คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 119 ความอับอายขายหน้าของจีหย่ง

ฉินอวี้โม่และเหล่านักเรียนแห่งโรงเรียนราชสำนักมองดูกลุ่มผู้รุกรานจากอารามวิ่งหนีจนลับหายไปจากสายตา ทว่าพวกเขาทั้งหมดก็ไม่ได้คิดจะไล่ตาม

ในเวลานี้แม้ว่าพวกเขาหลายคนจะได้รับบาดเจ็บ แต่ทุกคนก็ทราบดีว่าฝ่ายศัตรูเสียหายหนักกว่าพวกเขามาก ไม่ใช่แต่เพียงถูกฆ่าตายไปไม่น้อย แม้แต่บุรุษผู้เป็นหัวหน้าก็ยังถูกฉินอวี้โม่ตัดแขนขาดไปข้างหนึ่ง

หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ความขัดแย้งระหว่างอารามและโรงเรียนราชสำนักก็นับว่าได้ก่อกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว และอีกไม่นานขุมกำลังจอมอหังการอย่างอารามก็คงจะบุกมาเอาคืนเป็นแน่

“ดูเหมือนว่าบทเรียนของเราคงจะต้องล้มเลิกเสียแล้ว ตอนนี้ก็ช่วยกันเก็บกวาดสนามรบและเตรียมกลับโรงเรียนกันได้ ข้าจะเป็นคนไปรายงานท่านอธิการในเรื่องนี้เอง”

อาจารย์ซ่างกวนซวี่ประกาศบอกนักเรียนของตนด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าบทเรียนการเอาตัวรอดยามค่ำคืนของเขาจะต้องล้มเลิกไปด้วยเหตุไม่คาดฝัน ทว่าเป้าหมายของผู้เป็นอาจารย์อย่างเขาก็บรรลุผลแล้ว เมื่อมองดูเหล่านักเรียนที่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซ่างกวนซวี่ก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ

“ปิงเสวียน ลั่วเฉิน พวกเจ้าทุกคน ขอบคุณมากสำหรับความช่วยเหลือ”

ซ่างกวนซวี่กล่าวขอบคุณเหล่านักเรียนแนวหน้าของโรงเรียนด้วยรอยยิ้มจริงใจ

“อาจารย์ซ่างกวนเกรงใจเกินไปแล้ว พวกเราล้วนเป็นนักเรียนของโรงเรียน นี่เป็นสิ่งที่เราควรทำ”

ลั่วเฉินส่งยิ้มตอบกลับให้อาจารย์ผู้เข้มงวดอย่างนอบน้อม เขาไม่ขอรับความดีความชอบนี้

ต้องกล่าวเลยว่า สิ่งที่ทำให้ซ่างกวนซวี่ตื่นตะลึงมากที่สุดในวันนี้ก็คือความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่นักเรียนผู้น่าประหลาดใจในชั้นเรียนของเขา

เมื่อตกอยู่ภายใต้โทสะอันแรงกล้าที่พร้อมจะระเบิดออกมาทุกเมื่อ ความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ก็แทบไม่ได้ด้อยไปกว่านักเรียนสามอันดับแรกของโรงเรียนเลย ซึ่งนี่ก็ทำให้ลั่วเฉินและนักเรียนระดับแนวหน้าคนอื่น ๆ เกิดความสงสัยในตัวคุณหนูตระกูลฉินผู้นี้เป็นอย่างมาก

“รุ่นน้องอวี้โม่ หากว่าเจ้ามีเวลาลองมาประลองกับข้าหน่อยได้หรือไม่ ?”

บุรุษผู้ชื่นชอบในการต่อสู้อย่างหลินซิวหยา เดินเข้าไปหารุ่นน้องหน้าใหม่ผู้สามารถตัดแขนยอดฝีมือที่แข็งแกร่งกว่าตนเองได้ ก่อนจะเอ่ยชักชวนด้วยรอยยิ้ม

“รุ่นพี่หลินซิวหยา ลืมเรื่องนี้เสียดีกว่า ข้าเป็นเพียงสตรีอ่อนแอ คงมิอาจต้านทานการโจมตีอันทรงพลังของท่านได้แน่”

ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะก่อนจะกล่าวปฏิเสธด้วยรอยยิ้มเช่นกัน

เมื่อเห็นสหายทุกคนได้กินโอสถรักษาบาดแผลและมีอาการดีขึ้นแล้ว จิตใจและอารมณ์ของอดีตนักฆ่าสาวในร่างคุณหนูก็สงบลงจนสามารถกล่าวหยอกล้อกับบุรุษผู้เป็นรุ่นพี่ได้

“ฮ่า ๆ ๆ เหลวไหล รุ่นน้องฉินอวี้โม่เป็นเพียงผู้หญิงอ่อนแอรึ ? นี่เป็นเรื่องตลกที่น่าขำที่สุดเท่าที่ข้าเคยได้ยินมาในรอบปีนี้เลย”

เมื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่ หลินซิวหยาก็ฉีกยิ้มกว้างก่อนจะหัวเราะร่วนเสียงดัง

ต้องยอมรับเลยว่าเมื่อครู่สตรีรุ่นน้องผู้นี้สร้างแรงกดดันให้เขาอย่างมหาศาล หากเป็นก่อนหน้านี้ ในตอนที่เขายังไม่ได้เห็นนางลงมือและไม่เคยรู้จักหรือทราบถึงความแข็งแกร่งของนางมาก่อน  หลินซิวหยาก็อาจจะหลงเชื่อว่าคนตรงหน้าเป็นเพียงหญิงสาวบอบบางอ่อนแอน่าทะนุถนอม ทว่าเมื่อได้เห็นพลังความสามารถของนางอย่างเต็มสองตาแล้ว เขาก็ไม่สามารถมองสตรีงดงามตรงหน้าเป็นเพียงหญิงสาวผู้อ่อนแอได้เลย อาจจะกล่าวว่านางเป็นสตรีที่น่ากลัวมากผู้หนึ่งเสียด้วยซ้ำ

“ก็ได้ ไว้ถ้ามีโอกาสข้าจะไปขอคำชี้แนะจากรุ่นพี่หลินซิวหยา”

ฉินอวี้โม่ยิ้ม นางชมชอบคนตรงไปตรงมาและยังชื่นชมในความกล้าหาญบ้าบิ่นของหลินซิวหยาผู้นี้

“ดีมาก ข้าจะตั้งตารอเลย รุ่นน้องอวี้โม่”

หลินซิวหยายิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวซี่ใหญ่ครบทุกซี่ เมื่อบุรุษร่างสูงใหญ่ที่ถือขวานยักษ์ในมือยิ้มอย่างเต็มที่ก็ดูน่ารักไปอีกแบบ

“ขอบคุณรุ่นพี่ทั้งหลายสำหรับความช่วยเหลือในวันนี้”

ฉินอวี้โม่เข้าไปขอบคุณปิงเสวียน ลั่วเฉินและนักเรียนระดับแนวหน้าคนอื่น ๆ ของโรงเรียน แม้ว่าพวกเขาจะเพียงทำตามคำสั่งของท่านอธิการมู่อวิ๋น แต่อย่างไรก็ถือว่ารุ่นพี่ทั้งหมดได้ช่วยเหลือเหล่าสหายของนางเอาไว้

“น้องอวี้โม่ไม่ต้องเกรงใจ ข้าว่าต่อให้พวกเราไม่มา เจ้าก็น่าจะรับมือคนเดียวได้อยู่แล้ว”

ลั่วเฉินบุรุษอ่อนโยนใจดีฉีกยิ้มก่อนจะกล่าวหยอกล้อสตรีรุ่นน้อง

“รุ่นพี่ลั่วเฉินกล่าวถูกแล้ว ข้าเองก็คิดเช่นนั้น”

เพ่ยหลงยิ้มและกล่าวสนับสนุนบุรุษรุ่นพี่

“เหอะ ฉินอวี้โม่ วันนี้ที่พวกเราต้องเสียเวลามาก็เพราะเจ้าคนเดียว ยิ่งกว่านั้นถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าทุกคนก็คงไม่ตกอยู่ในอันตราย เจ้าไม่รู้สึกผิดหรือคิดจะขอโทษทุกคนบ้างรึไง ? และเป็นเพราะเจ้าคนเดียว ตอนนี้ทั้งโรงเรียนราชสำนักถึงได้กลายเป็นศัตรูของอารามอย่างเต็มตัวไปแล้ว แบบนี้เจ้ายังจะกล้าเสนอหน้าอยู่ในโรงเรียนของเราต่อไปอีกอย่างนั้นรึ !”

“แล้วพวกเจ้าทุกคนจะยินดีให้ตัวอันตรายอย่างนางอยู่ใกล้ไปตลอดเลยรึ คิดให้ดี ๆ วันนี้ก็ได้เห็นแล้วนี่หากไม่มีนางสักคนพวกเจ้าก็คงจะไม่ต้องตกอยู่ในอันตรายจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดแบบนี้”

จีหย่งกล่าววาจาถากถางฉินอวี้โม่อย่างไม่ไว้หน้า เขาเกลียดชังสตรีผู้นี้เข้ากระดูก ในเมื่อได้โอกาสที่ดี มองเห็นความผิดของนางเช่นนี้เขาจึงไม่ลังเลที่จะรีบฉกฉวยและรีบใช้มันเล่นงานนาง

ยิ่งกว่านั้นเรื่องที่กล่าวว่าทุกคนตกอยู่ในอันตรายเพราะฉินอวี้โม่ก็ไม่ได้ผิดไปจากความจริงเลยสักนิด และจีหย่งก็ไม่เชื่อว่าในบรรดานักเรียนร่วมชั้นเรียนเดียวกับนางทั้งหมดจะไม่มีผู้ใดเลยที่นึกตำหนิสตรีโอหังเช่นนาง เขาคิดว่าเมื่อกล่าวเรื่องนี้ออกมาก็น่าจะได้รับเสียงสนับสนุน ซึ่งนั่นก็จะทำให้ฉินอวี้โม่อยู่ร่วมกับสหายคนอื่น ๆ ในชั้นได้ยากลำบาก

“จีหย่ง ข้าว่าเจ้าหุบปากเสียดีกว่า เรื่องของชั้นเรียนเรา เจ้าไม่ต้องเข้ามายุ่ง !”

ไม่คิดเลยว่าทันทีที่สิ้นวาจาว่าร้ายของจีหย่ง เยว่ชิงเฉิงสตรีผู้ตรงไปตรงมาจะโพล่งวาจาด่าทอทันควัน นางจ้องมองเขาตาเขม็ง

“ใช่แล้ว นี่เป็นเรื่องของพวกเราเจ้าไม่เกี่ยว”

“ใช่ ๆ ยุยงให้ผู้อื่นแตกคอกันมันไม่ใช่ลูกผู้ชาย !”

นักเรียนหน้าใหม่ผู้ร่วมชั้นเรียนกับฉินอวี้โม่ส่งเสียงอย่างไม่พอใจ พวกเขาไม่สามารถทนฟังจีหย่งบุรุษอันธพาลเอ่ยคำถากถางสหายของพวกเขาได้

“รุ่นพี่จีหย่ง ฉินอวี้โม่คือสหายของพวกเรา ไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นพวกเราก็คือพวกเดียวกัน หากจะสู้ก็ต้องสู้ด้วยกัน จะถอยก็ถอยพร้อมกัน แม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้จะเป็นเพราะอวี้โม่หรือไม่ เราทั้งหมดก็ไม่คิดตำหนิหรือโกรธเคืองนาง ตรงกันข้ามพวกเราจะสนับสนุนสหายผู้นี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม”

หลิงซวงประกาศจุดยืนก่อนจะกล่าวต่อ “ถ้าคิดจะยุแยงให้พวกเราทั้งหมดแตกคอ ข้าขอบอกว่าอย่าเสียเวลาเปล่าเลย พวกเราทั้งหมดเป็นพวกเดียวกันและเราจะไม่แตกแยกกันเพราะคนนอกอย่างเด็ดขาด”

“หลิงซวงพูดถูก เพราะเราคือพวกพ้อง ดังนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเราก็จะเผชิญหน้าและรับมือกับมันไปด้วยกัน จีหย่ง เจ้าอย่ามาเสแสร้งเป็นคนดีช่วยทวงความเป็นธรรมที่นี่ พวกเราไม่ได้ต้องการคำขอโทษจากอวี้โม่ และเราไม่เคยคิดจะถือโทษโกรธนางในเรื่องนี้ อันที่จริงเรากลับต้องรู้สึกยินดีเสียมากกว่าเพราะเหตุการณ์ในวันนี้ถึงทำให้ทุกคนสามัคคีกันได้ หากเจอเรื่องเช่นนี้ในอนาคตพวกเราก็จะฝ่าฟันไปด้วยกัน”

สือซานประกาศกร้าวด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่นซึ่งนั่นก็สามารถเรียกเสียงเสียงเฮและเสียงสนับสนุนจากสหายในชั้นเรียนได้อย่างล้นหลาม

“ใช่แล้ว สือซานพูดถูก”

“ใช่ ๆ ข้าเห็นด้วย”

“ข้าก็ด้วย”

เมื่อได้ฟังจุดยืนอันน่าหัวเราะของเหล่านักเรียนใหม่ สีหน้าของจีหย่งก็ขาวซีดไปชั่วขณะก่อนจะเปลี่ยนเป็นคล้ำเข้มมืดมน ใบหน้าของบุรุษผู้ต้องการให้ร้ายสตรีรุ่นน้องบิดเบี้ยวจนน่าเกลียด เขาไม่คิดเลยว่าจะกลายเป็นแบบนี้ไปได้

แทนที่จะเกลียดฉินอวี้โม่ ทว่าพวกนักเรียนใหม่กลับหันมาโกรธเขาแทน หนำซ้ำยังต่อว่าคนที่พูดความจริงอย่างเขา เรื่องนี้ทำให้จีหย่งรู้สึกทั้งอับอายจนอยากแทรกแผ่นดินหนีและโกรธแค้นจนอยากจะซัดใครสักคนเพื่อระบายโทสะ

ซ่างกวนซวี่พยักหน้าอย่างพึงพอใจ นี่แหละคือสิ่งที่ผู้เป็นอาจารย์อย่างเขาอยากจะเห็นจากนักเรียนทุกคนในชั้นเรียน …ความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือพวกพ้อง รักษาน้ำใจกันและกันโดยไม่คิดแบ่งแยกไม่คิดถือโทษโกรธเคืองกันเอง

“อาจารย์ซ่างกวนซวี่ ข้าขอตัวกลับไปรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นก่อน”

จีหย่งทนเห็นสายตาประณามหยามเหยียดของเหล่านักเรียนหน้าใหม่ที่จ้องมองมาต่อไปไม่ไหว เขาอยากรีบไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

ซ่างกวนซวี่พยักหน้า เขาไม่คิดจะรั้งตัวนักเรียนแซ่จีผู้นี้เอาไว้

จีหย่งมองฉินอวี้โม่อย่างเคียดแค้นครั้งหนึ่งก่อนจะพุ่งทะยานไปในความมืด หายลับไปจากสายตาของทุกคน

มุมปากของฉินอวี้โม่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มสาแก่ใจเมื่อมองตามร่างของจีหย่ง ทว่าเมื่อมองดูเหล่าสหายร่วมชั้นเรียนแล้วแววแห่งความซาบซึ้งใจก็ปรากฏบนใบหน้านวล เดิมทีอดีตนักฆ่าสาวทำใจไว้แล้วว่าจะต้องมีคนตำหนินางในเรื่องนี้แน่ ทว่าไม่คิดเลยว่าสหายของนางจะกลมเกลียวกันและยังสนับสนุนนางกันมากมายถึงเพียงนี้

“ขอบคุณมากที่เชื่อใจข้า และขอบคุณในความใจกว้างของทุกคนด้วย”

ฉินอวี้โม่ส่งยิ้มให้สหายทั้งหลาย นางรู้สึกขอบคุณพวกเขาจากส่วนลึกของหัวใจ

“อวี้โม่ เจ้าพูดอะไรของเจ้า พวกเราเป็นสหายกันนะ ไม่มีอะไรต้องขอบคุณหรอก หากเป็นพวกเราที่มีเรื่องเดือดร้อนเจ้าก็คงจะไม่นิ่งดูดายและตำหนิพวกเราเหมือนกันไม่ใช่หรือ ?”

สตรีผู้เอ่ยวาจามีนามว่าจางเหวิน ตั้งแต่เข้าเรียนโรงเรียนราชสำนัก นางยังไม่เคยพูดคุยกับฉินอวี้โม่เลยสักครั้ง แต่ในวันนี้นางสามารถกล่าวกับคุณหนูตระกูลฉินผู้เก่งกาจได้อย่างเป็นกันเองและไม่ขัดเขินแม้แต่น้อย

“ใช่แล้ว พวกเราล้วนเป็นสหายกัน”

ฉินอวี้โม่พยักหน้ารับ ในตอนนั้นเองที่นางรู้สึกว่าได้รับการยอมรับจากทุกคนในชั้นเรียน สหายทุกคนในชั้นเรียนนี้ล้วนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยแท้ …เวลานี้อดีตสาวนักฆ่าจากศตวรรษที่ 21 ประจักษ์ถึงความเป็นพวกพ้องที่ทุกคนในชั้นเรียนอาจารย์ซ่างกวนซวี่ยึดถือ อีกทั้งยังมีมิตรภาพและน้ำใจไมตรีที่พวกเขาหยิบยื่นให้กันและกันซึ่งนั่นก็รวมมาถึงตัวนางเองด้วย…อย่างชัดเจนแล้ว

“ต้องแบบนี้สิ !”

โอวหยางชิงเฟิงก้าวมาข้างหน้าพร้อมกับเอ่ยเสียงดังด้วยรอยยิ้มกว้าง

ไม่ต่างจากสหายคนอื่น ๆ ที่อยู่โดยรอบ พวกเขาทั้งหมดต่างก็ส่งรอยยิ้มให้แก่กันอย่างทั่วหน้า

“อวี้โม่ ขอบคุณเจ้ามาก หากว่าไม่ใช่เพราะเจ้ามาช่วย ข้าคงจะกลายเป็นศพไปแล้ว”

หลี่ซือผู้เกือบถูกคนชุดดำจากอารามสังหารมองฉินอวี้โม่พลางเอ่ยจากใจจริง ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าสหายสาวผู้นี้คงไม่ต้องการคำขอบคุณ ทว่าเขาก็ยังอดที่จะกล่าวมันออกมาไม่ได้

“อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย ระหว่างพวกเราไม่มีอะไรต้องเกรงใจกัน”

ฉินอวี้โม่พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

“ใช่ มาจับมือกันเพื่อฉลองแด่ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชั้นเรียนเรา !”

เยว่ชิงเฉิงร้องบอกข้อเสนอเสียงสดใส แน่นอนว่าทุกคนพยักหน้าและรีบทำตาม นักเรียนแห่งห้องเรียนสามัญอาจารย์ซ่างกวนผู้เข้มงวดจับมือยืนล้อมเป็นวงกลม

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเราก็คือพวกเดียวกัน สู้ก็สู้ด้วยกันถอยก็ถอยด้วยกัน !”

ทุกคนกล่าวเสียงดังอย่างพร้อมเพรียง ใบหน้าของพวกเขาทั้งหมดล้วนประดับไปด้วยรอยยิ้ม

แม้จะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ในตอนนี้ทุกคนต่างก็เป็นสหายกันแล้ว พวกเขามองหน้ากันและกันอย่างชื่นมื่นและยินดีในมิตรภาพที่แน่นแฟ้น พวกเขารู้ว่าสิ่งที่กล่าวออกไปเป็นดั่งคำปฏิญาณเป็นเหมือนคำมั่นสัญญาที่ไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้าคนทั้งหมดก็รู้ดีว่ามันจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

…ทว่ากลับมีสิ่งหนึ่งที่นักเรียนรุ่นเยาว์เหล่านี้ยังไม่รู้ นั่นคือ ชะตาได้กำหนดเอาไว้แล้วว่าพวกเขาเหล่านี้จะกลายเป็นชั้นเรียนที่โรงเรียนราชสำนักภาคภูมิใจมากที่สุด…

“เอาล่ะ ทุกคนเหนื่อยกันมามาก กลับกันได้แล้ว สามวันข้างหน้าถือเป็นวันหยุดของพวกเจ้า เมื่อถึงโรงเรียนแล้วก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนได้ พักเอาแรงกันให้เต็มที่แต่อีกสี่วันหลังจากนี้ต้องมาเข้าชั้นเรียนของข้าห้ามขาดห้ามสาย พวกเจ้ามีสิ่งที่ต้องฝึกฝนกันอีกมาก”

อาจารย์ซ่างกวนซวี่พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแล้วเอ่ยอนุญาตให้เหล่านักเรียนได้หยุดพัก ทว่าอาจารย์ผู้เข้มงวดก็ยังมิวายขู่กำชับในท้ายประโยค

“เฮ้ ในที่สุดพวกเราก็มีวันหยุดแล้ว !”

เมื่อสิ้นเสียงประกาศของอาจารย์ที่ปรึกษาสุดโหด นักเรียนทั้งชั้นต่างก็ส่งเสียงโห่ร้องออกมา เวลานี้บรรยากาศอันแสนอึดอัดทั้งหลายได้มลายหายไปจนหมดสิ้น

พวกเขาใช้เวลากันกว่าหนึ่งชั่วยามกว่าจะกลับมาถึงโรงเรียน ทันทีที่ก้าวผ่านประตูโรงเรียนเข้ามาได้ อาจารย์ซ่างกวนก็หยุดนักเรียนของเขาเอาไว้

“อวี้โม่ ฉีอวี้ ชิงเฉิง เสี่ยวโร่ว ชิงเฟิง พวกเจ้าห้าคนไปที่ห้องทำงานของอธิการพร้อมกับข้า ส่วนคนอื่น ๆ ที่เหลือกลับไปพักผ่อนได้”

ซ่างกวนซวี่กล่าว เขาอยากเข้าพบอธิการมู่อวิ๋นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะมีบางเรื่องที่ตัวเขาเองยังไม่ทราบและต้องการถามให้แน่ชัด

“ขอบรับ/เจ้าค่ะ อาจารย์”

ทุกคนต่างก็ก้มศีรษะลงทำความเคารพผู้เป็นอาจารย์ ก่อนจะหันไปส่งยิ้มเป็นเชิงบอกลาให้ฉินอวี้โม่กับสหายอีกสี่คน นักเรียนที่ไม่ถูกเรียกตัวไว้พากันเดินกลับไปยังห้องพักของตัวเอง

“ปิงเสวียน ลั่วเฉิน พวกเจ้าก็ตามพวกเรามาด้วย”

ซ่างกวนซวี่กล่าวขึ้นมาอีกหนึ่งประโยค ก่อนจะรีบมุ่งหน้าไปยังห้องทำงานของอธิการโดยไม่รั้งรอ

ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ หันมามองหน้ากันก่อนจะเดินตามซ่างกวนซวี่ไปที่ห้องทำงานของมู่อวิ๋น

ณ ห้องทำงานของอธิการแห่งโรงเรียนราชสำนัก มู่อวิ๋นยืนรออยู่ด้านหลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ สีหน้าของเขาติดจะเป็นกังวลเล็กน้อย และนอกเหนือจากท่านอธิการผมสีมหาสมุทรแล้ว ผู้อาวุโสชุดดำที่มักจะอยู่กับเขาก็ยืนอยู่ภายในห้องนั้นด้วย

“ท่านอธิการ พวกเรากลับมาแล้วขอรับ”

เมื่อเข้ามาในห้อง ซ่างกวนซวี่ก็โค้งคำนับมู่อวิ๋นอย่างนอบน้อมก่อนจะเอ่ยขึ้น

“ท่านอธิการพวกเรากลับมาแล้ว ขอบรับ/เจ้าค่ะ”

ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เองก็โค้งคำนับท่านอธิการโรงเรียนและเอ่ยขึ้นมาอย่างนอบน้อมเช่นกัน

“ทุกคนกลับมากันแล้วหรือ ไม่มีใครเป็นอะไรใช่ไหม ?”

บุรุษผู้มีตำแหน่งสูงสุดในโรงเรียนราชสำนักระบายยิ้มโล่งอกพลางมองดูซ่างกวนซวี่ แม้ว่าเขาจะคอยจับตาดูสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตลอด ทว่ามู่อวิ๋นก็ยังคงเอ่ยคำถาม เขาอยากเห็นกับตาและได้ยินกับหู

ในตอนที่เขามองเห็นการต่อสู้ของฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ผ่านทางจอภาพมายา แม้แต่ตัวเขาที่เป็นถึงอธิการโรงเรียนก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกทึ่งและชื่นชมในความเก่งกาจของนักเรียนในชั้นเรียนนี้

โดยเฉพาะดรุณีน้อยนามฉินอวี้โม่ผู้อยู่ตรงหน้า ความแข็งแกร่งของนางเรียกได้ว่าก้าวหน้าอย่างรวดเร็วจนน่ากลัว และที่สำคัญไม่แพ้กันคือนักเรียนใหม่ในชั้นเรียนของซ่างกวนซวี่ทั้งหมดดูกลมเกลียวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจนน่าประหลาด เขาเชื่อว่าในอนาคตนักเรียนในชั้นเรียนนี้จะต้องสร้างความประหลาดใจให้ทางโรงเรียนอีกแน่ ความสามัคคีของเหล่าศิษย์หน้าใหม่เช่นนี้ทำให้มู่อวิ๋นรู้สึกมีความสุขมาก

“ท่านอธิการไม่ต้องเป็นห่วง ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บที่หนักหนา มีแค่….”

ซ่างกวนซวี่เล่าเรื่องราวที่ได้เห็นและได้ยินมาทั้งหมดให้มู่อวิ๋นได้รับทราบ

“อวี้โม่ ไหนเจ้าลองเล่าเรื่องที่เจ้าสังหารผู้อาวุโสสองของอารามภายในดินแดนต้องห้ามให้พวกเราได้ฟังหน่อยได้ไหม”

แม้ว่าจะรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว แต่มู่อวิ๋นก็ยังถามออกไป เพราะถึงอย่างไรคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้รู้เหมือนกับเขา

ฉินอวี้โม่พยักหน้าแล้วเริ่มต้นเล่าเรื่องราวแห่งความบาดหมางทั้งหมดระหว่างนางกับลิ่วรุ่ยผู้อาวุโสสองแห่งอารามให้ทุกคนฟัง นอกเหนือจากเรื่องที่เกิดขึ้นภายในดินแดนต้องห้ามแล้ว คุณหนูสี่ตระกูลฉินยังเล่าเรื่องที่นางลงมือสังหารลิ่วเยว่บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของลิ่วรุ่ยในเมืองเยว่กวางให้มู่อวิ๋นฟังอีกด้วย

หลังจากฟังเรื่องราวที่ฉินอวี้โม่เล่า น่าแปลกที่สีหน้าและแววตาของมู่อวิ๋นรวมถึงคนทั้งหมดในห้องไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย

“หากว่าเรื่องเป็นเช่นนี้ก็แปลว่าทางอารามเป็นฝ่ายผิดและล้ำเส้นก่อน ในเมื่อขุมกำลังจองหองนั่นกล้ามาทำร้ายนักเรียนของเรา เราก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าพวกมันอีกต่อไป”

ผู้อาวุโสชุดดำเอ่ยออกมาเสียงหนักแน่น จนถึงตอนนี้ฉินอวี้โม่และสหายคนอื่น ๆ ก็ยังไม่ทราบสถานะของคนผู้นี้

“ใช่ ในเรื่องนี้ฝ่ายที่ผิดก่อนก็คืออาราม และทางโรงเรียนราชสำนักของเราก็ไม่เคยคิดเกรงกลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น ซึ่งนั่นก็ไม่เว้นแม้แต่อารามด้วย”

มู่อวิ๋นพยักหน้า ก่อนจะกล่าวต่อ “ว่าแต่พวกเจ้าไม่คิดว่าเรื่องนี้มันดู ‘ค่อนข้างประหลาดไปสักหน่อย’ หรือ ‘ดูบังเอิญมากเกินไป’ บ้างเลยหรือ ?”

เมื่อได้ฟังสิ่งที่อาจารย์ผู้มีตำแหน่งสูงสุดของโรงเรียนกล่าว ทุกคนก็ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่ร่องรอยแห่งความสงสัยจะปรากฏบนใบหน้าของพวกเขา

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 119 ความอับอายขายหน้าของจีหย่ง

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 119 ความอับอายขายหน้าของจีหย่ง

ฉินอวี้โม่และเหล่านักเรียนแห่งโรงเรียนราชสำนักมองดูกลุ่มผู้รุกรานจากอารามวิ่งหนีจนลับหายไปจากสายตา ทว่าพวกเขาทั้งหมดก็ไม่ได้คิดจะไล่ตาม

ในเวลานี้แม้ว่าพวกเขาหลายคนจะได้รับบาดเจ็บ แต่ทุกคนก็ทราบดีว่าฝ่ายศัตรูเสียหายหนักกว่าพวกเขามาก ไม่ใช่แต่เพียงถูกฆ่าตายไปไม่น้อย แม้แต่บุรุษผู้เป็นหัวหน้าก็ยังถูกฉินอวี้โม่ตัดแขนขาดไปข้างหนึ่ง

หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ความขัดแย้งระหว่างอารามและโรงเรียนราชสำนักก็นับว่าได้ก่อกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว และอีกไม่นานขุมกำลังจอมอหังการอย่างอารามก็คงจะบุกมาเอาคืนเป็นแน่

“ดูเหมือนว่าบทเรียนของเราคงจะต้องล้มเลิกเสียแล้ว ตอนนี้ก็ช่วยกันเก็บกวาดสนามรบและเตรียมกลับโรงเรียนกันได้ ข้าจะเป็นคนไปรายงานท่านอธิการในเรื่องนี้เอง”

อาจารย์ซ่างกวนซวี่ประกาศบอกนักเรียนของตนด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าบทเรียนการเอาตัวรอดยามค่ำคืนของเขาจะต้องล้มเลิกไปด้วยเหตุไม่คาดฝัน ทว่าเป้าหมายของผู้เป็นอาจารย์อย่างเขาก็บรรลุผลแล้ว เมื่อมองดูเหล่านักเรียนที่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซ่างกวนซวี่ก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ

“ปิงเสวียน ลั่วเฉิน พวกเจ้าทุกคน ขอบคุณมากสำหรับความช่วยเหลือ”

ซ่างกวนซวี่กล่าวขอบคุณเหล่านักเรียนแนวหน้าของโรงเรียนด้วยรอยยิ้มจริงใจ

“อาจารย์ซ่างกวนเกรงใจเกินไปแล้ว พวกเราล้วนเป็นนักเรียนของโรงเรียน นี่เป็นสิ่งที่เราควรทำ”

ลั่วเฉินส่งยิ้มตอบกลับให้อาจารย์ผู้เข้มงวดอย่างนอบน้อม เขาไม่ขอรับความดีความชอบนี้

ต้องกล่าวเลยว่า สิ่งที่ทำให้ซ่างกวนซวี่ตื่นตะลึงมากที่สุดในวันนี้ก็คือความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่นักเรียนผู้น่าประหลาดใจในชั้นเรียนของเขา

เมื่อตกอยู่ภายใต้โทสะอันแรงกล้าที่พร้อมจะระเบิดออกมาทุกเมื่อ ความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ก็แทบไม่ได้ด้อยไปกว่านักเรียนสามอันดับแรกของโรงเรียนเลย ซึ่งนี่ก็ทำให้ลั่วเฉินและนักเรียนระดับแนวหน้าคนอื่น ๆ เกิดความสงสัยในตัวคุณหนูตระกูลฉินผู้นี้เป็นอย่างมาก

“รุ่นน้องอวี้โม่ หากว่าเจ้ามีเวลาลองมาประลองกับข้าหน่อยได้หรือไม่ ?”

บุรุษผู้ชื่นชอบในการต่อสู้อย่างหลินซิวหยา เดินเข้าไปหารุ่นน้องหน้าใหม่ผู้สามารถตัดแขนยอดฝีมือที่แข็งแกร่งกว่าตนเองได้ ก่อนจะเอ่ยชักชวนด้วยรอยยิ้ม

“รุ่นพี่หลินซิวหยา ลืมเรื่องนี้เสียดีกว่า ข้าเป็นเพียงสตรีอ่อนแอ คงมิอาจต้านทานการโจมตีอันทรงพลังของท่านได้แน่”

ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะก่อนจะกล่าวปฏิเสธด้วยรอยยิ้มเช่นกัน

เมื่อเห็นสหายทุกคนได้กินโอสถรักษาบาดแผลและมีอาการดีขึ้นแล้ว จิตใจและอารมณ์ของอดีตนักฆ่าสาวในร่างคุณหนูก็สงบลงจนสามารถกล่าวหยอกล้อกับบุรุษผู้เป็นรุ่นพี่ได้

“ฮ่า ๆ ๆ เหลวไหล รุ่นน้องฉินอวี้โม่เป็นเพียงผู้หญิงอ่อนแอรึ ? นี่เป็นเรื่องตลกที่น่าขำที่สุดเท่าที่ข้าเคยได้ยินมาในรอบปีนี้เลย”

เมื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่ หลินซิวหยาก็ฉีกยิ้มกว้างก่อนจะหัวเราะร่วนเสียงดัง

ต้องยอมรับเลยว่าเมื่อครู่สตรีรุ่นน้องผู้นี้สร้างแรงกดดันให้เขาอย่างมหาศาล หากเป็นก่อนหน้านี้ ในตอนที่เขายังไม่ได้เห็นนางลงมือและไม่เคยรู้จักหรือทราบถึงความแข็งแกร่งของนางมาก่อน  หลินซิวหยาก็อาจจะหลงเชื่อว่าคนตรงหน้าเป็นเพียงหญิงสาวบอบบางอ่อนแอน่าทะนุถนอม ทว่าเมื่อได้เห็นพลังความสามารถของนางอย่างเต็มสองตาแล้ว เขาก็ไม่สามารถมองสตรีงดงามตรงหน้าเป็นเพียงหญิงสาวผู้อ่อนแอได้เลย อาจจะกล่าวว่านางเป็นสตรีที่น่ากลัวมากผู้หนึ่งเสียด้วยซ้ำ

“ก็ได้ ไว้ถ้ามีโอกาสข้าจะไปขอคำชี้แนะจากรุ่นพี่หลินซิวหยา”

ฉินอวี้โม่ยิ้ม นางชมชอบคนตรงไปตรงมาและยังชื่นชมในความกล้าหาญบ้าบิ่นของหลินซิวหยาผู้นี้

“ดีมาก ข้าจะตั้งตารอเลย รุ่นน้องอวี้โม่”

หลินซิวหยายิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวซี่ใหญ่ครบทุกซี่ เมื่อบุรุษร่างสูงใหญ่ที่ถือขวานยักษ์ในมือยิ้มอย่างเต็มที่ก็ดูน่ารักไปอีกแบบ

“ขอบคุณรุ่นพี่ทั้งหลายสำหรับความช่วยเหลือในวันนี้”

ฉินอวี้โม่เข้าไปขอบคุณปิงเสวียน ลั่วเฉินและนักเรียนระดับแนวหน้าคนอื่น ๆ ของโรงเรียน แม้ว่าพวกเขาจะเพียงทำตามคำสั่งของท่านอธิการมู่อวิ๋น แต่อย่างไรก็ถือว่ารุ่นพี่ทั้งหมดได้ช่วยเหลือเหล่าสหายของนางเอาไว้

“น้องอวี้โม่ไม่ต้องเกรงใจ ข้าว่าต่อให้พวกเราไม่มา เจ้าก็น่าจะรับมือคนเดียวได้อยู่แล้ว”

ลั่วเฉินบุรุษอ่อนโยนใจดีฉีกยิ้มก่อนจะกล่าวหยอกล้อสตรีรุ่นน้อง

“รุ่นพี่ลั่วเฉินกล่าวถูกแล้ว ข้าเองก็คิดเช่นนั้น”

เพ่ยหลงยิ้มและกล่าวสนับสนุนบุรุษรุ่นพี่

“เหอะ ฉินอวี้โม่ วันนี้ที่พวกเราต้องเสียเวลามาก็เพราะเจ้าคนเดียว ยิ่งกว่านั้นถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าทุกคนก็คงไม่ตกอยู่ในอันตราย เจ้าไม่รู้สึกผิดหรือคิดจะขอโทษทุกคนบ้างรึไง ? และเป็นเพราะเจ้าคนเดียว ตอนนี้ทั้งโรงเรียนราชสำนักถึงได้กลายเป็นศัตรูของอารามอย่างเต็มตัวไปแล้ว แบบนี้เจ้ายังจะกล้าเสนอหน้าอยู่ในโรงเรียนของเราต่อไปอีกอย่างนั้นรึ !”

“แล้วพวกเจ้าทุกคนจะยินดีให้ตัวอันตรายอย่างนางอยู่ใกล้ไปตลอดเลยรึ คิดให้ดี ๆ วันนี้ก็ได้เห็นแล้วนี่หากไม่มีนางสักคนพวกเจ้าก็คงจะไม่ต้องตกอยู่ในอันตรายจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดแบบนี้”

จีหย่งกล่าววาจาถากถางฉินอวี้โม่อย่างไม่ไว้หน้า เขาเกลียดชังสตรีผู้นี้เข้ากระดูก ในเมื่อได้โอกาสที่ดี มองเห็นความผิดของนางเช่นนี้เขาจึงไม่ลังเลที่จะรีบฉกฉวยและรีบใช้มันเล่นงานนาง

ยิ่งกว่านั้นเรื่องที่กล่าวว่าทุกคนตกอยู่ในอันตรายเพราะฉินอวี้โม่ก็ไม่ได้ผิดไปจากความจริงเลยสักนิด และจีหย่งก็ไม่เชื่อว่าในบรรดานักเรียนร่วมชั้นเรียนเดียวกับนางทั้งหมดจะไม่มีผู้ใดเลยที่นึกตำหนิสตรีโอหังเช่นนาง เขาคิดว่าเมื่อกล่าวเรื่องนี้ออกมาก็น่าจะได้รับเสียงสนับสนุน ซึ่งนั่นก็จะทำให้ฉินอวี้โม่อยู่ร่วมกับสหายคนอื่น ๆ ในชั้นได้ยากลำบาก

“จีหย่ง ข้าว่าเจ้าหุบปากเสียดีกว่า เรื่องของชั้นเรียนเรา เจ้าไม่ต้องเข้ามายุ่ง !”

ไม่คิดเลยว่าทันทีที่สิ้นวาจาว่าร้ายของจีหย่ง เยว่ชิงเฉิงสตรีผู้ตรงไปตรงมาจะโพล่งวาจาด่าทอทันควัน นางจ้องมองเขาตาเขม็ง

“ใช่แล้ว นี่เป็นเรื่องของพวกเราเจ้าไม่เกี่ยว”

“ใช่ ๆ ยุยงให้ผู้อื่นแตกคอกันมันไม่ใช่ลูกผู้ชาย !”

นักเรียนหน้าใหม่ผู้ร่วมชั้นเรียนกับฉินอวี้โม่ส่งเสียงอย่างไม่พอใจ พวกเขาไม่สามารถทนฟังจีหย่งบุรุษอันธพาลเอ่ยคำถากถางสหายของพวกเขาได้

“รุ่นพี่จีหย่ง ฉินอวี้โม่คือสหายของพวกเรา ไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นพวกเราก็คือพวกเดียวกัน หากจะสู้ก็ต้องสู้ด้วยกัน จะถอยก็ถอยพร้อมกัน แม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้จะเป็นเพราะอวี้โม่หรือไม่ เราทั้งหมดก็ไม่คิดตำหนิหรือโกรธเคืองนาง ตรงกันข้ามพวกเราจะสนับสนุนสหายผู้นี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม”

หลิงซวงประกาศจุดยืนก่อนจะกล่าวต่อ “ถ้าคิดจะยุแยงให้พวกเราทั้งหมดแตกคอ ข้าขอบอกว่าอย่าเสียเวลาเปล่าเลย พวกเราทั้งหมดเป็นพวกเดียวกันและเราจะไม่แตกแยกกันเพราะคนนอกอย่างเด็ดขาด”

“หลิงซวงพูดถูก เพราะเราคือพวกพ้อง ดังนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเราก็จะเผชิญหน้าและรับมือกับมันไปด้วยกัน จีหย่ง เจ้าอย่ามาเสแสร้งเป็นคนดีช่วยทวงความเป็นธรรมที่นี่ พวกเราไม่ได้ต้องการคำขอโทษจากอวี้โม่ และเราไม่เคยคิดจะถือโทษโกรธนางในเรื่องนี้ อันที่จริงเรากลับต้องรู้สึกยินดีเสียมากกว่าเพราะเหตุการณ์ในวันนี้ถึงทำให้ทุกคนสามัคคีกันได้ หากเจอเรื่องเช่นนี้ในอนาคตพวกเราก็จะฝ่าฟันไปด้วยกัน”

สือซานประกาศกร้าวด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่นซึ่งนั่นก็สามารถเรียกเสียงเสียงเฮและเสียงสนับสนุนจากสหายในชั้นเรียนได้อย่างล้นหลาม

“ใช่แล้ว สือซานพูดถูก”

“ใช่ ๆ ข้าเห็นด้วย”

“ข้าก็ด้วย”

เมื่อได้ฟังจุดยืนอันน่าหัวเราะของเหล่านักเรียนใหม่ สีหน้าของจีหย่งก็ขาวซีดไปชั่วขณะก่อนจะเปลี่ยนเป็นคล้ำเข้มมืดมน ใบหน้าของบุรุษผู้ต้องการให้ร้ายสตรีรุ่นน้องบิดเบี้ยวจนน่าเกลียด เขาไม่คิดเลยว่าจะกลายเป็นแบบนี้ไปได้

แทนที่จะเกลียดฉินอวี้โม่ ทว่าพวกนักเรียนใหม่กลับหันมาโกรธเขาแทน หนำซ้ำยังต่อว่าคนที่พูดความจริงอย่างเขา เรื่องนี้ทำให้จีหย่งรู้สึกทั้งอับอายจนอยากแทรกแผ่นดินหนีและโกรธแค้นจนอยากจะซัดใครสักคนเพื่อระบายโทสะ

ซ่างกวนซวี่พยักหน้าอย่างพึงพอใจ นี่แหละคือสิ่งที่ผู้เป็นอาจารย์อย่างเขาอยากจะเห็นจากนักเรียนทุกคนในชั้นเรียน …ความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือพวกพ้อง รักษาน้ำใจกันและกันโดยไม่คิดแบ่งแยกไม่คิดถือโทษโกรธเคืองกันเอง

“อาจารย์ซ่างกวนซวี่ ข้าขอตัวกลับไปรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นก่อน”

จีหย่งทนเห็นสายตาประณามหยามเหยียดของเหล่านักเรียนหน้าใหม่ที่จ้องมองมาต่อไปไม่ไหว เขาอยากรีบไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

ซ่างกวนซวี่พยักหน้า เขาไม่คิดจะรั้งตัวนักเรียนแซ่จีผู้นี้เอาไว้

จีหย่งมองฉินอวี้โม่อย่างเคียดแค้นครั้งหนึ่งก่อนจะพุ่งทะยานไปในความมืด หายลับไปจากสายตาของทุกคน

มุมปากของฉินอวี้โม่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มสาแก่ใจเมื่อมองตามร่างของจีหย่ง ทว่าเมื่อมองดูเหล่าสหายร่วมชั้นเรียนแล้วแววแห่งความซาบซึ้งใจก็ปรากฏบนใบหน้านวล เดิมทีอดีตนักฆ่าสาวทำใจไว้แล้วว่าจะต้องมีคนตำหนินางในเรื่องนี้แน่ ทว่าไม่คิดเลยว่าสหายของนางจะกลมเกลียวกันและยังสนับสนุนนางกันมากมายถึงเพียงนี้

“ขอบคุณมากที่เชื่อใจข้า และขอบคุณในความใจกว้างของทุกคนด้วย”

ฉินอวี้โม่ส่งยิ้มให้สหายทั้งหลาย นางรู้สึกขอบคุณพวกเขาจากส่วนลึกของหัวใจ

“อวี้โม่ เจ้าพูดอะไรของเจ้า พวกเราเป็นสหายกันนะ ไม่มีอะไรต้องขอบคุณหรอก หากเป็นพวกเราที่มีเรื่องเดือดร้อนเจ้าก็คงจะไม่นิ่งดูดายและตำหนิพวกเราเหมือนกันไม่ใช่หรือ ?”

สตรีผู้เอ่ยวาจามีนามว่าจางเหวิน ตั้งแต่เข้าเรียนโรงเรียนราชสำนัก นางยังไม่เคยพูดคุยกับฉินอวี้โม่เลยสักครั้ง แต่ในวันนี้นางสามารถกล่าวกับคุณหนูตระกูลฉินผู้เก่งกาจได้อย่างเป็นกันเองและไม่ขัดเขินแม้แต่น้อย

“ใช่แล้ว พวกเราล้วนเป็นสหายกัน”

ฉินอวี้โม่พยักหน้ารับ ในตอนนั้นเองที่นางรู้สึกว่าได้รับการยอมรับจากทุกคนในชั้นเรียน สหายทุกคนในชั้นเรียนนี้ล้วนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยแท้ …เวลานี้อดีตสาวนักฆ่าจากศตวรรษที่ 21 ประจักษ์ถึงความเป็นพวกพ้องที่ทุกคนในชั้นเรียนอาจารย์ซ่างกวนซวี่ยึดถือ อีกทั้งยังมีมิตรภาพและน้ำใจไมตรีที่พวกเขาหยิบยื่นให้กันและกันซึ่งนั่นก็รวมมาถึงตัวนางเองด้วย…อย่างชัดเจนแล้ว

“ต้องแบบนี้สิ !”

โอวหยางชิงเฟิงก้าวมาข้างหน้าพร้อมกับเอ่ยเสียงดังด้วยรอยยิ้มกว้าง

ไม่ต่างจากสหายคนอื่น ๆ ที่อยู่โดยรอบ พวกเขาทั้งหมดต่างก็ส่งรอยยิ้มให้แก่กันอย่างทั่วหน้า

“อวี้โม่ ขอบคุณเจ้ามาก หากว่าไม่ใช่เพราะเจ้ามาช่วย ข้าคงจะกลายเป็นศพไปแล้ว”

หลี่ซือผู้เกือบถูกคนชุดดำจากอารามสังหารมองฉินอวี้โม่พลางเอ่ยจากใจจริง ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าสหายสาวผู้นี้คงไม่ต้องการคำขอบคุณ ทว่าเขาก็ยังอดที่จะกล่าวมันออกมาไม่ได้

“อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย ระหว่างพวกเราไม่มีอะไรต้องเกรงใจกัน”

ฉินอวี้โม่พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

“ใช่ มาจับมือกันเพื่อฉลองแด่ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชั้นเรียนเรา !”

เยว่ชิงเฉิงร้องบอกข้อเสนอเสียงสดใส แน่นอนว่าทุกคนพยักหน้าและรีบทำตาม นักเรียนแห่งห้องเรียนสามัญอาจารย์ซ่างกวนผู้เข้มงวดจับมือยืนล้อมเป็นวงกลม

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเราก็คือพวกเดียวกัน สู้ก็สู้ด้วยกันถอยก็ถอยด้วยกัน !”

ทุกคนกล่าวเสียงดังอย่างพร้อมเพรียง ใบหน้าของพวกเขาทั้งหมดล้วนประดับไปด้วยรอยยิ้ม

แม้จะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ในตอนนี้ทุกคนต่างก็เป็นสหายกันแล้ว พวกเขามองหน้ากันและกันอย่างชื่นมื่นและยินดีในมิตรภาพที่แน่นแฟ้น พวกเขารู้ว่าสิ่งที่กล่าวออกไปเป็นดั่งคำปฏิญาณเป็นเหมือนคำมั่นสัญญาที่ไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้าคนทั้งหมดก็รู้ดีว่ามันจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

…ทว่ากลับมีสิ่งหนึ่งที่นักเรียนรุ่นเยาว์เหล่านี้ยังไม่รู้ นั่นคือ ชะตาได้กำหนดเอาไว้แล้วว่าพวกเขาเหล่านี้จะกลายเป็นชั้นเรียนที่โรงเรียนราชสำนักภาคภูมิใจมากที่สุด…

“เอาล่ะ ทุกคนเหนื่อยกันมามาก กลับกันได้แล้ว สามวันข้างหน้าถือเป็นวันหยุดของพวกเจ้า เมื่อถึงโรงเรียนแล้วก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนได้ พักเอาแรงกันให้เต็มที่แต่อีกสี่วันหลังจากนี้ต้องมาเข้าชั้นเรียนของข้าห้ามขาดห้ามสาย พวกเจ้ามีสิ่งที่ต้องฝึกฝนกันอีกมาก”

อาจารย์ซ่างกวนซวี่พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแล้วเอ่ยอนุญาตให้เหล่านักเรียนได้หยุดพัก ทว่าอาจารย์ผู้เข้มงวดก็ยังมิวายขู่กำชับในท้ายประโยค

“เฮ้ ในที่สุดพวกเราก็มีวันหยุดแล้ว !”

เมื่อสิ้นเสียงประกาศของอาจารย์ที่ปรึกษาสุดโหด นักเรียนทั้งชั้นต่างก็ส่งเสียงโห่ร้องออกมา เวลานี้บรรยากาศอันแสนอึดอัดทั้งหลายได้มลายหายไปจนหมดสิ้น

พวกเขาใช้เวลากันกว่าหนึ่งชั่วยามกว่าจะกลับมาถึงโรงเรียน ทันทีที่ก้าวผ่านประตูโรงเรียนเข้ามาได้ อาจารย์ซ่างกวนก็หยุดนักเรียนของเขาเอาไว้

“อวี้โม่ ฉีอวี้ ชิงเฉิง เสี่ยวโร่ว ชิงเฟิง พวกเจ้าห้าคนไปที่ห้องทำงานของอธิการพร้อมกับข้า ส่วนคนอื่น ๆ ที่เหลือกลับไปพักผ่อนได้”

ซ่างกวนซวี่กล่าว เขาอยากเข้าพบอธิการมู่อวิ๋นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะมีบางเรื่องที่ตัวเขาเองยังไม่ทราบและต้องการถามให้แน่ชัด

“ขอบรับ/เจ้าค่ะ อาจารย์”

ทุกคนต่างก็ก้มศีรษะลงทำความเคารพผู้เป็นอาจารย์ ก่อนจะหันไปส่งยิ้มเป็นเชิงบอกลาให้ฉินอวี้โม่กับสหายอีกสี่คน นักเรียนที่ไม่ถูกเรียกตัวไว้พากันเดินกลับไปยังห้องพักของตัวเอง

“ปิงเสวียน ลั่วเฉิน พวกเจ้าก็ตามพวกเรามาด้วย”

ซ่างกวนซวี่กล่าวขึ้นมาอีกหนึ่งประโยค ก่อนจะรีบมุ่งหน้าไปยังห้องทำงานของอธิการโดยไม่รั้งรอ

ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ หันมามองหน้ากันก่อนจะเดินตามซ่างกวนซวี่ไปที่ห้องทำงานของมู่อวิ๋น

ณ ห้องทำงานของอธิการแห่งโรงเรียนราชสำนัก มู่อวิ๋นยืนรออยู่ด้านหลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ สีหน้าของเขาติดจะเป็นกังวลเล็กน้อย และนอกเหนือจากท่านอธิการผมสีมหาสมุทรแล้ว ผู้อาวุโสชุดดำที่มักจะอยู่กับเขาก็ยืนอยู่ภายในห้องนั้นด้วย

“ท่านอธิการ พวกเรากลับมาแล้วขอรับ”

เมื่อเข้ามาในห้อง ซ่างกวนซวี่ก็โค้งคำนับมู่อวิ๋นอย่างนอบน้อมก่อนจะเอ่ยขึ้น

“ท่านอธิการพวกเรากลับมาแล้ว ขอบรับ/เจ้าค่ะ”

ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เองก็โค้งคำนับท่านอธิการโรงเรียนและเอ่ยขึ้นมาอย่างนอบน้อมเช่นกัน

“ทุกคนกลับมากันแล้วหรือ ไม่มีใครเป็นอะไรใช่ไหม ?”

บุรุษผู้มีตำแหน่งสูงสุดในโรงเรียนราชสำนักระบายยิ้มโล่งอกพลางมองดูซ่างกวนซวี่ แม้ว่าเขาจะคอยจับตาดูสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตลอด ทว่ามู่อวิ๋นก็ยังคงเอ่ยคำถาม เขาอยากเห็นกับตาและได้ยินกับหู

ในตอนที่เขามองเห็นการต่อสู้ของฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ผ่านทางจอภาพมายา แม้แต่ตัวเขาที่เป็นถึงอธิการโรงเรียนก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกทึ่งและชื่นชมในความเก่งกาจของนักเรียนในชั้นเรียนนี้

โดยเฉพาะดรุณีน้อยนามฉินอวี้โม่ผู้อยู่ตรงหน้า ความแข็งแกร่งของนางเรียกได้ว่าก้าวหน้าอย่างรวดเร็วจนน่ากลัว และที่สำคัญไม่แพ้กันคือนักเรียนใหม่ในชั้นเรียนของซ่างกวนซวี่ทั้งหมดดูกลมเกลียวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจนน่าประหลาด เขาเชื่อว่าในอนาคตนักเรียนในชั้นเรียนนี้จะต้องสร้างความประหลาดใจให้ทางโรงเรียนอีกแน่ ความสามัคคีของเหล่าศิษย์หน้าใหม่เช่นนี้ทำให้มู่อวิ๋นรู้สึกมีความสุขมาก

“ท่านอธิการไม่ต้องเป็นห่วง ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บที่หนักหนา มีแค่….”

ซ่างกวนซวี่เล่าเรื่องราวที่ได้เห็นและได้ยินมาทั้งหมดให้มู่อวิ๋นได้รับทราบ

“อวี้โม่ ไหนเจ้าลองเล่าเรื่องที่เจ้าสังหารผู้อาวุโสสองของอารามภายในดินแดนต้องห้ามให้พวกเราได้ฟังหน่อยได้ไหม”

แม้ว่าจะรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว แต่มู่อวิ๋นก็ยังถามออกไป เพราะถึงอย่างไรคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้รู้เหมือนกับเขา

ฉินอวี้โม่พยักหน้าแล้วเริ่มต้นเล่าเรื่องราวแห่งความบาดหมางทั้งหมดระหว่างนางกับลิ่วรุ่ยผู้อาวุโสสองแห่งอารามให้ทุกคนฟัง นอกเหนือจากเรื่องที่เกิดขึ้นภายในดินแดนต้องห้ามแล้ว คุณหนูสี่ตระกูลฉินยังเล่าเรื่องที่นางลงมือสังหารลิ่วเยว่บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของลิ่วรุ่ยในเมืองเยว่กวางให้มู่อวิ๋นฟังอีกด้วย

หลังจากฟังเรื่องราวที่ฉินอวี้โม่เล่า น่าแปลกที่สีหน้าและแววตาของมู่อวิ๋นรวมถึงคนทั้งหมดในห้องไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย

“หากว่าเรื่องเป็นเช่นนี้ก็แปลว่าทางอารามเป็นฝ่ายผิดและล้ำเส้นก่อน ในเมื่อขุมกำลังจองหองนั่นกล้ามาทำร้ายนักเรียนของเรา เราก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าพวกมันอีกต่อไป”

ผู้อาวุโสชุดดำเอ่ยออกมาเสียงหนักแน่น จนถึงตอนนี้ฉินอวี้โม่และสหายคนอื่น ๆ ก็ยังไม่ทราบสถานะของคนผู้นี้

“ใช่ ในเรื่องนี้ฝ่ายที่ผิดก่อนก็คืออาราม และทางโรงเรียนราชสำนักของเราก็ไม่เคยคิดเกรงกลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น ซึ่งนั่นก็ไม่เว้นแม้แต่อารามด้วย”

มู่อวิ๋นพยักหน้า ก่อนจะกล่าวต่อ “ว่าแต่พวกเจ้าไม่คิดว่าเรื่องนี้มันดู ‘ค่อนข้างประหลาดไปสักหน่อย’ หรือ ‘ดูบังเอิญมากเกินไป’ บ้างเลยหรือ ?”

เมื่อได้ฟังสิ่งที่อาจารย์ผู้มีตำแหน่งสูงสุดของโรงเรียนกล่าว ทุกคนก็ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่ร่องรอยแห่งความสงสัยจะปรากฏบนใบหน้าของพวกเขา

Options

not work with dark mode
Reset