ่นเยาว์เริ่มมีบาดแผลปรากฏให้เห็นแล้ว ทว่าการต่อสู้ในขณะนี้ยังคงโกลาหลไม่น้อย แม้แต่เขาเองก็ยังไม่สามารถบอกได้เลยว่าฝ่ายใดที่ได้เปรียบ
“หึ เจ้าพวกอารามมันจะกำแหงมากไปแล้ว !”
มู่อวิ๋นเปล่งเสียงออกมาอย่างเกรี้ยวกราด สภาวะพลังอันรุนแรงของเขาระเบิดออกและสาดกระจายออกไปทั่วห้องตามแรงโทสะที่มี ข้าวของน้อยชิ้นในห้องนั้นกระเด็นไปกระแทกผนังพังยับเยิน
ฉินอวี้โม่ที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่ จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงของมู่อวิ๋นดังขึ้นในห้วงจิต เสียงนั้นปลุกนางให้ตื่นจากนิทรา
“อวี้โม่ ซ่างกวนซวี่กับเพื่อนร่วมชั้นของเจ้ากำลังถูกคนจากอารามล้อมเอาไว้ พวกเขาต้องการความช่วยเหลือด่วน”
สิ้นเสียงนั้น ฉินอวี้โม่ก็เด้งตัวลุกขึ้นในทันที ใบหน้างดงามนั้นยังคงงามล้ำทว่ากลับชวนให้ขนลุกอย่างหนาวเหน็บ คนจากอารามกล้าทำตัวต่ำช้าจู่โจมอาจารย์และสหายของนาง … ‘คนพวกนี้รนหาที่ตายแล้ว !’
“อวี้โม่ พวกเขาอยู่ในป่าทางทิศตะวันออกของโรงเรียน เจ้าไปยังประตูทางออกแล้วเข้าร่วมกลุ่มกับพวกรุ่นพี่ไปช่วยพวกเขา”
เมื่อเสียงของมู่อวิ๋นดังขึ้นอีกครั้ง ร่างของฉินอวี้โม่ก็หายวับไปจากห้องพักในทันที
ความเร็วของฉินอวี้โม่เหนือชั้นเป็นอย่างมาก เหล่านักเรียนที่อยู่ภายนอกรู้สึกเพียงแค่ว่ามีลมบางเบากระแสหนึ่งพัดผ่านเท่านั้น ทว่าไม่มีผู้ใดมองเห็นร่างอันบอบบางแต่แข็งแกร่งของคุณหนูสี่ตระกูลฉิน
ภายในไม่กี่อึดใจ ฉินอวี้โม่ก็ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูทางออกของโรงเรียน ที่นั่นมีคนหลายคนกำลังยืนรออยู่ก่อนแล้ว
คนกลุ่มนั้นมีทั้งหมดหกคน เป็นบุรุษห้าสตรีหนึ่ง สองคนในนั้นเป็นบุคคลที่ฉินอวี้โม่รู้จัก คนผู้หนึ่งคือจีหย่งบุรุษรุ่นพี่ที่เคยหาเรื่องนาง ส่วนอีกคนคือเพ่ยหลงรุ่นพี่สาวที่เคยช่วยเหลือนาง
ขณะที่บุรุษอีกสี่คนที่เหลือฉินอวี้โม่ไม่เคยรู้จักมาก่อน ทว่าเพียงแค่ดูจากสภาวะพลังและท่าทางของแต่ละคนแล้ว นางก็พอจะคาดเดาตัวตนของพวกเขาได้
บุรุษท่าทางเย็นชา บนใบหน้าไม่มีรอยยิ้มปรากฏ เขาคือปิงเสวียนผู้ที่อยู่ในอันดับหนึ่งของทำเนียบนภา ข้างกายเขามีบุรุษที่ดูอ่อนละมุนราวกับหยกผู้หนึ่งยืนอยู่ บนใบหน้านวลเนียนนั้นมีรอยยิ้มน้อย ๆ แต้มอยู่บนมุมปากตลอดเวลา เขาน่าจะเป็นลั่วเฉิน ผู้ครองอันดับสองแห่งทำเนียบนภา
อีกคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เพ่ยหลงเป็นบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ถือขวานขนาดยักษ์อยู่ในมือ เขาคงจะเป็นบุรุษที่ชื่นชอบการต่อสู้ผู้มีนามว่า— หลินซิวหยา เขาก็คือหนึ่งในคนที่จับจองห้องฝึกในชั้นที่หก ส่วนบุรุษอีกหนึ่งคนที่เหลือ แม้ว่าจะแข็งแกร่งแต่ก็ไม่คิดจะไปอยู่ในทำเนียบใด ๆ เขาเก็บเกี่ยวหินมายาจากการมุ่งมั่นรับทำภารกิจเท่านั้น เขาเป็นผู้ที่ทุกคนรู้จักกันในฉายาเจ้าแห่งภารกิจ–หลินหยวน
“รุ่นน้องอวี้โม่ ทุกคนกำลังรอเจ้าอยู่นะ”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ จีหย่งก็กล่าววาจาเหน็บแนมทันที
ฉินอวี้โม่ไม่สนใจเขา ตอนนี้เป็นช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน นางไม่อยากเสียเวลากับคนไร้สาระผู้นี้
“ในเมื่อทุกคนมาครบแล้วก็ไปกันเถอะ”
ปิงเสวียนเอ่ยปาก น้ำเสียงของเขาเย็นชาห่างเหิน พลันร่างกายแข็งแกร่งก็หายไปจากจุดเดิมที่ยืนอยู่ เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเพื่อมุ่งหน้าไปยังป่าทางทิศตะวันออก
ฉินอวี้โม่และอีกห้าคนที่เหลือไม่รอช้ารีบเร่งติดตามผู้เป็นที่หนึ่งของโรงเรียนไปติด ๆ
ฉินอวี้โม่เป็นกังวลถึงความปลอดภัยของเสี่ยวโร่วและเหล่าสหาย ที่สำคัญต้นตอของเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ก็มาจากตัวนาง หากเกิดสิ่งใดขึ้นกับพวกเขานางคงให้อภัยทั้งตัวเองและเหล่าอารามที่น่ารังเกียจนั่นไม่ได้เป็นแน่ และด้วยเหตุนั้นอดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูจึงเร่งฝีเท้าอย่างเต็มที่
ในตอนนั้นเองที่เหล่ายอดฝีมือผู้แข็งแกร่งแห่งโรงเรียนราชสำนักได้เห็นว่าความเร็วของฉินอวี้โม่ไม่ได้ด้อยไปกว่าปิงเสวียนเลย รุ่นน้องผู้นั้นกำลังตามเขาไปติด ๆ
“หือ ?”
ลั่วเฉินเองก็เร็วมาก เขาเร่งฝีเท้าตามฉินอวี้โม่และปิงเสวียนไปไม่ห่าง
เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ และยังทราบอีกด้วยว่านางเพิ่งจะบรรลุขอบเขตมายาบรรพชนเท่านั้น ทว่าความเร็วของสตรีรุ่นน้องผู้โด่งดังผู้นี้กลับเร็วพอ ๆ กับปิงเสวียนที่อยู่ในขอบเขตมายาบรรพชนเก้าดารา นั่นนับว่าเป็นเรื่องน่าประหลาดใจสำหรับเขายิ่งนัก
เพ่ยหลงและคนอื่น ๆ ที่ตามมาทางด้านหลังก็ประหลาดใจเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ด้อยกว่าพวกเขามาก ทว่าความเร็วของนางกลับสูงส่งกว่าพวกเขาอย่างชัดเจน คนทั้งห้าจึงคาดเดาว่าฉินอวี้โม่อาจจะเป็นนักสู้ที่เน้นการใช้ความเร็วเป็นหลัก
ฉินอวี้โม่ไม่สนใจสายตาของทุกคน นางเร่งฝีเท้าอย่างเต็มที่และพุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ ในเมื่อซ่างกวนซวี่ขอความช่วยเหลือ แสดงว่าคนจากอารามกลุ่มนี้จะต้องแข็งแกร่งมากอย่างแน่นอน หากว่าไปถึงล่าช้า เสี่ยวโร่วและคนอื่น ๆ ก็จะยิ่งมีอันตราย
ในตอนนี้ ‘วิชาเท้าทะยานคลื่น’ ของฉินอวี้โม่มาถึงระดับสูงสุดของขั้นที่หกและเกือบจะก้าวข้ามไปยังขั้นที่เจ็ดแล้ว และด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ความเร็วของอดีตนักฆ่าสาวเหนือชั้นเป็นอย่างมาก
คนอื่น ๆ อาจจะไม่สามารถสัมผัสได้ แต่ปิงเสวียนและลั่วเฉินรับรู้ได้เป็นอย่างดี ฉินอวี้โม่รวดเร็วจนเทียบเคียงพวกเขาแบบไหล่ชนไหล่ได้แล้ว และตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าจะเริ่มเหนือกว่าพวกเขาเล็กน้อยแล้วด้วย
“รุ่นน้องอวี้โม่ มุ่งตรงต่อไปยังทิศตะวันออก ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของซ่างกวนซวี่จากทางนั้น ระวังอย่าเพิ่งใช้อสูรมายาล่ะ เดี๋ยวศัตรูจะรู้ตัวเสียก่อน”
ลั่วเฉินเอ่ยเพื่อบอกฉินอวี้โม่ด้วยน้ำเสียงสงบแต่มั่นคง เป็นเพราะสัมผัสได้ว่าตอนนี้จิตใจของฉินอวี้โม่กำลังร้อนรน เขาจึงต้องการช่วยชี้ทางและเตือนสติสาวน้อยผู้นี้
“ขอบคุณรุ่นพี่ลั่วเฉิน”
เมื่อได้ยินคำชี้แนะของลั่วเฉิน ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มให้ก่อนจะกล่าวขอบคุณ ในเสี้ยวลมหายใจถัดมาร่างบางของนางก็เร่งฝีเท้าจนหายลับไปจากสายตาของทุกคนในกลุ่ม
“เร็วเกินไปแล้ว”
เมื่อหลินซิวหยาที่ไล่ตามอยู่ด้านหลังเห็นฉินอวี้โม่เร่งความเร็วจนหายไปจากสายตาก็ได้แต่ถอนหายใจ
แค่เห็นฉินอวี้โม่สามารถตีคู่ไปกับปิงเสวียนและลั่วเฉินได้ก็น่าตื่นตะลึงมากพอแล้ว แต่นี่นางถึงขั้นที่เหนือกว่าพวกเขาไปอีก
“วิชาการเคลื่อนที่ที่รุ่นน้องฉินอวี้โม่ใช้ช่างเป็นวิชาที่มหัศจรรย์จริง ๆ”
เพ่ยหลงแย้มยิ้มออกมา สาวงามแห่งทำเนียบพสุธากล่าวชื่นชมจากใจจริง น้ำเสียงของนางไม่มีความอิจฉาริษยาอยู่เลยสักนิด
“เหอะ !”
จีหย่งเปล่งเสียงออกมาอย่างดูหมิ่น ทว่าเขาก็ไม่สามารถสรรหาถ้อยคำชั่วร้ายใด ๆ มาถากถางหรือต่อว่าสตรีน้องใหม่ที่เขานึกชังได้ ยิ่งไปกว่านั้นในสายตาของเขาเวลานี้ฉินอวี้โม่ก็ยิ่งดูน่ากลัวมากขึ้นไปเรื่อย ๆ
ในตอนนี้ฉินอวี้โม่ไม่คิดจะปิดบังซ่อนเร้นความแข็งแกร่งของตัวเองเลยแม้แต่น้อย นางเร่งความเร็วจนถึงขีดสูงสุด หากไม่ใช่เพราะลั่วเฉินห้ามไม่ให้นางเรียกเหล่าอสูรมายาออกมา นางก็คงจะเรียกให้เสี่ยวจินออกมาและอาศัยความเร็วของมันพานางตรงดิ่งไปยังจุดหมายแล้ว
หลังจากเร่งรีบเดินทางกันอยู่ประมาณหนึ่งก้านธูป ฉินอวี้โม่ก็เริ่มรู้สึกถึงกลิ่นอายและสภาวะพลังอันสับสนวุ่นวายของคนจำนวนมาก เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังอยู่ในสภาวะโกลาหลอย่างหนัก เมื่อพุ่งเข้าไปอีกชั่วครู่นางก็ได้ยินเสียงแห่งการต่อสู้ ซึ่งนั่นเองที่ทำให้ฉินอวี้โม่มั่นใจว่ากำลังใกล้จะถึงจุดที่อาจารย์ซ่างกวนซวี่และเหล่าสหายร่วมชั้นเรียนของนางถูกล้อมอยู่แล้ว
เพียงชั่วอึดใจฉินอวี้โม่ก็มองเห็นภาพของโอวหยางชิงเฟิงและสหายคนอื่น ๆ กำลังรับมือกับบุรุษชุดดำกลุ่มหนึ่งอย่างยากลำบาก ใบหน้าของคุณชายรองตระกูลโอวหยางในตอนนี้ย่ำแย่อย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนพวกเขาจะได้รับบาดเจ็บ
— ปัง ! —
ในตอนนั้นเองฉินอวี้โม่ก็มองเห็นบุคคลผู้มีใบหน้าคุ้นเคยถูกซัดจนกระเด็นออกไป บุรุษชุดดำที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามเองก็ไม่ลังเลที่จะรีบพุ่งเข้าไปเพื่อจะเผด็จศึกให้จงได้
“หลี่ซือ !”
ใครบางคนเปล่งเสียงร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก ทว่าตัวเขาเองก็ยังคงพัวพันอยู่กับคนชุดดำอีกคนจนทำให้ไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือสหายได้
ก่อนที่หลี่ซือนักเรียนผู้หนึ่งในชั้นเรียนของอาจารย์ซ่างกวนจะถูกศัตรูจากอารามปลิดชีพ ร่างบางที่คุ้นเคยก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าและปกป้องเขาไว้
“ไสหัวไป !”
ฉินอวี้โม่โกรธแค้นเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นว่าศัตรูกำลังจะลงมือสังหารหลี่ซืออย่างไม่ลังเล คุณหนูสี่แห่งตระกูลฉินก็พุ่งตรงเข้าสกัดการโจมตีของอีกฝ่ายไว้ในทันที
— ปัง ! —
กำปั้นของฉินอวี้โม่พุ่งตรงออกไปว่องไวราวสายฟ้าแลบ บุรุษชุดดำไม่มีเวลาพอจะปัดป้องมัน เขาทำไม่ได้แม้แต่จะรู้ตัวเสียด้วยซ้ำ นั่นจึงทำให้ร่างของเขาถูกฉินอวี้โม่ซัดกระเด็นไปไกล
“เอื้อออออก !”
คนชุดดำผู้ถูกซัดจนกระเด็นยังไม่ทันที่จะตั้งสติได้ เขาก็รู้สึกว่าร่างของตนถูกบางสิ่งบางอย่างทะลวงผ่าน เขารู้สึกเจ็บแปล๊บขึ้นที่หน้าอกก่อนที่จะพบว่ามีกระบี่เล่มหนึ่งกำลังเสียบทะลุทรวงอกของตัวเองอยู่
พริบตาถัดมากระบี่ก็ถูกดึงกลับออกไป ร่างของบุรุษชุดดำล้มลงไปบนพื้นและสิ้นลมหายใจในทันใด
“ขอโทษที่ข้ามาช้า”
ฉินอวี้โม่สังหารบุรุษชุดดำด้วยกระบี่ อาภรณ์ของนางถูกหยดเลือดเล็ก ๆ จำนวนหนึ่งกระเด็นมาเปื้อน อย่างไรก็ตามนักฆ่าสาวในร่างคุณหนูก็มิได้ใส่ใจ นางมองไปยังเหล่าสหายที่กำลังอึ้งงันกันอยู่ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด
เมื่อเห็นฉากการต่อสู้อันนองเลือด เห็นสหายร่วมชั้นที่ได้รับบาดเจ็บ เห็นพวกเขาพยายามรับมือกับศัตรูร่วมกันอย่างเต็มที่ฉินอวี้โม่ก็ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้น ทุกคนต้องบาดเจ็บก็เพราะนาง นางจึงยิ่งรู้สึกเกลียดชังขุมกำลังชั่วร้ายอย่างอารามมากขึ้นเรื่อย ๆ ในเวลานี้ภายในใจของคุณหนูตระกูลฉินเต็มไปด้วยความโกรธแค้น การโจมตีด้วยกระบี่เมื่อครู่เป็นเสมือนสัญลักษณ์แทนความแค้นเคืองของนาง
“คุณหนู !”
เสี่ยวโร่วตั้งสติได้ก่อนและตอบสนอง นางส่งเสียงออกมาด้วยความตื่นเต้น
“ในที่สุดฉินอวี้โม่ก็มาช่วยพวกเราแล้ว”
คนอื่น ๆ ต่างก็พากันยิ้มออกมาเต็มหน้าแม้ว่าจะอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่มากก็ตาม แม้ว่าเนื้อตัวจะเต็มไปด้วยบาดแผลมากมายแต่ก็ไม่สามารถบั่นทอนจิตใจที่รู้สึกยินดีของพวกเขาได้
— ปัง ! —
ซ่างกวนซวี่และผู้นำของกลุ่มบุรุษชุดดำปะทะกันอีกหนึ่งกระบวนท่าก่อนที่ต่างฝ่ายจะแยกออกและถอยห่าง
และในตอนนี้เองที่ร่างของปิงเสวียน ลั่วเฉินและยอดฝีมือรุ่นเยาว์แห่งโรงเรียนราชสำนักคนอื่น ๆ ปรากฏขึ้นกลางอากาศ
.