ณ ชั้นเรียนช่างหลอมแห่งโรงเรียนราชสำนัก จงฮว๋าอาจารย์ผู้สอนวิชาช่างหลอมกำลังมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาประหลาดใจ “นักเรียนฉินอวี้โม่ เจ้าเพิ่งได้จับเครื่องมือการหลอมมาก่อนหน้านี้แค่เดือนเดียวจริงหรือ ?”
การเข้าชั้นเรียนช่างหลอมในวันนี้ของฉินอวี้โม่ทำให้จงฮว๋ามีความสุขมาก เมื่อเทียบกับหลายปีที่ผ่านมาปีนี้นับว่านักเรียนที่สนใจเข้าร่วมชั้นเรียนช่างหลอมมีค่อนข้างน้อย ทว่าฉินอวี้โม่นักเรียนใหม่ผู้มีชื่อเสียงด้านความเก่งกาจในเวลาเพียงชั่วข้ามคืนก็มาเข้าร่วมชั้นเรียนของเขา แน่นอนว่าการมาเรียนของนางในวันนี้จึงทำให้เขารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
ในตอนเริ่มชั้นเรียนนั้น เมื่อได้ทราบว่าฉินอวี้โม่เป็นเพียงช่างหลอมระดับขั้นต้นอาจารย์จงฮว๋าก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แม้ว่าการเป็นช่างหลอมในอายุเพียงสิบหกปีจะถือว่าดีมากแล้ว ทว่าด้วยการที่นางมีพรสวรรค์สูงส่งเหมือนสัตว์ประหลาดจนโด่งดังเป็นที่โจษขานไปทั่วก็ทำให้เขาคาดหวังความสามารถของนางไว้สูงกว่านี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อได้รู้ว่าแท้จริงแล้วฉินอวี้โม่ใช้เวลาเรียนรู้การหลอมอยู่เพียงเดือนเดียวก็ได้เป็นช่างหลอมระดับขั้นต้นได้ จากที่เคยผิดหวังความรู้สึกของจงฮว๋าก็เปลี่ยนกลับมาเป็นประหลาดใจและเมื่อได้เห็นฝีมือของนางเขาก็ยิ่งรู้สึกเหลือเชื่อ บุรุษผู้ทำหน้าที่เป็นอาจารย์สอนวิชาช่างหลอมแห่งสถาบันชื่อดังมาอย่างยาวนานแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าสาวน้อยฉินอวี้โม่จะมีพรสวรรค์ที่น่าตกใจถึงเพียงนี้ นี่เป็นเรื่องที่ทำให้เขาตกตะลึงอย่างยิ่ง
“อาจารย์จงฮว๋า ข้าเพิ่งจะได้รู้จักและเรียนรู้การหลอมหลังจากมาถึงนครไป๋อวิ๋นได้ไม่นาน ตั้งแต่เริ่มไปสมาคมช่างหลอมจนถึงก่อนสอบเข้าโรงเรียนราชสำนักข้ามีเวลาศึกษาแค่เดือนเดียวจริง ๆ เวลาฝึกของข้าค่อนข้างน้อยทำให้ประสบการณ์ของข้ามีไม่มาก ฝีมือข้ามีปัญหาอย่างไรหรือไม่เจ้าคะ ? ขออาจารย์โปรดชี้แนะด้วย”
ดูเหมือนฉินอวี้โม่จะไม่ทราบเลยว่าการได้เป็นช่างหลอมขั้นต้นได้ภายในเวลาเพียงหนึ่งเดือนนั้นเป็นเรื่องมหัศจรรย์
“ไม่ ไม่อย่างแน่นอน แล้วตอนนี้เจ้าหลอมอะไรได้บ้าง ?”
จงฮว๋าส่ายศีรษะและโบกมือพัลวัน เขาพยายามสงบสติอารมณ์ก่อนจะเอ่ยถาม
“ส่วนมากก็เป็นสิ่งหลอมระดับสามัญที่ไม่มีคุณสมบัติพิเศษอะไร ส่วนพวกสิ่งหลอมระดับสูงข้ายังไม่สามารถหลอมได้”
ฉินอวี้โม่ตอบกลับไปตามตรง นางคิดอยู่เสมอว่าพรสวรรค์ด้านการหลอมของตนเองนั้นแสนธรรมดา
อย่างไรก็ตาม จงฮว๋ากลับยิ่งประหลาดใจมากกว่าเดิมเมื่อได้ยินคำตอบของศิษย์น้อยตรงหน้า นางไม่ใช่แค่กลายเป็นช่างหลอมระดับขั้นต้นได้ในเวลาหนึ่งเดือนเท่านั้นแต่ยังสามารถหลอมสิ่งหลอมระดับสามัญได้แล้วด้วย นี่ชี้ให้เห็นว่าพรสวรรค์ในด้านการหลอมของดรุณีผู้นี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าพรสวรรค์ในด้านพลังยุทธ์อันโดดเด่นของนางเลย !
ต้องทราบก่อนว่าโดยปกติแล้วหากจะให้ผู้ที่ไม่เคยเรียนรู้พื้นฐานวิชาการหลอมมาก่อนเลยกลายเป็นช่างหลอมระดับขั้นต้นได้จะต้องใช้เวลาอย่างน้อยที่สุดสามเดือน ส่วนการจะทำให้คนผู้นั้นหลอมสิ่งหลอมระดับสามัญชิ้นแรกออกมาได้ใช้เวลาสั้นที่สุดคือครึ่งปี หากว่าเรื่องพรสวรรค์ด้านการหลอมอันน่าตกใจของคุณหนูตระกูลฉินผู้นี้ถูกเล่าลือออกไปนอกโรงเรียนแล้วล่ะก็ เกรงว่าช่างหลอมทั่วทั้งแผ่นดินคงรู้สึกอิจฉานางมากเป็นแน่
จงฮว๋าอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าลึก ในตอนนั้นเองที่อาจารย์ประจำชั้นเรียนช่างหลอมรู้สึกว่าปีนี้ชั้นเรียนของเขาคงจะได้เฉิดฉายขึ้นมาบ้าง ต้องทราบก่อนว่าแม้ชั้นเรียนช่างหลอมจะเป็นที่นิยมอยู่ไม่น้อย แต่หลายปีมานี้ชั้นเรียนช่างหลอมของโรงเรียนราชสำนักตกอยู่ใต้เงาของชั้นเรียนโอสถมาโดยตลอด ด้วยการที่มีฉินอวี้โม่เข้ามาร่วม อาจารย์จงฮว๋าเชื่อว่านางจะช่วยทำให้ความห่างชั้นระหว่างชั้นเรียนเขากับชั้นเรียนโอสถลดน้อยลงไปจนอาจจะกลายเป็นศูนย์ และไม่แน่ว่าชั้นเรียนช่างหลอมอาจจะกลับมาเฉิดฉายโดดเด่นเหนือชั้นเรียนอื่น ๆ เหมือนในอดีตอีกครั้งก็เป็นได้
“นักเรียนฉินอวี้โม่ ข้าจะสอนเจ้าเกี่ยวกับศิลปะการหลอมอาวุธอย่างสุดความสามารถ เจ้าจงตั้งใจให้ดี ศึกษาวิชาความรู้ไปจากข้าให้ได้มากที่สุด ข้าเชื่อว่าในอนาคตเจ้าจะเป็นความภาคภูมิใจอันยากจะหาที่เปรียบของชั้นเรียนช่างหลอม ขอเพียงแค่มุ่งมั่นไม่ย่อท้อ สักวันเจ้าจะกลายเป็นปรมาจารย์ด้านการหลอมอย่างแน่นอน”
อาจารย์จงฮว๋าเอ่ยวาจาอย่างหนักแน่น เขาตัดสินใจแล้วว่าจะทุ่มเทกำลังความสามารถทั้งหมดเพื่อปลุกปั้นนักเรียนผู้นี้ เขาตั้งใจจะถ่ายทอดทักษะทุกอย่างที่เขาเรียนรู้มาทั้งชีวิตให้กับนาง เขาเองก็เป็นอาจารย์ผู้หนึ่ง หากสามารถสั่งสอนศิษย์จนกลายเป็นช่างหลอมฝีมือสูงส่งในแผ่นดินได้ นั่นก็เป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจและถือเป็นเกียรติยศอันทรงคุณค่า
“เช่นนั้นก็รบกวนอาจารย์จงฮว๋าแล้ว ศิษย์น้อยผู้นี้ขอฝากตัวด้วย”
ฉินอวี้โม่ก้มหัวคารวะผู้เป็นอาจารย์ด้วยรอยยิ้มกว้าง แม้นางจะงุนงงอยู่บ้างและสงสัยว่าเหตุใด จู่ ๆ ท่านอาจารย์จงฮว๋าถึงได้มีท่าทีจริงจังและกล่าวถ้อยคำเช่นนั้นออกมา แต่อย่างไรก็ตามฉินอวี้โม่ก็หวังอยู่แล้วว่าจะได้วิชาความรู้จากชั้นเรียนนี้ไปให้ได้มากที่สุด ความตั้งใจอันแรงกล้าที่สุดของนางในเวลานี้คืออยากเรียนรู้วิชาการหลอมอาวุธเพื่อที่นางจะได้สร้างอาวุธอันทรงพลัง ชุดเกราะ รวมไปถึงแหวนมิติหรืออุปกรณ์สนับสนุนการต่อสู้อื่น ๆ ตามที่ตนสนใจ
ตลอดสามวันนี้ ฉินอวี้โม่ติดตามอาจารย์จงฮว๋าเพื่อเรียนรู้วิชาการหลอมอาวุธเป็นหลัก ต้องบอกเลยว่ากลวิธีในการหลอมของจงฮว๋านั้นแตกต่างจากวิธีของสมาคมช่างหลอมอย่างแท้จริง ภายใต้การชี้แนะของเขา ฉินอวี้โม่ก็มองเห็นมุมมองที่ต่างออกไปในการหลอมสร้างสิ่งต่าง ๆ นั่นส่งผลให้ทักษะการหลอมของนางพัฒนาขึ้นไปอย่างผิดหูผิดตาในเวลาอันน้อยนิด
หลังจากสามวันในชั้นเรียนช่างหลอมผ่านพ้นไป ในวันที่สี่ฉินอวี้โม่ก็ต้องเข้าเรียนในชั้นเรียนของอาจารย์ซ่างกวนซวี่แล้ว
หลังจากฝึกสมรรถภาพประจำวันเสร็จสิ้น ตามกำหนดการ ในวันนี้พวกเขาจะได้เรียนรู้ทักษะและวิชาการต่อสู้จากประสบการณ์โดยตรงของอาจารย์ซ่างกวน
ในสามวันที่ผ่านมาเรื่องราวความขัดแย้งนักเรียนสองกลุ่ม อันได้แก่ กลุ่มสนับสนุนฉินอวี้โม่และกลุ่มต่อต้านฉินอวี้โม่นั้นทวีความรุนแรงมากเสียจนคนทั้งโรงเรียนต่างก็รู้กันทั่ว เยว่ชิงเฉิงและสหายคนอื่น ๆ ของฉินอวี้โม่เองก็ทราบเรื่องราวนี้ดี มีเพียงแต่คุณหนูสี่ตระกูลฉินผู้เป็นต้นตอของเรื่องราวเท่านั้นที่ไม่แม้แต่จะระแคะระคายเรื่องนี้เลย
น่าประหลาดใจไม่น้อยที่ชั้นเรียนแรกหลังจากวันหยุดสามวันของอาจารย์ซ่างกวนถูกจัดขึ้นในห้องเรียนที่เต็มไปด้วยโต๊ะและเก้าอี้
ฉินอวี้โม่และเหล่าสหายเดินเข้ามาในห้องเรียน ในตอนนี้อาจารย์ผู้ขึ้นชื่อเรื่องความโหดยังไม่ปรากฏตัวขึ้นแต่นักเรียนทุกคนในชั้นต่างก็มาถึงกันอย่างพร้อมหน้าแล้ว
ทันทีที่เห็นฉินอวี้โม่ เสี่ยวโร่ว เยว่ชิงเฉิง และหลิงซวงเดินเข้ามาในห้อง สหายคนอื่น ๆ ในชั้นก็ส่งยิ้มต้อนรับพวกนางอย่างอบอุ่น
“อวี้โม่ เจ้าได้ยินเรื่องที่กำลังเป็นประเด็นในโรงเรียนในช่วงสองสามวันมานี้หรือไม่ ?”
หลี่ซือเดินเข้ามาหาสหายตระกูลฉินผู้เก่งกาจแล้วเอ่ยถาม
“เรื่องอะไรหรือ ?”
ฉินอวี้โม่รู้สึกประหลาดใจจึงกล่าวถามออกไป
“นี่เจ้าไม่รู้เลยหรือ ?!”
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของฉินอวี้โม่ ไม่ใช่แต่เพียงหลี่ซือ แต่สหายทั้งชั้นเรียนต่างก็ตกใจ
“เสี่ยวโร่ว นี่เจ้าไม่ได้บอกคุณหนูของเจ้าหรือ ?”
เยว่ชิงเฉิงหันไปถามเสี่ยวโร่ว นางนึกว่าฉินอวี้โม่ได้รู้เรื่องนี้แล้ว
“ข้าคิดว่าคุณหนูชิงเฉิงบอกไปแล้วเสียอีก”
เสี่ยวโร่วส่ายศีรษะ สาวน้อยเองก็คิดว่าเยว่ชิงเฉิงจะเป็นผู้เล่าเรื่องนี้ให้ฉินอวี้โม่ฟังไปแล้ว
“ข้าไม่ได้เจอคุณหนูของเจ้าสามวันแล้ว ข้าจะไปเล่าให้นางฟังได้อย่างไร ?”
เยว่ชิงเฉิงมองสหายสาวน้อยอย่างหมดคำพูด ในสามวันที่ผ่านมานางไม่ได้เจอคุณหนูตระกูลฉินเลย
“ข้าก็เหมือนกัน ข้าก็ฝึกอยู่กับท่านตลอดเวลา ท่านจำไม่ได้หรือ ?”
เสี่ยวโร่วส่ายศีรษะ แล้วมองตอบคุณหนูช่างหลอมตรงหน้าอย่างหมดคำพูดยิ่งกว่า นางเองก็ฝึกอยู่ในหอคอยวิญญาณตลอดสามวันเช่นกัน ตอนที่กลับมายังห้องพักเมื่อคืน ฉินอวี้โม่ก็เข้านอนไปเรียบร้อยแล้ว สาวใช้น้อยจึงไม่อยากรบกวนคุณหนูของนาง ‘อยู่ด้วยกันตลอดเวลาแล้วยังจะมาถามนางอีก คุณหนูชิงเฉิงพักผ่อนน้อยไปหรือไงกัน ?’
“อืม จริงด้วยสินะ”
เยว่ชิงเฉิงส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้ พอคิดดูดี ๆ แล้ว พวกนางก็อยู่ในหอคอยวิญญาณด้วยกันตลอดเวลาสามวันจริง ๆ
“ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น ?”
ฉินอวี้โม่เริ่มงุนงง นางมองดูเหล่าสหายของนางทีละคน ๆ พลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“อ่าา เรื่องนี้จริง ๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรหรอก คือเรื่องมีอยู่ว่าเรื่องของเจ้ากับอารามดังมากในโรงเรียนราชสำนักของเรา แล้วตอนนี้นักเรียนในโรงเรียนก็แบ่งออกเป็นสองฝ่าย คือ ฝ่ายสนับสนุนเจ้า กับฝ่ายต่อต้านเจ้า ฝ่ายสนับสนุนก็ชื่นชมในความสามารถของเจ้า ส่วนฝ่ายต่อต้านน่ะอยากให้เจ้าออกจากโรงเรียน”
เยว่ชิงเฉิงยิ้มแห้งก่อนจะพยายามเล่าเรื่องที่กำลังเป็นประเด็นร้อนในโรงเรียนให้สหายคนงามฟังอย่างคร่าว ๆ ในเรื่องนี้นาง เสี่ยวโร่ว และหลิงซวงได้ยินมาจากนักเรียนกลุ่มหนึ่งที่จับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กันในหอคอยวิญญาณ
หลังจากฟังเรื่องที่คุณหนูตระกูลช่างหลอมเหล่ามา ฉินอวี้โม่ก็พยักหน้าเบา ๆ นางพอจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว
ช่วงสามวันมานี้นางเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการเรียนวิชาการหลอมจากอาจารย์จงฮว๋า หากเขาไม่ช่วยเตือนนางเองก็แทบจะลืมว่าครบเวลาสามวันตามกำหนดวันหยุดของตนเสียด้วยซ้ำ แน่นอนว่า ว่าที่ช่างหลอมสาวผู้มุ่งมั่นไม่มีเวลามากพอที่จะให้ความสนใจเรื่องอื่น ๆ ยิ่งกว่านั้นคนอย่างนางก็ไม่เคยคิดจะใส่ใจเรื่องเล็กน้อยอย่างข่าวลือเรื่องซุบซิบในโรงเรียน หรือต่อให้รู้ฉินอวี้โม่ก็ไม่เคยสนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์และความคิดเห็นของคนไม่รู้จักอยู่แล้ว
“พวกเขาจะคิดกันยังไงก็ปล่อยพวกเขาไปเถอะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มแล้วบอกปัดข้อมูลดังกล่าว คุณหนูผู้เคยถูกตราหน้าว่าไร้ค่าไม่ต้องการเก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ อย่างไรก็ตามนางก็พอจะคาดเดาได้ว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเป็นความจงใจของคนบางคน เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้น นักเรียนคนอื่น ๆ ก็คงจะไม่สามารถรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในป่าฝั่งตะวันออกนอกเขตโรงเรียนได้อย่างแน่นอน และผู้ที่จงใจปลุกปั่นเรื่องนี้ก็จะคงจะไม่ได้มีจุดประสงค์ที่ดีเป็นแน่ และเมื่อฟังจากสิ่งที่เยว่ชิงเฉิงเล่ามาก็ไม่ยากเกินคาดเดาว่าผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเบื้องหลังของเรื่องนี้คงจะไม่พ้นบุรุษสองพี่น้องจีหย่งและจีชางอย่างแน่นอน
ในระหว่างที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอยู่ อาจารย์ซ่างกวนซวี่ก็เดินเข้ามาในห้องเรียน
นักเรียนทุกคนรีบเข้าไปนั่งประจำที่ และตั้งใจรอฟังสิ่งที่อาจารย์จะกล่าว
“อรุณสวัสดิ์เด็กน้อยทั้งหลาย พวกเจ้ามากันแต่เช้าเลยนะ”
ซ่างกวนซวี่กวาดสายตามองนักเรียนทั้งชั้นพลางพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“ถึงจะจบบทเรียนก่อนหน้านี้ไปแล้ว แต่จงจำไว้ พวกเจ้าทุกคนยังต้องหมั่นฝึกท่าเสริมสร้างสมรรถภาพกันอย่างต่อเนื่อง เรื่องนี้เราจะหยุดฝึกหรือละเลยไม่ได้ พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่ ?”
เรื่องแรกที่ซ่างกวนซวี่กล่าวก็คือการย้ำเตือนให้ทุกคนหมั่นฝึกฝน
“รับทราบท่านอาจารย์ !”
นักเรียนทั้งชั้นรับคำเสียงดัง หลังจากการตรากตรำฝึกฝนในบทเรียนฝึกสมรรถภาพอันหนักหน่วงมาเป็นเวลากว่าหนึ่งเดือน ทุกคนก็ค้นพบว่าพวกเขาได้ประโยชน์จากบทเรียนนี้ไปอย่างมหาศาล ศักยภาพทางร่างกายของแต่ละคนดีขึ้นราวกับเป็นคนละคน แน่นอนว่าต่อไปนี้พวกเขาก็จะยังคงหมั่นฝึกฝนกันเป็นประจำเพื่อคงความแข็งแรงเอาไว้
“ดี เรื่องต่อไปที่ก็คือกำหนดการการเรียนการสอนในบทเรียนต่อ ๆ ไปของข้า”
ซ่างกวนซวี่พยักหน้าและกล่าวถึงตารางการสอนของเขา
แท้จริงแล้ว ตารางการสอนของซ่างกวนซวี่ไม่ได้มีอะไรมากมายนัก บทเรียนของเขานับว่าเป็นสิ่งพื้นฐานอีกทั้งยังมีจำนวนบทเรียนที่น้อยหากเทียบกับอาจารย์ท่านอื่น ชั้นเรียนของเขาจะจัดขึ้นเพียงสัปดาห์ละสามวันเท่านั้น คือช่วงเช้าของวันจันทร์ ช่วงเช้าของวันอังคารและช่วงเช้าของวันอาทิตย์ ส่วนอีกสี่วันที่เหลือเขาให้เป็นเวลาว่างอิสระของนักเรียน
ซ่างกวนซวี่ทราบดีว่านักเรียนทุกคนต้องการเวลาสำหรับฝึกฝน โดยเฉพาะการเข้าไปฝึกยุทธ์ในหอคอยวิญญาณและนักเรียนบางส่วนก็ยังอยากจะเข้าไปในชั้นเรียนเสริมอื่น ๆ ตามที่สนใจลงชื่อเข้าร่วมไว้อีกด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่ได้จัดตารางสอนวิชาสามัญที่เข้มข้นมากจนเกินไป
“ข้าเข้าใจว่าทุกคนที่เข้ามาในโรงเรียนราชสำนักคงจะมีจุดประสงค์เดียวกัน นั่นคือการศึกษาเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเองให้แข็งแกร่งขึ้น ขอเพียงแค่พวกเจ้าขยันหมั่นเพียร ตั้งใจเล่าเรียนและฝึกฝนอย่างหนัก ทางโรงเรียนก็จะมอบในสิ่งที่พวกเจ้าต้องการให้ และข้าเองก็จะทุ่มเทสอนในทุก ๆ อย่างที่ข้ารู้ ข้าหวังว่าประสบการณ์ของเขาจะมีส่วนช่วยพวกเจ้าทุกคนให้ประสบความสำเร็จได้”
“ขอบคุณท่านอาจารย์ที่เมตตา !”
เมื่อจบคำประกาศด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคงของอาจารย์ซ่างกวน นักเรียนทุกคนก็ลุกขึ้นยืนและทำความเคารพอย่างพร้อมเพรียง
“เอาเถอะ นั่งลงก่อน ชั้นเรียนของข้าไม่จำเป็นต้องมากพิธี พวกเจ้าทำตัวตามสบาย”
ซ่างกวนซวี่ยิ้ม แม้จะเป็นที่เล่าลือในหมู่นักเรียนรุ่นพี่ของโรงเรียนราชสำนักว่ามีการสอนอันสุดโหด ทว่าอาจารย์ผู้นี้กลับเป็นบุรุษตรงไปตรงมา รักอิสระและเรียบง่าย เขาอยากให้นักเรียนใหม่ในชั้นเรียนสามัญของตนนั้นทำตัวสบาย ๆ เพื่อที่จะได้ไม่เคร่งเครียดมากจนเกินไป
“อวี้โม่ สองสามวันมานี้ข้าได้ยินเรื่องของเจ้ามามาก ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมีอิทธิพลมากมายขนาดนี้ คนจำนวนมากต้องถกเถียงกันเรื่องของเจ้า นี่ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นในโรงเรียนราชสำนัก”
ซ่างกวนซวี่ไม่ลืมที่จะกล่าววาจาหยอกล้อนักเรียนหญิงผู้เก่งกาจด้วยรอยยิ้มกว้าง เวลานี้ผู้เป็นอาจารย์ยิ่งรู้สึกสนใจในตัวคุณหนูตระกูลฉินผู้นี้มากขึ้นเรื่อย ๆ
“อาจารย์ซ่างกวนกล่าวเกินไปแล้ว เรื่องนี้คงมีคนพยายามปลุกปั่นขึ้นมาเสียมากกว่า ข้าเชื่อว่าอีกไม่นานเรื่องก็คงจะเงียบไปเอง”
ฉินอวี้โม่ยิ้มตอบ นางไม่เคยนำเรื่องเหล่านี้มาขบคิดให้หนักสมอง
“แน่นอน ข่าวลือมักจะสลายตัวไปได้เอง”
ซ่างกวนซวี่พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
“หากไม่นับการฝึกสมรรถภาพร่างกาย วันนี้ถือเป็นการเริ่มต้นบทเรียนแรกของชั้นเรียนเรา และสำหรับวันนี้ข้าแค่อยากจะบอกพวกเจ้าเรื่องหนึ่ง”
ซ่างกวนซวี่กวาดตามองเหล่านักเรียนทั่วห้องอีกครั้งก่อนจะกล่าวต่อ “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าทางโรงเรียนเราจะมีงานสำคัญงานหนึ่งที่ถูกจัดขึ้นเป็นประจำ ใครก็ได้ช่วยบอกข้าทีว่าคืองานอะไร”
“อาจารย์หมายถึงการประชันยุทธ์ของโรงเรียนใช่หรือไม่ ?”
เยว่ชิงเฉิงเป็นผู้ยกมือแล้วเอ่ยตอบ และเหมือนเช่นเรื่องอื่น ๆ คุณหนูผู้กว้างขวางด้านข้อมูลข่าวสารพอจะรู้ข้อมูลของเรื่องนี้มาบ้าง
“ถูกต้อง เรื่องที่ข้าจะบอกพวกเจ้าเกี่ยวกับงานประชันยุทธ์ของโรงเรียนนี่แหละ งานนี้มีชื่อเต็ม ๆ ว่า ‘ศึกประชันยุทธ์แห่งโรงเรียนราชสำนัก’”
ซ่างกวนซวี่พยักหน้าพร้อมรอยยิ้มแล้วกล่าวตอบ
เมื่อได้ยินชื่องานสำคัญดังกล่าว จิตใจของฉินอวี้โม่ก็สั่นไหวเล็กน้อย เรื่องของ ‘ศึกประชันยุทธ์แห่งโรงเรียนราชสำนัก’ นางก็เคยได้ยินมาบ้าง งานประชันยุทธ์นี้จะจัดให้เหล่านักเรียนในโรงเรียนได้ประลองฝีมือกัน กล่าวกันว่าหากได้อันดับดี ๆ ทางโรงเรียนก็จะมอบรางวัลสุดพิเศษให้ นักเรียนทุกคนในโรงเรียนราชสำนักต่างก็คาดหวังอยากจะเป็นหนึ่งในผู้ที่ติดอยู่ในอันดับต้น ๆ ของการประลองครั้งนี้ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาต้องการจะใช้งานนี้ในการพิสูจน์ฝีมือและพลังความแข็งแกร่งของตัวเองด้วย
ฉินอวี้โม่รู้สึกสนใจเป็นอย่างยิ่ง นางสงสัยว่าทางโรงเรียนจะเตรียมรางวัลในรูปแบบใดไว้รอบ้าง เมื่อได้คิดถึงเรื่องนี้ อดีตนักฆ่าสาวในร่างคุณหนูก็เริ่มรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาไม่น้อยแล้ว
“ฮ่า ๆ ๆ และที่ข้าอยากจะบอกพวกเจ้าก็คือ งานชื่อยาวที่ว่านั่นจะถูกจัดขึ้นในอีกหนึ่งปีถัดจากนี้”
ซ่างกวนซวี่ยิ้มพร้อมบอกกล่าวข้อมูลอันน่าตื่นเต้นให้นักเรียนของเขาทุกคนได้รับรู้
ภายใต้สถานการณ์ปกติ ศึกประชันยุทธ์ของโรงเรียนราชสำนักจะถูกจัดขึ้นในทุก ๆ ห้าปี เหล่านักเรียนใหม่ของปีนี้นับว่าโชคดีอย่างยิ่งที่มีโอกาสได้เข้าร่วมงานประชันยุทธ์ในปีหน้า เพราะพวกเขาไม่ต้องคอยให้ครบรอบการจัดงานนานนัก อีกทั้งเด็ก ๆ รุ่นนี้ยังมีเวลาถึงหนึ่งปีเต็มในการพัฒนาตนเอง ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะเจาะยิ่งนัก
“และรางวัลที่ทางโรงเรียนของเราได้จัดเตรียมไว้ในงานครั้งนี้จะยิ่งใหญ่กว่าครั้งที่ผ่าน ๆ มา เพราะรางวัลที่ใหญ่ที่สุดคือการได้รับอนุญาตให้เข้าไปในดินแดนต้องห้าม ซึ่งที่นั่นพวกเจ้าจะสามารถแสวงโชคไขว่คว้าวาสนาได้ตามใจนึกและตามกำลังความสามารถ ส่วนรางวัลที่แย่ที่สุดก็ไม่ได้เลวร้ายเลยสักนิดนั่นคือการได้เข้าไปยังหอคอยวิญญาณเป็นเวลาหนึ่งเดือน ดังนั้นแล้วข้าหวังว่าพวกเจ้าทุกคนจะตั้งใจฝึกฝนอย่างหนักในปีนี้เพื่อความสำเร็จและอันดับที่ดีในงานประชันยุทธ์ในปีหน้า ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าทุกคนมีความมุ่งมั่นและศักยภาพที่เพียงพอ ขอเพียงหมั่นเพียรไม่ย่อท้อ พวกเจ้าจะต้องได้สมใจปรารถนา !”
ซ่างกวนซวี่เอ่ยกระตุ้นเหล่านักเรียนของเขา และเป็นไปตามคาดนักเรียนทั้งชั้นเรียนต่างก็ตื่นเต้นกันอย่างมาก ในดวงตาทุกคู่ของทุกคนเป็นประกายระยับราวกับมีเปลวไฟเต้นระริกและลุกโชติช่วงอยู่ด้านใน
ฉินอวี้โม่เองก็เป็นผู้ที่ตื่นเต้นมากเป็นพิเศษ นางยังจำได้ดีว่าซิวบอกว่ามีบางอย่างที่มันคุ้นเคยอยู่ภายในดินแดนต้องห้าม หากว่านางมีโอกาสได้เข้าไปในดินแดนลึกลับแห่งนั้นอีกครั้ง นางก็ตั้งใจจะสำรวจให้ทั่วและตามหาสิ่งนั้นให้เจอ