เวลาผ่านไปราวชั่วพริบตา ในที่สุดวันเปิดเรียนก็มาถึง
เมื่อสองสามวันก่อน ฉินอวี้โม่พาองค์ชายฉีอวี้และองค์หญิงฉีฉีไปที่ป่าแห่งราชวงศ์เพื่อล่าอสูรมายาและช่วยฉีฉีจับอสูรมายาที่นางชอบ
วันถัดมาเป็นเวลาที่ปรมาจารย์เยว่เหยากลับมาถึงสมาคมช่างหลอม ฉินอวี้โม่รีบเข้าไปพบบุรุษชราผู้เป็นทั้งอาจารย์และเป็นดั่งท่านปู่ของนางและสอบถามเขามากมายหลายคำถามเกี่ยวกับการหลอม
เมื่อเข้าใจและได้รับคำแนะนำจากปรมาจารย์ช่างหลอมผู้โด่งดังของแผ่นดิน ในหลายวันมานี้ทักษะการหลอมของคุณหนูตระกูลฉินจึงก้าวหน้าไปอย่างมาก ฉินอวี้โม่เชื่อมั่นว่าในช่วงที่อยู่ในโรงเรียนนางจะก้าวเข้าสู่ช่างหลอมระดับเชี่ยวชาญได้อย่างแน่นอน
ในวันเปิดเรียนวันแรก คุณหนูคุณชายตระกูลฉินและเหล่าสหายทั้งหลายนัดรวมตัวกันตั้งแต่ช่วงเช้าเพื่อที่เดินทางไปยังโรงเรียนราชสำนักด้วยกัน
เหย่าเซียนเอ๋อร์ธิดาโอสถผู้ทราบข่าวเรื่องเสี่ยวโร่วถูกพาตัวไปและเรื่องที่ฉินอี้เฟยตัดสินใจไปยังดินแดนหนเหนือตั้งแต่ครั้งที่คุณชายใหญ่ตระกูลฉินมาแจ้งแก่ประธานสมาคมกล่าวปลอบใจฉินอวี้โม่ในทันทีที่ได้พบหน้าสหายคนงาม
และหลายคนที่ยังไม่ทราบเรื่องนี้ อย่างเช่น โฉมงามหลิงซวงและลั่วอวิ๋น เมื่อได้รู้ข่าวนี้ พวกเขาก็ตกใจมากและพลอยรู้สึกสะเทือนใจไปด้วย สหายทั้งหลายรีบกล่าวปลอบฉินอวี้โม่เพื่อให้นางคลายจากความกังวล
‘ข้าอ่อนแอถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ?’
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะพร้อมกับถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ นี่นางเป็นคนอ่อนแอถึงเพียงนี้เชี่ยวหรือ ? ทั้งเสี่ยวโร่วและพี่ชายของนางล้วนจากนางไปได้หลายวันแล้วและทั้งสองต่างก็มีเหตุผลที่สมควร ทว่านางก็ยังไม่อาจจะทำใจได้ สภาพของนางคงจะดูเศร้าโศกเสียจนเหล่าสหายอดที่จะเอ่ยปลอบไม่ได้ และเรื่องนี้ก็ทำให้คนที่เคยเป็นถึงอดีตนักฆ่าผู้มีจิตใจมั่นคงและเคยเพิกเฉยต่อทุกอย่างในโลกได้อย่าง ‘เธอ’ รู้สึกผิดหวังในตัวเองเป็นอย่างยิ่ง
“อวี้โม่ อย่าห่วงเลย รอให้พวกเราจบจากโรงเรียนราชสำนัก พวกเราจะบุกไปที่ดินแดนหนเหนือพร้อมกับเจ้าเพื่อตามหาเสี่ยวโร่วและพี่อี้เฟยให้จงได้”
เทพธิดาโอสถเหย่าเซียนเอ๋อร์เอ่ยวาจาอย่างหนักแน่น ฉินอี้เฟยเป็นบุรุษที่นางนับถือ เขาเป็นเสมือนพี่ชายแท้ ๆ ของนาง ส่วนเสี่ยวโร่วเองก็เป็นสหายผู้น่ารัก นางย่อมอยากจะช่วยฉินอวี้โม่ตามหาพวกเขาเป็นเรื่องธรรมดา
ฉินอวี้โม่พยักหน้าและยิ้มออกมาเพื่อให้ทุกคนเห็นว่าตนคลายความเศร้าหมองแล้ว เป็นจริงดั่งที่เหล่าสหายกล่าวและเวลานี้ก็ไม่ใช่เวลาที่จะจมอยู่กับความระทมทุกข์อีกแล้ว
เหล่าสหายสนทนากันไปพลางเดินไปพลาง จนในที่สุดประตูโรงเรียนราชสำนักก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของพวกเขา
แม้ว่าจะเคยอยู่ในโรงเรียนแห่งนี้มาถึงครึ่งปีแล้ว ทว่าหลังจากการหยุดเรียนไปนานกว่าหนึ่งเดือน เมื่อได้กลับมาที่โรงเรียน ได้พบเจอเหล่าสหายและอาจารย์ทั้งหลาย รวมไปถึงสัมผัสบรรยากาศภายในสถาบันการศึกษาอีกครั้ง ทุกคนก็อดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้
“ข้าว่าเราไปรายงานเรื่องเสี่ยวโร่วกับท่านอธิการกันก่อนเถอะ จากนั้นพวกเราจะไปบอกอาจารย์ซ่างกวนด้วยกัน”
โอวหยางชิงเฟิงกล่าวชี้ชวน
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยอย่างพร้อมเพรียงก่อนจะพากันมุ่งไปยังห้องทำงานของอธิการแห่งโรงเรียนราชสำนัก
ภายในห้องทำงานอธิการ มู่อวิ๋นนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้มบาง บุรุษผมสีมหาสมุทรกำลังขีดเขียนบางอย่างลงบนกระดาษ
เมื่อทราบว่าฉินอวี้โม่และเหล่าสหายมาขอเข้าพบเขาก็เอ่ยอนุญาต และในทันทีที่เห็นหน้านักเรียนตัวน้อยทั้งหลาย มู่อวิ๋นก็กล่าวทักทายพวกเขาทีละคนด้วยรอยยิ้มใจดี
“เสี่ยวอวี้โม่อยู่ก่อน คนอื่น ๆ ช่วยไปรายงานให้อาจารย์ที่ปรึกษาของพวกเจ้าทราบทีนะ”
หลังจากที่ได้ทราบเรื่องของเสี่ยวโร่วจากนักเรียนกลุ่มนี้แล้ว มู่อวิ๋นก็รั้งตัวคุณหนูสี่ตระกูลฉินไว้และขอให้นักเรียนคนอื่น ๆ ไปรายงานอาจารย์ซ่างกวนซวี่เพราะเขามีบางอย่างที่อยากพูดคุยกับฉินอวี้โม่
หลังจากคนอื่นออกไปจากห้องแล้ว ท่านอธิการโรงเรียนราชสำนักก็เริ่มต้นบทสนทนาในทันที
“เสี่ยวอวี้โม่นั่งลงก่อน”
มู๋อวิ๋นชี้ไปยังเก้าอี้ตรงหน้าเขา แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ฉินอวี้โม่พยักหน้ารับ นางไม่ทราบเหมือนกันว่ามู่อวิ๋นมีสิ่งใดที่จะพูดกับนาง ทว่านางก็สังเกตเห็นแววแห่งความจริงจังอันแสนเบาบางที่เพิ่มขึ้นมาบนใบหน้าของเขาได้
“อวี้โม่ เรื่องที่เสี่ยวโร่วถูกคนจากตระกูลของนางพาตัวไปและเรื่องที่พี่ชายของเจ้าตัดสินใจเดินทางไปยังดินแดนหนเหนือข้าทราบแล้ว แต่ข้าจะไม่กล่าวปลอบโยนเจ้าในเรื่องนี้ ข้ารู้ถึงอารมณ์ความรู้สึกของเจ้าดี และข้าแนะนำได้เพียงว่า เจ้าต้องพยายามฝึกฝนอย่างเต็มที่เพื่อให้สามารถเดินทางไปยังดินแดนหนเหนือได้โดยเร็วที่สุด”
มู่อวิ๋นส่งยิ้มให้ฉินอวี้โม่อย่างอบอุ่นก่อนจะกล่าวแนะนำ
คุณหนูตระกูลฉินพยักหน้า ท่านอธิการคงจะรู้เรื่องนี่อยู่ก่อนแล้ว ซึ่งนางก็ไม่คิดสงสัย ด้วยตำแหน่งหน้าที่และสถานะที่เขาเป็นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะทราบข่าวได้เร็วกว่าผู้ใด
“ขอบคุณท่านอธิการที่แนะนำ ข้าจะพยายามให้ดีที่สุด”
ฉินอวี้โม่ยิ้มให้ผู้เป็นอธิการ นางจะไม่หดหู่เศร้าหมองให้ต้องเสียเวลาโดยสูญเปล่าแต่นางจะทุ่มเทฝึกฝนอย่างหนักแทน เมื่อนางก้าวเข้าสู่ขอบเขตทูตสวรรค์เมื่อใด เมื่อนั้นก็จะเป็นเวลาที่นางจะสามารถไปยังดินแดนหนเหนือเพื่อตามหาทุกคนได้
“เหตุผลหลักที่ข้าให้เจ้าอยู่ก่อนก็เพราะว่ามีเรื่องอยากจะพูดกับเจ้า”
มู่อวิ๋นยิ้มบางพลางกล่าวต่อ “ข้าเสียใจด้วยที่ต้องแจ้งกับเจ้าว่า หลังจากนี้โรงเรียนของเราจะไม่มีชั้นเรียนข่ายอาคมอีกแล้ว”
ฉินอวี้โม่ชะงักไป ‘ต่อไปนี้จะไม่มีชั้นเรียนข่ายอาคมแล้วอย่างนั้นรึ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?’
ในตอนนั้นเอง อดีตนักฆ่าสาวก็นึกถึงท่าทีที่แปลกประประหลาดของบุรุษชราลึกลับผู้เป็นอาจารย์แห่งชั้นเรียนข่ายอาคมในวันก่อนจะปิดเรียนได้ ด้วยความสงสัยนางจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปาก “ผู้อาวุโสท่านนั้น…”
“ผู้อาวุโสมีเรื่องต้องไปจัดการ ฉะนั้นเขาจึงกลับมาที่โรงเรียนไม่ได้อีก ในโรงเรียนของเรามีเพียงเขาคนเดียวที่สอนวิชาข่ายอาคมได้ เมื่อเขาไม่กลับมาเราก็เปิดชั้นเรียนไม่ได้”
ยังไม่ทันจะได้เอ่ยคำถาม มู่อวิ๋นก็กล่าวอธิบายราวกับเดาใจฉินอวี้โม่ได้
“ท่านอธิการ ผู้อาวุโสผู้นั้นเป็นใครกันแน่ ?”
เมื่อเห็นว่าการอ้อมค้อมจะไม่เป็นประโยชน์ ฉินอวี้โม่จึงถามผู้เป็นอธิการของโรงเรียนออกไปตรง ๆ นางทราบดีว่าอาจารย์เฒ่าลึกลับผู้นั้นต้องไม่ใช่คนธรรมดาเป็นแน่ ทว่านางก็ไม่ทราบเลยว่าเขาเป็นใครมาจากไหน ถึงแม้ตอนนี้อาจารย์ผู้นั้นจะหายไปจากโรงเรียนเพื่อจัดการธุระบางอย่าง แต่บุคคลผู้ไม่ธรรมดาอย่างเขาคงจะแก้ปัญหานั้นได้ไม่ยาก ดังนั้นฉินอวี้โม่จึงเชื่อว่าบุรุษชราลึกลับผู้รักในวิชาข่ายอาคมจะต้องกลับมาสอนอีกครั้งอย่างนอนแน่
“อีกไม่นานเจ้าก็คงจะได้รู้เรื่องนี้เอง ในตอนนี้เจ้ารู้แค่ว่าเขาไม่ใช่คนปกติธรรมดาก็พอ”
มู่อวิ๋นยังคงตอบด้วยรอยยิ้ม ทว่ากลับไม่ได้อธิบายสิ่งที่นางสงสัยให้กระจ่าง
เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้นของท่านอธิการ ฉินอวี้โม่ก็ทำได้เพียงพยักหน้าและไม่ถามสิ่งใดอีก
คุณหนูตระกูลฉินยอมรับเลยว่าเวลานี้ในหัวของนางเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
เสี่ยวโร่วเป็นศิษย์รักของผู้อาวุโสผู้นั้น ทันทีที่เสี่ยวโร่วถูกคนจากตระกูลพาตัวกลับไป อาจารย์อาวุโสก็หายตัวไปพร้อมกันอย่างพอดิบพอดี ‘เป็นไปได้หรือไม่ว่าการหายไปของคนทั้งสองอาจจะมีความเกี่ยวข้องกัน ?’ นี่เป็นเรื่องที่ฉินอวี้โม่ต้องหาคำตอบให้ได้
แต่เพื่อการนั้นก่อนอื่นนางจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้เสียก่อน
ในตอนนี้ ฉินอวี้โม่รู้ดีว่าสิ่งที่นางต้องทำอย่างเร่งด่วนที่สุดก็คือพัฒนาตัวเอง นางต้องเพิ่มความแข็งแกร่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มีเพียงวิธีนี้วิธีเดียวเท่านั้นที่จะช่วยไขปริศนาทุกอย่างให้กระจ่าง ยิ่งไปกว่านั้นคือเพื่อให้นางสามารถปกป้องทุกคนที่อยากปกป้องได้
“เจ้าไม่จำเป็นต้องคิดมาก มันไม่ใช่ว่าข้าอยากจะปิดบังเรื่องนี้กับเจ้า แต่เป็นเพราะถึงเจ้าจะรู้เรื่องนี้ในตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ตรงกันข้ามมันจะทำให้เจ้าเป็นกังวลยิ่งกว่าเดิม สำหรับตอนนี้สิ่งที่เจ้าต้องทำคือตั้งมั่นในการฝึกฝนและพัฒนาตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้น”
มู่อวิ๋นยืนขึ้นและส่งยิ้มให้นักเรียนของเขา
“เสี่ยวอวี้โม่ อีกครึ่งปีจะมีงานประชันยุทธ์ของโรงเรียนเรา เจ้าต้องเอาที่หนึ่งมาให้ได้ รางวัลชนะเลิศในครั้งนี้เป็นสิ่งที่จะช่วยเหลือเจ้าได้มาก”
มู่อวิ๋นลดเสียงลงแล้วเอ่ยประโยคหนึ่งกับฉินอวี้โม่ ก่อนที่บุรุษผู้รั้งตำแหน่งสูงสุดในโรงเรียนราชสำนักจะเดินออกไปจากห้องโดยทิ้งนักเรียนตระกูลฉินให้นั่งอยู่เพียงลำพัง
ฉินอวี้โม่ประหลาดใจมาก อาจารย์มู่อวิ๋นถึงกับลอบบอกข้อมูลวงในให้นางได้รู้ก่อน นั่นก็หมายความว่ารางวัลชนะเลิศคงจะเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อนางมากอย่างแท้จริง หากเป็นเช่นนั้น คุณหนูสี่ตระกูลฉินจึงตั้งมั่นว่าจะต้องเอาชนะการแข่งขันใหญ่นี้ให้ได้
หลังออกมาจากห้องของอธิการ ฉินอวี้โม่ก็ไปหาอาจารย์ซ่างกวน
“อาจารย์ซ่างกวน หกเดือนหลังจากนี้ ข้าต้องการการฝึกฝนอย่างหนักเพื่อก้าวหน้าให้ได้โดยเร็วที่สุด ดังนั้นข้าจึงอยากจะขออนุญาตไม่เข้าชั้นเรียนและเข้าไปฝึกภายในหอคอยวิญญาณแทนจะได้หรือไม่เจ้าคะ ?”
คำขอของฉินอวี้โม่ไม่ได้ทำให้บุรุษผู้เป็นอาจารย์รู้สึกแปลกใจมากมายนัก ทว่าก็มีสิ่งหนึ่งที่เขารู้สึกสงสัย อาจารย์ที่ปรึกษายิ้มออกมาแล้วกล่าว “ข้าไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ปัญหาอยู่ที่เจ้ามีหินมายามากขนาดนั้นเลยหรือ ?”
หากต้องการจะอยู่ในหอคอยวิญญาณเป็นเวลานานก็ต้องใช้หินมายาจำนวนมาก และการจะอยู่ในหอคอยวิญญาณเป็นเวลาถึงครึ่งปีก็จำเป็นต้องมีหินมายาจำนวนมหาศาล แล้วในระยะเวลาที่สั้นเพียงเท่านี้ นักเรียนผู้อยู่ตรงหน้าจะไปหาหินมายามากถึงเพียงนั้นได้จากที่ใด ?
“เรื่องนี้อาจารย์ไม่ต้องเป็นห่วง ขอเพียงแค่อาจารย์อนุญาต เรื่องหินมายาไม่ใช่ปัญหา”
ฉินอวี้โม่ยิ้มแล้วกล่าวตอบ ขอเพียงอาจารย์ซ่างกวนซวี่ยอมอนุญาต การจะหาหินมายาสำหรับนางแล้วก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นแม้แต่น้อย ด้วยสถานะและทักษะพลังที่เป็นถึงผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับสูง ในการประมูลที่โรงประมูลใหญ่แห่งไป๋อวิ๋นก่อนหน้านี้นางยังหาอสูรมายามาได้เป็นจำนวนมาก ขอเพียงนางทำเช่นนั้นได้อีกครั้งและตามหาผู้ที่ต้องการจะแลกเปลี่ยนหินมายาเป็นอสูรมายาระดับดี ๆ ก็เป็นอันใช้ได้
“เช่นนั้นก็เอาเถิด เรื่องของเสี่ยวโร่วข้าได้ยินมาหมดแล้ว ในเมื่อเจ้าต้องการแข็งแกร่งขึ้นมากถึงเพียงนั้น งั้นเจ้าก็จงทำใจให้สงบและทุ่มเททุกอย่างในการฝึกฝน ข้าก็จะคอยเอาใจช่วยด้วย”
ซ่างกวนซวี่ยิ้ม เขารู้สึกชื่นชมในความมุ่งมั่นและความแน่วแน่ของนักเรียนผู้นี้ ในเมื่อนางตัดสินใจดีแล้ว เขาที่เป็นอาจารย์ก็พร้อมให้การสนับสนุน
ภายในครึ่งปีนี้เขาเองก็หวังเช่นกันว่าจะได้เห็นนักเรียนผู้มีพรสวรรค์พัฒนาตนเองขึ้นไปในระดับสูง และเขาก็อยากทราบเหลือเกินว่าเมื่อถึงเวลานั้น นางจะก้าวหน้าไปได้ไกลแค่ไหน และอยากจะดูให้เห็นด้วยสองตาว่านักเรียนในความดูแลของเขาผู้นี้จะสามารถโค่นล้มเหล่ารุ่นพี่ที่เป็นหัวกะทิของโรงเรียนแล้วคว้าเอารางวัลชนะเลิศมาได้หรือไม่ ในศึกประชันยุทธ์โรงเรียนราชสำนักปีนี้จะต้องเป็นที่จับตามากอย่างแน่นอน
“ขอบคุณท่านอาจารย์ที่กรุณา”
ฉินอวี้โม่ยิ้มก่อนจะขอตัวลา
หลังจากสนทนากับอาจารย์ที่ปรึกษาเสร็จสิ้น คุณหนูสี่ตระกูลฉินก็กลับไปที่หอพัก
ภายในหอพัก เยว่ชิงเฉิงและสหายสาวคนอื่น ๆ ไม่ได้แสดงท่าทีประหลาดใจเมื่อได้ทราบว่าฉินอวี้โม่ขออนุญาตอาจารย์เพื่อไปฝึกฝนภายในหอคอยวิญญาณเป็นเวลานานถึงครึ่งปี เพราะพวกนางทุกคนล้วนเข้าใจในจุดประสงค์ของสหาย
“นี่ พวกนี้คือหินมายาที่ข้าเก็บสะสมมา ข้าจะมอบมันให้เจ้าทั้งหมด หวังว่ามันจะช่วยเจ้าได้”
เยว่ชิงเฉิงนำหินมายาออกมาจากแหวนมิติและยื่นให้สหายคนงาม นั่นเป็นหินมายาที่นางสะสมมาตลอดครึ่งปีที่อยู่ภายในโรงเรียน
ทั้งเหย่าเซียนเอ๋อร์ หลิงซวง และฉีฉี ต่างก็เอาหินมายาของตัวเองออกมาและมอบให้ฉินอวี้โม่ทั้งหมด ไม่เพียงแต่ไม่นึกเสียดาย แต่พวกนางยังคะยั้นคะยอให้คุณหนูสี่รับมันไป
“ข้ารับไว้ไม่ได้หรอก พวกเจ้าอย่าลืมสิว่าข้าเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูร”
ทว่าฉินอวี้โม่ก็ยังส่ายศีรษะปฏิเสธ นางคิดหาวิธีที่จะได้หินมายาจำนวนมากมาเป็นที่เรียบร้อยและรู้ดีว่ามันจะได้ผลเต็มสิบส่วน ฉะนั้นนางจึงไม่อยากรับหินมายาที่เหล่าสหายเฝ้าอุตส่าห์สะสมมานานนี้มา หินมายาเป็นของล้ำค่าสำหรับการฝึกฝน สหายทุกคนของนางจำเป็นต้องใช้งานเพื่อสร้างความก้าวหน้าของตัวเอง การนำมาแบ่งให้ผู้อื่นเพียงเพราะอยากช่วยเหลือไม่ใช่เรื่องที่อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูเห็นด้วย
“จริงด้วย ข้าลืมเรื่องนี้ได้อย่างไร ขอเพียงอวี้โม่จับอสูรมายาระดับสูงมาได้ก็สามารถเอาไปแลกกับหินมายามาได้ไม่ยากแล้ว แค่นี้การหาหินมายาให้เพียงพอจะใช้อยู่ในหอคอยวิญญาณได้หกเดือนสำหรับอวี้โม่ก็เป็นเรื่องง่ายนิดเดียวแล้ว”
เมื่อได้ฟังวาจาของสหายตระกูลฉิน เยว่ชิงเฉิงก็ยิ้มกว้างและพยักหน้า ‘นางลืมสถานะของฉินอวี้โม่ไปได้อย่างไร’ ทว่าเป็นเพราะมีน้อยคนนักที่จะทราบว่าฉินอวี้โม่เป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรที่เก่งกาจหรือเคยเห็นตอนที่นางสยบอสูรมายากับตา อีกทั้งนางยังไม่ค่อยกล่าวถึงทักษะทางด้านนี้ของตนเองจึงไม่แปลกที่สหายหลายคนจะละเลยจุดนี้ไป
“ข้านึกออกแล้ว ก่อนหน้านี้ที่ป่าแห่งราชวงศ์พี่อวี้โม่ยังช่วยข้าสยบอสูรมายาตั้งสองตัวและยังจับอสูรระดับสูงให้ท่านพี่ของข้าด้วย ในตอนนั้นข้ายังเห็นพี่อวี้โม่จับอสูรมายาระดับสูงเอาไว้ด้วยหลายตัว พี่อวี้โม่คงคิดเรื่องนี้ไว้นานแล้วใช่หรือไม่ ?”
องค์หญิงฉีฉีกล่าวเสียงเจื้อยแจ้วแล้วแย้มรอยยิ้ม นางจำได้ดีในตอนที่ไปออกล่าอสูรมายาร่วมกับฉินอวี้โม่ ในตอนนั้นพี่สาวคนงามสยบอสูรมายามาหลายตัวแต่ก็ไม่ได้ทำพันธสัญญา เดิมทีนางเองก็คิดไม่ออกว่าฉินอวี้โม่จะทำสิ่งใดหรือการทำเช่นนั้นจะเป็นผลดีอย่างไร หากแต่เวลานั้นก็ไม่ได้เอ่ยถาม มาวันนี้องค์หญิงน้อยได้ทราบถึงเหตุผลแล้ว … ‘นี่คงถึงเวลาที่จะใช้อสูรระดับสูงมากมายนั่นให้เป็นประโยชน์แล้วสินะ’
“อะไรกัน นี่พวกเจ้าไปออกล่าอสูรมายาโดยไม่คิดจะชวนพวกเราไปด้วยเลยงั้นรึ ?”
เมื่อได้ยินเรื่องที่สหายผู้เยาว์วัยที่สุดบอกเล่ามา หญิงสาวทั้งสามก็จ้องมององค์หญิงน้อยพลางแสร้งทำสายตาโกรธขึ้ง
“เอ่อ คือว่า…”
ฉีฉีตื่นตกใจขึ้นมาจริง ๆ เมื่อเห็นว่าพี่สาวทั้งสามโกรธเคือง ดรุณีผู้สูงศักดิ์นึกกลัวจนต้องรีบวิ่งไปหลบด้านหลังของฉินอวี้โม่ ก่อนที่คุณหนูตระกูลฉินจะเป็นผู้เอ่ยคำตอบขึ้นมา
“ข้าลืม”
เยว่ชิงเฉิงและคนอื่น ๆ หมดคำพูดไปกับคำตอบที่สหายกล่าว พวกนางถอนหายใจและแทบห้ามตัวเองไม่ให้กลอกตามองสูงไม่ได้ อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นท่าทางหวาดหวั่นของฉีฉีทุกคนก็พากันหัวเราะออกมา … ‘นี่คิดจริงหรือว่าพวกนางจะโกรธเรื่องนี้ได้จริง ๆ ช่างไร้เดียงสาโดยแท้’
“เอาล่ะ อย่ามัวพูดคุยเรื่องไร้สาระกันอยู่เลย ในเมื่อทุกคนอยากจะช่วยก็เอาเช่นนี้ดีกว่า พวกเจ้าช่วยเอาอสูรมายาออกไปตามหาผู้ที่ต้องการจะแลกเปลี่ยนพวกมันกับหินมายาให้ข้าที ข้าไม่อยากจะออกหน้าจนเป็นที่ผิดสังเกต”
ฉินอวี้โม่ยิ้ม ที่โรงประมูลนางสร้างความตื่นตะลึงเอาไว้มาก ซึ่งแน่นอนว่าทุกคนต้องติดใจสงสัยในตัวตนของบุคคลบนชั้นที่สาม ยิ่งไปกว่านั้นก็น่าจะมีคนจากโรงเรียนราชสำนักจำนวนไม่น้อยที่เข้าร่วมงานประมูลประจำปี ถ้าหากว่าฉินอวี้โม่เป็นผู้นำเอาอสูรจำนวนมากออกไปแลกเปลี่ยนกับหินมายาของคนในโรงเรียน ถึงตอนนั้นไม่ว่าผู้ใดก็คงจะเชื่อมโยงเรื่องราวและคาดเดาได้ว่าแขกพิเศษที่ยิ่งกว่าพิเศษบนชั้นที่สามในโรงประมูลแห่งไป๋อวิ๋นจะต้องเป็นนางอย่างแน่นอน
ฉินอวี้โม่ไม่อยากให้ตัวตนของนางถูกเปิดเผย ดังนั้นแล้วนางจึงอยากให้สหายทั้งหลายเป็นผู้ออกหน้านำอสูรมายาไปแลกหินมายามาให้แทน หากทำเช่นนี้ก็จะไม่ถูกสงสัยมากนัก
เหล่าสหายสาวของฉินอวี้โม่ต่างก็เฉลียวฉลาด พวกนางเข้าใจเรื่องราวในทันทีจึงพยักหน้าตอบตกลงและรีบรับเอากรงขังอสูรขนาดย่อส่วนมากกว่าสิบกรงมาจากฉินอวี้โม่ ภายในกรงเหล่านั้นมีอสูรตัวกระจิริดจับจองอยู่ทั้งหมด หลังจากใส่พวกมันไว้ในแหวนมิติแล้ว สาวน้อยทั้งหลายก็รีบออกไปจากหอพักทันที
และก่อนที่พระอาทิตย์จะลาลับขอบฟ้า ทุกคนก็กลับเข้ามาในหอพักอย่างพร้อมหน้าแล้ว
“ทายซิว่าพวกเราได้หินมายามาทั้งหมดเท่าไหร่ ?”
เยว่ชิงเฉิงเอ่ยขึ้น ขณะเดียวกันคนอื่น ๆ ก็กำลังส่งยิ้มกว้างให้ฉินอวี้โม่
“ห้าพัน ?”
ฉินอวี้โม่เคยลองประมาณอย่างคร่าว ๆ เอาไว้ก่อนหน้านี้ จึงตอบกลับไปได้ในทันที
“ฮ่า ๆ ๆ จะดูถูกพวกข้าเกินไปแล้วนะ พวกเราแลกมาได้รวมกันแล้วทั้งหมดเป็นหินมายาจำนวนหกพันสองร้อยยี่สิบสองก้อนถ้วนต่างหากล่ะ”
เยว่ชิงเฉิงบอกจำนวนหินมายาทั้งหมดที่พวกนางได้มาด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินสิ่งที่สหายกล่าว ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มเต็มใบหน้า ทั้งสีหน้าและแววตาเต็มเปี่ยมด้วยความซาบซึ้งใจโดยแท้จริง สหายที่น่ารักของนางคงพยายามกันอย่างเต็มที่กว่าจะแลกหินมายามาได้มากมายขนาดนี้
เพียงเท่านี้ อดีตนักฆ่าสาวก็มีหินมายาเพียงพอที่จะทำให้นางอยู่ในหอคอยวิญญาณได้เป็นเวลาครึ่งปีแล้ว และนางก็จะใช้ช่วงเวลานี้ให้คุ้มค่าที่สุด !
.