ในขณะที่จงหัวกำลังลอบสังเกตดูฉินอวี้โม่อยู่นั้น ด้วยความแค้นเคืองส่วนตัว ชวี่เซียวก็อดไม่ได้ที่จะก้าวไปข้างหน้าและกล่าว “ฉินอวี้โม่ ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะกล้าเหยียบย่างเข้ามาถึงสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรของเรา !”
“ฮ่า ๆ ๆ เหตุใดจะไม่กล้าเล่า ? สมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรมีกฎข้อไหนที่ห้ามไม่ให้ข้าเข้าไปหรือ ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบางแล้วตอบโต้ นางไม่คิดเกรงกลัวชวี่เซียวผู้นี้แม้แต่น้อย
“ก่อนหน้านี้ไม่มีก็จริง แต่ตอนนี้ข้าตั้งกฎนั้นขึ้นมาแล้ว”
หลังกล่าวประโยคเผด็จการจบ ชวี่เซียวก็แค่นเสียง *หึ* ขึ้นครั้งหนึ่ง ก่อนจะประกาศกร้าว “ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรของเราจะไม่อนุญาตให้สตรีน่ารังเกียจนามฉินอวี้โม่ย่างเท้าเข้ามาได้ !”
“น่าขำจริง ๆ ข้าไม่คิดเลยว่า คนที่เป็นเพียงผู้อาวุโสจะกล้าใช้อำนาจเสมอประธานสมาคมออกกฎน่าหัวเราะเช่นนี้ออกมาได้”
ฉินอวี้โม่ถากถาง ริมฝีปากบางเหยียดยิ้มหยามเหยียด
นางรู้ดีว่าอีกฝ่ายคงจะมองเห็นตนเองเป็นศัตรูตัวฉกาจทว่าคุณหนูตระกูลฉินก็ไม่เคยสนใจ อย่างไรนางก็เป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรคนหนึ่ง ต่อให้ไม่มีสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรแห่งนี้ ตัวนางเองก็ยังคงสยบอสูรมายาได้อยู่ดีถึงแม้ว่ามันอาจจะลำบากไปบ้างแต่นางก็ไม่ได้เดือดร้อน เพราะฉะนั้น หากจะกล่าวตามตรงแล้วผู้ฝึกสัตว์อสูรที่ครอบครองกายเทพมายาอย่างนางก็ไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่ต้องข้องเกี่ยวกับสมาคมแห่งนี้ ยิ่งไปกว่านั้นนางก็ไม่เห็นเหตุผลดี ๆ สักข้อที่จะต้องลดตัวลงไปอ้อนวอนผู้อาวุโสใจแคบผู้นี้ด้วย
“ชวี่เซียว เจ้ากำลังทำอะไร ?!”
เมื่อเห็นท่าทีเดือดดาลและได้ยินวาจาหาเรื่องของชวี่เซียว จงหัวก็จำต้องเข้ามาห้ามผู้อาวุโสร่วมสมาคมเอาไว้อย่างไร้ทางเลือก
หญิงสาวตรงหน้าคือผู้ฝึกสัตว์อสูรที่มีพรสวรรค์สูงส่งเหนือผู้ใด หากว่าพวกเขาดึงตัวนางมาเข้าร่วมกับสมาคมได้ก็จะเป็นประโยชน์มหาศาล หากเป็นเช่นนั้นได้สมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรของพวกเขาก็จะต้องยิ่งใหญ่เหนือผู้ใดในแผ่นดินนี้อย่างแน่นอน
“จงหัว แล้วเจ้าคิดว่าควรจะทำอย่างไร สตรีผู้นี้แย่งชิงสิ่งล้ำค่าที่ควรจะเป็นของสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรของเราไป อย่างบอกนะว่าเจ้ายังคิดจะเกลี้ยกล่อมให้นางเข้าสมาคม ?”
ชวี่เซียวกล่าวอย่างเดือดดาลจนคล้ายตะคอก เขาเคียดแค้นฉินอวี้โม่เสมอมา เขาไม่มีวันยอมให้นางได้ดี ยิ่งกว่านั้นฉินอวี้โม่ยังจองหองไม่ไว้หน้านายน้อยของพวกเขา หึ ! ฝันไปเถอะว่าชาตินี้นางจะได้เข้าร่วมสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูร
“ลุงชวี่พูดถูก ไม่ว่าอย่างไรสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรก็ไม่มีวันยอมรับนาง”
เมื่อเห็นว่าชวี่เซียวมีจุดยืนที่คล้ายคลึงกับตัวเอง หวังรั่วจวินก็รีบออกปากสนับสนุน อีกทั้งเขายังพอจะเคยได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับภารกิจภายในป่าแสงจันทร์มาบ้าง ในเมื่อชวี่เซียวกำลังจะออกหน้าจัดการนางมารบ้านนอกผู้นี้ให้ก็เบาแรงเขาไปได้มาก เมื่อจินตนาการว่าจะได้เห็นฉากการแก้แค้นอันดุเดือด คุณชายผู้ชื่นชอบดูผู้อื่นเดือดร้อนก็เริ่มจะตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว
และเขาก็อยากจะรู้นักว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ สตรีน่าตายฉินอวี้โม่จะทำอย่างไร
“ว่าอย่างไรผู้อาวุโสชวี่เซียว เจ้าเป็นตัวแทนประธานสมาคมได้อย่างนั้นหรือ ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ชวี่เซียว เรื่องนี้ท่านประธานจะต้องไม่เห็นด้วยแน่ !”
จงหัวกล่าวเสียงเข้มด้วยใบหน้ายุ่งยากใจ คิ้วทั้งสองขมวดเป็นปมแน่น เขาพยายามจะหยุดชวี่เซียวให้ได้
ฉินอวี้โม่ไม่ได้เป็นเพียงผู้ฝึกสัตว์อสูรที่มีพรสวรรค์สูงส่งเท่านั้น นางยังเป็นคุณหนูคนสุดท้องของตระกูลฉิน ยิ่งไปกว่านั้นนางยังเป็นถึงคู่หมั้นของบุรุษหนุ่มผู้ทรงอิทธิพลอย่างหานโม่ฉือ จริงอยู่ว่าการยั่วยุสตรีรุ่นเยาว์ผู้หนึ่งอาจจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่หากขุมกำลังใหญ่ที่สนับสนุนนางคิดเหมาเอาว่าถูกลบหลู่ไปด้วย นั่นก็อาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตที่ยากจะรับมือได้
จงหัวเป็นบุคคลผู้คำนึงถึงผลประโยชน์ของสมาคมก่อนเสมอ แน่นอนว่าเขาจะไม่ยอมให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“ถ้าหากว่าเจ้าเป็นตัวแทนประธานสมาคมได้ งั้นข้าจะขอบอกเจ้าเอาไว้เลยว่า ในอนาคตถ้าหากว่าพวกเจ้าต้องการข้า ก็ต้องให้ชวี่เซียวและหวังรั่วจวินมาคุกเข่าขอขมาก่อน มิฉะนั้นแล้วข้าฉินอวี้โม่ก็จะไม่เหยียบเข้ามาที่สมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรนี้อีก”
ทันใดนั้นฉินอวี้โม่ก็ประกาศวาจาอันแข็งกร้าวเสียงดังลั่น ‘ในเมื่อคิดจะเป็นศัตรูกับข้า พวกเจ้าก็เตรียมตัวรับผลที่จะตามมาเอาไว้ด้วย’
“ช่างเป็นดรุณีที่โอหังยิ่งนัก !”
ทันทีที่คำประกาศของฉินอวี้โม่สิ้นสุด เสียงบุรุษอีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น–หวังเหลียง ประธานแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรก้าวออกมาหน้าอาคารสมาคมของตนด้วยความช่วยเหลือของหวังรั่วอีที่พยุงร่างเขาอยู่
“ท่านประธาน”
จงหัวและคนอื่น ๆ มองหวังเหลียงก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงแสดงความเคารพยำเกรง
เมื่อเห็นดังนั้น หวังรั่วจวินก็รีบพุ่งเข้าไปประคองแขนอีกข้างของหวังเหลียงไว้ทันที
“สาวน้อย เมื่อครู่วาจาที่เจ้าพูดถือว่าโอหังยิ่งนัก !”
ในตอนนี้หวังเหลียงยังไม่รู้ถึงสถานะและตัวตนของฉินอวี้โม่ เขายังไม่ทราบด้วยว่าที่ตรงนี้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ในตอนที่เขาเดินออกมาก็เป็นจังหวะที่ฉินอวี้โม่กล่าวถ้อยคำเมื่อครู่พอดิบพอดี ผู้มีตำแหน่งสูงสุดในสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรจึงอดคิดไม่ได้ว่าคนรุ่นเยาว์ผู้นี้ช่างโอหังเหลือเกิน
“เมื่อครู่ข้าพูดออกมาจากใจจริง ถ้าหากว่าคำพูดของชวี่เซียวถือเป็นประกาศิตใช้เป็นตัวแทนประธานสมาคมได้ งั้นข้าก็จะทำอย่างที่ข้าลั่นวาจาไว้”
ฉินอวี้โม่กล่าวอย่างสงบ ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นถึงผู้มีอำนาจสูงสุดของสมาคมมีชื่อเสียงแห่งนี้ แต่สีหน้าและน้ำเสียงของคุณหนูตระกูลฉินก็ไม่เปลี่ยนไปเลย นางไม่เคยคิดเคารพใครเพียงเพราะสถานะหรือตำแหน่ง แต่นางจะเคารพผู้ที่กระทำตนให้ควรค่าแก่การเคารพอย่างแท้จริงเท่านั้น
ต่อให้อีกฝ่ายเป็นคนอ่อนแอ พิกลพิการหรือไร้พรสวรรค์ แต่ถ้าเป็นคนดีน่ายกย่องนับถือ ฉินอวี้โม่ก็พร้อมสดุดีและให้ความเคารพจากใจจริง ในทางกลับกันถ้าหากเป็นคนแข็งแกร่ง พรสวรรค์สูงส่งดุจเทพเซียน แต่กลับกระทำต่ำช้าไม่น่าเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ให้ตายอย่างไรนางก็ไม่คิดจะก้มหัวให้เป็นแน่
“ดี ดีมาก เจ้าเป็นคนตรงไปตรงมาดี !”
หวังเหลียงจ้องมองฉินอวี้โม่ก่อนจะกล่าวต่อด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อเจ้าเอ่ยเช่นนั้น ข้าก็อยากจะลองดูเหมือนกันว่าเจ้าจะแน่สักแค่ไหน ข้าขอยืนกรานตามที่ชวี่เซียวกล่าว และต่อไปหากว่าเจ้าต้องการความช่วยเหลือหรือติดต่อเรื่องใดกับสมาคมของข้า เจ้าจะต้องคุกเข่าอยู่หน้าอาคารสมาคมแห่งนี้และโขกศีรษะกับพื้นสามครั้ง มิฉะนั้นแล้วเจ้าก็อย่าได้หวังจะก้าวเข้ามาในสมาคมเราแม้แต่ครึ่งก้าว !”
สิ้นเสียงประกาศกร้าวของหวังเหลียง สีหน้าของจงหัวก็เปลี่ยนไปอย่างรุนแรง “ท่านประธาน อย่าได้ทำเช่นนั้นเด็ดขาด ! ข้าว่า—”
“จงหัว แม้แต่ท่านประธานสมาคมเจ้ายังไม่คิดจะฟังเลยรึ ? เจ้าเองก็เป็นหนึ่งในสมาชิกอาวุโสแห่งสมาคมของเรา เหตุใดจึงไม่รักเกียรติและศักดิ์ศรีของสมาคมเอาเสียเลย ?”
ยังไม่ทันที่จงหัวจะอธิบายเหตุผล ชวี่เซียวก็โพล่งวาจาดุดันแทรกขึ้นมาก่อน ทั้งสีหน้าและแววตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกสาแก่ใจ ผู้อาวุโสแซ่ชวี่คิดว่าตนเองได้สะสางความแค้นกับฉินอวี้โม่อย่างสาสมแล้ว
อย่างไรก็ตาม ชวี่เซียวไม่ได้รู้ตัวเลยว่าในอนาคตอันไม่ใกล้ไม่ไกล ขณะที่สมาคมของพวกเขาตกอยู่ในช่วงเวลาวิกฤต เหยียบอยู่บนเส้นกั้นแห่งความเป็นความตาย เขาและหวังรั่วจวินจะต้องบากหน้าไปหานางที่ตระกูลฉินและคุกเข่าอ้อนวอนให้นางช่วยจริง ๆ
“ย่อมได้ ในเมื่อประธานสมาคมออกปากเช่นนั้น งั้นก็ไม่มีสิ่งใดต้องพูดกันอีก”
ฉินอวี้โม่กล่าวประโยคสุดท้ายด้วยรอยยิ้ม เมื่อสิ้นวาจานั้นนางก็หันหลังเดินกลับไปพร้อมหลินจิ้งหงและเสี่ยวโร่ว
ทว่าก่อนที่หลินจิ้งหงหนึ่งในจอมมารรุ่นเยาว์แห่งไป๋อวิ๋นจะหันหลังกลับ เขาก็เหยียดยิ้มส่งให้หวังรั่วจวินครั้งหนึ่ง และมันก็เป็นรอยยิ้มที่ทำให้คุณชายตระกูลหวังรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก
“ท่านประธานทราบหรือไม่ว่านางเป็นใคร ?”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่เดินจากไป จงหัวก็ถอนหายใจอย่างหมดปัญญาก่อนจะเอ่ยถาม
“ไม่ว่าจะเป็นใคร นางก็ไม่มีสิทธิ์มาแสดงความโอหังต่อหน้าสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรของเรา”
หวังเหลียงส่ายศีรษะแล้วกล่าว
“แล้วถ้าข้าบอกท่านว่านางมีคุณสมบัติที่ดีพอจะโอหังได้ล่ะ ?”
จงหัวไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องกล่าวออกมาเช่นนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่มีสิทธิ์โอหังต่อหน้าสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูร อย่างไรก็ตามเมื่อผู้อาวุโสในสมาคมกล่าวว่ามีบุคคลที่มีคุณสมบัติจะทำตัวโอหังต่อหน้าสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรได้ นั่นก็ต้องหมายความว่าคนผู้นั้นจะต้องแข็งแกร่งและมีพลังอำนาจอันสูงส่ง และความยิ่งใหญ่ของนางก็คงจะเหนือคำบรรยาย
“หึ ๆ น่าสนใจดีนี่ ในแผ่นดินนี้มีคนเช่นนั้นอยู่ด้วยรึ ?”
หวังเหลียงกล่าวพลางหัวเราะน้อย ๆ เพราะคิดว่าจงหัวคงจะกล่าววาจาติดตลกเสียมากกว่า เขาไม่เคยคิดว่าจะมีใครในแผ่นดินนี้ที่มีคุณสมบัติเพียงพอจะโอหังต่อหน้าสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูร ต่อให้ขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่อย่างอารามหรือวิหารแห่งความมืดก็ตาม เขาก็ยังไม่คิดว่าพวกเขาจะมีคุณสมบัตินั้น
หรือต่อให้มีอยู่จริง ในแผ่นดินอันแสนกว้างใหญ่นี้คนที่มีคุณสมบัติดังกล่าวก็คงมีอยู่น้อยแสนน้อย และแน่นอนว่าก็คงจะหาได้ยากเสียยิ่งกว่ายากเป็นแน่
“จวินเอ๋อร์ สตรีผู้นั้นเป็นใครกันรึ ?”
หวังเหลียงมองหวังรั่วจวินแล้วเอ่ยถาม
“ท่านปู่ ชื่อของนางคือฉินอวี้โม่”
หวังรั่วจวินไม่คิดปิดบังเรื่องนี้ เขาตอบผู้เป็นปู่ไปตามความจริง
“ฉินอวี้โม่ เหตุใดข้าถึงรู้สึกคุ้นชื่อนี้ยิ่งนัก ?”
หวังเหลียงขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่าเคยได้ยินนามนั้นมาก่อนหน้านี้จากที่ไหนสักแห่ง ทว่ามันกลับติดอยู่ในหัว นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก
“นางคือหลานสาวของผู้นำตระกูลฉิน คนที่สามารถสยบราชาอสรพิษเก้าเศียรในป่าแสงจันทร์ได้โดยใช้เวลาเพียงช่วงสั้น ๆ นางคือผู้ที่สยบอสูรเทวะราชันแปดดาราลงได้ก่อนผู้อาวุโสจากสมาคมของเรา”
จงหัวกล่าวอธิบายเพิ่ม กล่าวจบเขาก็รีบหันมองยังทิศทางที่ฉินอวี้โม่และสหายเดินจากไปก่อนจะตัดสินใจวิ่งไล่ตาม
“ว่าอย่างไรนะ เป็นนางเองหรอกหรือ ?!”
ในตอนนี้เองที่หวังเหลียงนึกเรื่องของฉินอวี้โม่ออก พลันสีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนไป ใบหน้าสูงวัยนั้นบิดเบี้ยวจนน่าเกลียด
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดจงหัวถึงได้กล่าวว่านางมีคุณสมบัติที่จะโอหัง ด้วยพรสวรรค์และทักษะอันสูงส่งราวกับสัตว์ประหลาด อีกทั้งยังมีตระกูลใหญ่และขุมกำลังน่าเกรงขามที่สนับสนุนนางอยู่เบื้องหลัง ฉินอวี้โม่ผู้นี้ก็ถือว่ามีคุณสมบัติที่จะแสดงความโอหังต่อหน้าสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรได้โดยแท้
“เหตุใดถึงไม่มีใครบอกข้าก่อนว่านางเป็นใคร ?”
หวังเหลียงจ้องมองหวังรั่วจวินและชวี่เซียวด้วยสายตาหนาวเหน็บน่าหวาดหวั่น
“พวกเราไม่มีเวลา”
เมื่อเห็นใบหน้าเย็นเยียบของประธานสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูร หวังรั่วจวินก็ตัวสั่นในทันที เขารู้ดีว่ายามโกรธผู้เป็นปู่ของตนน่ากลัวมากเพียงใด
อย่างไรก็ตาม หวังเหลียงก็ข่มใจก่อนจะทอดสายตามองไปยังทิศทางที่สตรีนามฉินอวี้โม่และสหายของนางจากไป
“ท่านประธาน ถึงนางจะเป็นฉินอวี้โม่ แล้วอย่างไรหรือ ? ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรตรงไหน”
เพราะเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของผู้มีตำแหน่งสูงสุดของสมาคม ชวี่เซียวจึงรีบเอ่ยปากปลอบโยน
“ใช่ ไม่มีปัญหา พรสวรรค์ในด้านการฝึกสัตว์อสูรของนางกำลังเติบโต และมันคงจะไปถึงระดับที่กลายเป็นตำนานในเวลาไม่ช้าก็เร็วแน่ การไปมีเรื่องผิดใจกับคนเช่นนั้นมันไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหาอะไรเลย !”
เวลานี้หวังเหลียงโกรธมาก เขาโกรธทั้งความโง่งมของตนเอง โกรธสถานการณ์ โกรธลมโกรธฟ้า โกรธสวรรค์และโชคชะตา เขาเพิ่งจะไปสร้างเรื่องบาดหมางกับว่าที่ผู้ฝึกสัตว์อสูรในตำนาน ผู้มีพรสวรรค์ดั่งสัตว์ประหลาด ถ้าหากเหล่าบรรพชนผู้ก่อตั้งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรรู้เรื่องนี้เข้า ต่อให้ตกตายกลายเป็นผีเขาก็คงจะถูกบรรพชนทั้งหลายพากันดุด่าและสาปแช่งให้ได้ตายซ้ำตายซ้อนอีกอย่างแน่นอน
“ท่านประธาน ที่ท่านว่ามาก็เป็นเพียงอนาคต ความแข็งแกร่งในตอนนี้ของนางไม่มีมีความเสี่ยงต่อพวกเราเลยสักนิด เรื่องที่นางจะเติบโตไปจนถึงระดับตำนานนั่นก็เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ก็ยังไม่แน่ชัด อย่าลืมสิว่าทางอารามก็ยังคงไล่ล่านางอยู่”
ชวี่เซียวแสดงความเห็น เขาหวังจะให้ฉินอวี้โม่ถูกคนจากอารามสังหารไปเสีย เพราะถ้าหากว่าในอนาคตนางเติบโตไปจนถึงระดับที่หวังเหลียงหวาดหวั่นนั้นได้ สมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรของพวกเขาก็คงจะต้องมุดดินหนีอายเป็นแน่
หวังเหลียงพยักหน้าก่อนจะหันมาจ้องมองหวังรั่วจวินและชวี่เซียวชั่วครู่ ประธานสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรระบายลมหายใจแล้วค่อย ๆ เดินกลับเข้าไปภายในสมาคม
ชวี่เซียวและหวังรั่วจวินหันมามองหน้ากัน สองบุรุษต่างวัยปาดเหงื่อบนหน้าผากก่อนจะเดินคอตกตามหวังเหลียงเข้าไป
อีกด้านหนึ่ง หลังผละจากสมาคมน่ารำคาญนั่นมาแล้ว ฉินอวี้โม่ เสี่ยวโร่ว และหลินจิ้งหงก็เตรียมจะไปยังตลาดแลกเปลี่ยนสินค้า บางทีที่นั่นอาจจะมีกรงอสูรตามที่พวกนางต้องการ หรือถ้าไม่มีพวกนางก็แค่ว่าจ้างใครบางคนให้ออกหน้าไปซื้อกรงที่ต้องการมาจากสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรโดยไม่เอ่ยนามพวกนางก็เพียงพอแล้ว
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะไปถึงตลาด สามสหายร่วมภารกิจก็ได้ยินคนผู้หนึ่งส่งเสียงเรียกมาจากด้านหลัง
“แม่นางฉิน คุณชายหลิน โปรดรอสักครู่”
เมื่อได้ยินเสียงนี้ สหายทั้งสามก็ประหลาดใจเล็กน้อย แน่นอนว่าทั้งสามคนจำเสียงนี้ได้ พวกเขาหยุดเดินและหันกลับไปมอง
“ผู้อาวุโสจงหัว ท่านเรียกพวกเราด้วยเหตุผลอันใดรึ ?”
บุรุษวัยกลางคนผู้กำลังหายใจหอบแฮก ๆ เพราะฝืนสังขารออกวิ่งระยะไกลมาก็คือผู้อาวุโสจงหัวหนึ่งในบุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์หน้าอาคารสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูร ในความคิดของคุณหนูตระกูลฉิน บุรุษอาวุโสผู้นี้ดูมีเหตุผลมากที่สุดแล้ว นางจึงมีความรู้สึกที่ดีต่อเขา
“ข้าต้องขออภัยกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ด้วย”
ผู้อาวุโสจงหัวกล่าวคำขอโทษ
“ท่านไม่ต้องขอโทษพวกเราหรอก เรื่องแค่นั้นพวกเราไม่ได้สนใจสักนิด”
ฉินอวี้โม่ยิ้มแย้มจริงใจ นางไม่ได้ให้ความสนใจคนใจแคบในสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรอย่างที่กล่าวจริง ๆ
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าทราบถึงความแข็งแกร่งของแม่นางดี อย่างแม่นางคงไม่สนใจสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรเราเป็นแน่”
จงหัวหัวเราะขัดเขิน เขาพอจะมองออกว่าคุณหนูตระกูลฉินผู้นี้คงไม่เห็นสมาคมของพวกเขาอยู่ในสายตาอยู่แต่แรกแล้ว
“แล้วผู้อาวุโสจงหัวมีธุระอะไรกับพวกเราหรือ ?”
ฉินอวี้โม่ถามเข้าเรื่องอีกครั้ง นางไม่เชื่อว่าเขาจะลงทุนวิ่งตามมาเพื่อชวนคุยเช่นนี้
“คือ ข้าคิดว่าที่วันนี้แม่นางไปที่สมาคมเราก็คงจะเพราะต้องการอะไรบางอย่าง หากว่าข้าสามารถช่วยแม่นางในเรื่องนี้ได้ข้าก็ยินดี”
จงหัวยิ้มแล้วกล่าวถึงเหตุผลที่เขาไล่ตามพวกนางมาออกไปตรง ๆ
“อย่างนั้นเองหรือ ?”
ฉินอวี้โม่พยักหน้า ที่แท้เขาก็ตามพวกนางมาด้วยเหตุผลนี้ ไม่คิดเลยว่าหนึ่งในสมาชิกของผู้อาวุโสแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรจะมีคนดีถึงขนาดนี้อยู่ด้วยได้ เพราะที่ผ่านมาไม่ว่าอดีตนักฆ่าสาวจะพบเจอกี่คนต่อกี่คน คนของสมาคมชื่อดังนี้ก็ล้วนแต่มีนิสัยไม่น่าคบหา
“พวกเราแค่อยากจะขอซื้อกรงใส่อสูรมายา”
ฉินอวี้โม่กล่าวถึงเหตุผลที่พวกนางไปที่สมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรออกไปตรง ๆ อย่างไม่คิดปกปิดเช่นกัน เพราะหากผู้อาวุโสจงหัวสามารถช่วยเรื่องนี้ได้ พวกนางจะไม่ต้องเสียเวลาเดินหาซื้อในตลาด
“โอ้ ! ข้าเองก็พอจะมีกรงอยู่บ้าง ทั้งหมดล้วนเป็นกรงระดับสูง หากว่าแม่นางต้องการข้าก็ยินดีมอบให้”
จงหัวพยักหน้าก่อนจะส่งมอบแหวนมิติวงหนึ่งให้ฉินอวี้โม่ในทันที
.