คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 149 สมาชิกทั้งห้า

เช้าวันรุ่งขึ้น นักเรียนทั้งหลายล้วนตื่นตั้งแต่เช้าตรู่และไปรวมตัวกันที่ลานประลองใหญ่ของโรงเรียน ขึ้นชื่อว่าลานประลองใหญ่ก็มีขนาดใหญ่อย่างแท้จริง เพราะลานประลองแห่งนี้สามารถรองรับนักเรียนทั้งหมดของโรงเรียนราชสำนักได้ อีกทั้งยังเหลือพื้นที่ใช้สอยอันกว้างขวางอย่างไม่น่าเชื่ออีกด้วย

เวลานี้บนลานประลองเนืองแน่นไปด้วยนักเรียนทุกรุ่นทุกชั้นปีจำนวนมากมาย เมื่อได้ยืนอยู่บนลานประลองใหญ่ในงานประลองยุทธ์ที่รายล้อมไปด้วยคู่แข่งนับไม่ถ้วนเช่นนี้ นักเรียนทุกคนต่างก็รู้สึกตื่นเต้นกันขึ้นมาแล้ว

ในหัวใจของพวกเขาทั้งหมดคล้ายมีเปลวไฟอันร้อนเร่าลุกโชน สู้อุตส่าห์พยายามฝึกซ้อมมานานแรมปี แน่นอนว่าศึกครั้งนี้ไม่มีผู้ใดคิดจะยอมถอนตัวไปโดยง่าย

ฉินอวี้โม่มองเห็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาบนลานประลองแห่งนี้หลายคน มีทั้งเพื่อนร่วมชั้นเรียนและเหล่ารุ่นพี่ ทั้งที่เป็นมิตรและไม่เป็นมิตร ขณะนี้นักเรียนที่มีส่วนร่วมในการแข่งขันเกือบทั้งหมดได้มาถึงกันแล้ว

ปิงเสวียน ลั่วเฉิน จีหย่ง ยอดฝีมือสามอันดับแรกแห่งทำเนียบนภาหรืออาจจะกล่าวได้ว่าเป็นตัวเต็งในการแข่งขันกำลังยืนตั้งสมาธิอยู่กันคนละส่วนมุม ดวงตาของพวกเขาปิดสนิทอย่างสงบนิ่ง

ส่วนทางด้านหลินหยวนนั้น เมื่อมองเห็นฉินอวี้โม่เขาก็พยักหน้าพร้อมกับสิ่งยิ้มให้นางแทนคำทักทาย

ส่วนบุรุษเลือดนักสู้หลินซิวหยาอดไม่ได้ที่จะเดินเข้ามาทักทายรุ่นน้องผู้เป็นดาวเด่นของศึกในปีนี้อย่างเป็นกันเอง

“รุ่นน้องฉินอวี้โม่ ข้าไม่ได้เห็นหน้าเจ้ามากเกินครึ่งปีแล้วนะ ข้าอยากจะขอคำชี้แนะจากเจ้าแต่ก็ไม่มีโอกาสเลย ครั้งนี้หากโชคดีเราคงได้มีโอกาสได้วัดฝีมือกัน ข้าอยากจะลองสัมผัสความเก่งกาจของเจ้าด้วยพลังความสามารถและสองตาของข้าเองเต็มแก่แล้ว ฮ่า ๆ ๆ ๆ !”

หลินซิวหยากล่าวก่อนจะหัวเราะลั่นด้วยความเบิกบาน บุรุษผู้ชื่นชอบการต่อสู้อดใจแทบไม่ไหวที่จะได้ต่อสู้กับฉินอวี้โม่ยอดดวงรุ่งของปีนี้

ฉินอวี้โม่พยักหน้า “หากว่ามีโอกาสหวังว่ารุ่นพี่จะไม่ออมมือ ข้าเองก็จะพยายามอย่างเต็มที่เช่นกัน”

หลินซิวหยาพยักหน้า เขารู้สึกชื่นชมรุ่นน้องผู้นี้มากเป็นพิเศษ ในการรับมือกับผู้รุกรานจากอารามครั้งก่อนที่ป่านอกเขตโรงเรียน พลังที่ฉินอวี้โม่แสดงออกมานั้นทำให้เขาประทับใจอย่างเหลือล้น เขาจึงอยากจะลองประมือกับนางสักครั้งให้ได้

“หลินซิวหยา ข้าได้ยินมาว่าความแข็งแกร่งของเจ้าไปถึงระดับมายาบรรพชนเก้าดาราแล้วนี่”

เสียงสตรีที่ฉินอวี้โม่คุ้นเคยอีกเสียงหนึ่งดังมา เพ่ยหลงรุ่นพี่สาวที่เคยยืนหยัดอยู่ข้างนางเมื่อครั้งต้องรับมือกับจีชางและจีหย่งปรากฏตัวขึ้นข้างกายพวกเขา

“อะไรกัน เป็นถึงจอมยุทธ์มายาบรรพชนเก้าดารา แต่กลับมาท้าประลองกับรุ่นน้องอวี้โม่ที่เป็นสตรี นี่ไม่ถือว่ารังแกกันเกินไปหน่อยหรือ ?”

กล่าวหยอกล้อกับสหายตัวโตจบ เพ่ยหลงก็หันไปส่งยิ้มแล้วเอ่ยทักทายฉินอวี้โม่

ในครึ่งปีที่ผ่านมาระดับพลังของเพ่ยหลงก็รุดหน้าไปมากเช่นกัน ไม่นานมานี้ชื่อของเพ่ยหลงได้เลื่อนระดับขึ้นไปอยู่ในอันดับที่ห้าของทำเนียบนภาแล้ว ส่วนอันดับสี่ยังเป็นของหลินซิวหยาจอมยุทธ์ตัวยักษ์บ้าพลังที่คลั่งไคล้การต่อสู้เช่นเดิม

เพ่ยหลงผู้นี้นับเป็นหนึ่งในผู้ที่ก้าวหน้าอย่างเด่นชัดที่สุด

“เพ่ยหลง เจ้ายังไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งของรุ่นน้องอวี้โม่ ต่อให้เป็นข้าก็เถอะ หากประลองกันก็ยังไม่แน่ว่าจะเอาชนะได้ เจ้าเองก็เหมือนกัน ข้าเชื่อว่าตัวเจ้าก็ไม่มั่นใจว่าจะชนะนางได้เช่นกัน ใช่หรือไม่”

หลินซิวหยาไม่ได้โกรธเคือง เขายิ้มออกมาแล้วตอบกลับสหายสาวด้วยวาจาหยอกล้อเช่นกัน เขากับเพ่ยหลงสนิทสนมกันเป็นอย่างดี เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะขุ่นเคืองด้วยคำพูดของนาง

“ผิดแล้ว !”

เพ่ยหลงส่ายศีรษะ พลันเอ่ยเสียงแจ่มชัดด้วยรอยยิ้ม

“หากข้าได้ประลองกับนาง ไม่ใช่แค่ไม่มั่นใจว่าจะชนะ แต่ข้าคิดว่าข้าคงแพ้ราบคาบอย่างแน่นอน”

ความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่นั้นไม่ต้องสงสัยกันอีกแล้ว ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนยอมรับว่านางเป็นผู้มีพรสวรรค์อันหาตัวจับได้ยาก แม้เพ่ยหลงจะรู้ว่าตัวเองก็แข็งแกร่งเช่นกัน แต่นางก็ยังรู้สึกว่าหากต้องรับมือกับรุ่นน้องผู้นี้ตัวต่อตัว ตัวนางเองคงจะยังไม่สามารถเอาชนะได้

“พี่เพ่ยหลง พี่หลินซิวหยา ท่านทั้งสองถ่อมตัวเกินไปแล้ว ถ้าพวกเราได้ประมือกันจริง ข้าผู้น้อยขอรับคำชี้แนะจากพวกท่านด้วย ส่วนเรื่องที่ว่าใครจะชนะหรือไม่นั้น ข้าคิดว่าไม่ใช่ประเด็นสำคัญ”

แน่นอนว่าฉินอวี้โม่เป็นผู้มีความมั่นใจในตัวเอง นางมั่นใจในความสามารถที่มีอยู่อย่างเหลือล้น อย่างไรก็ตามงานประชันยุทธ์ครั้งนี้เป็นศึกใหญ่ที่นางตั้งความหวังไว้ที่รางวัลชนะเลิศ ฉะนั้นนางจะต้องไม่ประมาทผู้ใดโดยเด็ดขาด หลินซิวหยาและเพ่ยหลงเองก็เป็นนักเรียนระดับแนวหน้าของโรงเรียน พลังฝีมือของพวกเขาจึงไม่อาจจะมองข้ามได้เลยเช่นกัน

“อืม ฉินอวี้โม่กล่าวถูกแล้ว ชนะหรือแพ้นั้นไม่สำคัญ หากพวกเราได้ประชันฝีมือกัน ก็ขอให้เป็นการต่อสู้ที่ดีสมกับที่รอคอย”

หลินซิวหยายิ้มร่า วันนี้เป็นวันที่บุรุษผู้ชื่นชอบการต่อสู้มีความสุขเป็นพิเศษ

ในขณะกำลังสนทนากันอยู่นั้น พวกเขาก็มองเห็นอธิการมู่อวิ๋นและเหล่าผู้อาวุโสของโรงเรียนปรากฏตัวขึ้นบนเวทียกพื้นสูงกลางลานประลอง

“หึ ๆ นักเรียนทั้งหลาย ได้เห็นสีหน้าของทุกคน ข้าก็เชื่อแล้วว่าวันนี้พวกเจ้าทั้งหมดพร้อมสำหรับการต่อสู้อย่างเต็มที่ ทว่าหลังจากที่ข้าและเหล่าผู้อาวุโสของโรงเรียนได้หารือกันแล้ว พวกเราได้ข้อสรุปว่ารูปแบบการแข่งขันในครั้งนี้จะเปลี่ยนแปลงไปจากครั้งก่อน ๆ”

มู่อวิ๋นยิ้มบาง เมื่อวานนี้เขาใช้เวลาปรึกษาหารือกับเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายอยู่นาน ก่อนจะได้มติที่จะเปลี่ยนแปลงกฎของการแข่งขันใหญ่ของโรงเรียนในปีนี้ เนื่องจากครั้งนี้ศึกประชันยุทธ์คึกคักมากเป็นพิเศษ อีกทั้งยังเต็มไปด้วยนักเรียนผู้มีพรสวรรค์สูงจำนวนมากที่ร่วมแข่งขัน ทางโรงเรียนจึงคิดที่จะใช้กฎที่ทำให้ศึกประชันยุทธ์แห่งโรงเรียนราชสำนักครั้งนี้ดูน่าตื่นตาตื่นใจมากขึ้นกว่าเดิม

“ปีนี้ ศึกประชันยุทธ์ของโรงเรียนจะแบ่งการแข่งขันออกเป็นสองประเภท ประเภทแรกก็ประเภทเดี่ยว ส่วนอีกประเภทก็คือประเภทหมู่คณะ การแข่งขันประเภทเดี่ยวนั้นไม่ต้องพูดอะไรมากเพราะกฎกติกาทุกอย่างไม่ได้ต่างจากปีก่อน ๆ แต่ที่ข้าอยากจะเน้นย้ำและอธิบายก็คือการแข่งขันประเภทหมู่คณะ”

อธิการมู่อวิ๋นกล่าวถึงการแข่งขันแบบหมู่คณะขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

การแข่งขันประเภทหมู่คณะนี้ หนึ่งกลุ่มจะมีสมาชิกจำนวนห้าคน ซึ่งข้อกำหนดของคนทั้งห้ามีอยู่หนึ่งข้อนั่นก็คือ ‘ต้องเป็นนักเรียนที่มีใจอยากจะสู้ร่วมกันกับคนอื่น ๆ ในกลุ่ม’ สำหรับความแข็งแกร่งของสมาชิกกลุ่มทั้งห้าคนนั้น ทางโรงเรียนไม่ได้มีข้อกำจัดใด ๆ กล่าวอย่างง่าย ๆ ก็คือนักเรียนจะจับกลุ่มกันอย่างไรก็ได้เพื่อให้มีสมาชิกครบจำนวนห้าคน ขอเพียงมีห้าคนไม่ว่ากลุ่มนั้นจะประกอบด้วยนักเรียนรุ่นไหนชั้นปีใดก็สามารถลงแข่งขันได้ไม่จำกัดสิทธิ์

รูปแบบการแข่งขันจะเป็นไปในลักษณะของการ ‘คัดออก’ จนกว่าจะได้ผู้ชนะเลิศและสามารถจัดอันดับต่าง ๆ ได้

เนื่องจากการจัดอันดับในศึกประชันยุทธ์ของปีนี้มีสองส่วนคือทั้งส่วนที่เป็นหมู่คณะและแบบส่วนบุคคล นั่นหมายความว่ารางวัลก็จะถูกจัดสรรไว้สำหรับทั้งสองส่วน ดังนั้นการแข่งขันในปีนี้จึงดูจะเข้มข้นและน่าตื่นเต้นกว่าครั้งที่ผ่าน ๆ มาไม่น้อย

แน่นอนว่ารางวัลที่ทางโรงเรียนจัดเตรียมไว้ให้ก็ต้องยิ่งใหญ่กว่าครั้งที่แล้วมา ไม่ใช่แค่เพียงจำนวนหินมายาที่จะมากขึ้นเป็นสองเท่าเท่านั้น แต่รางวัลอื่น ๆ ก็มีมากมายและหลากหลายขึ้นด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนทุกคนพยายามกันอย่างเต็มที่มากที่สุด

“วันนี้จะไม่มีการแข่งขัน ทุกคนใช้เวลานี้หาเพื่อนที่จะเข้าร่วมกลุ่ม จากนั้นก็ไปลงทะเบียนกลุ่มที่อาจารย์ลิ้วหยวยได้เลย แน่นอนว่าทุกกลุ่มจะต้องเลือกหัวหน้ากลุ่มด้วย เพราะว่าชื่อของกลุ่มจะเรียกแทนด้วยชื่อของผู้เป็นหัวหน้ากลุ่ม”

ท่านอธิการแย้มรอยยิ้มอีกครั้งก่อนจะกล่าวเรื่องที่ชวนให้นักเรียนทั้งหลายได้แต่ทอแววตางุนงง พวกเขาเตรียมตัวกันอย่างเต็มที่และรอคอยมาทั้งปีทว่าในวันนี้การแข่งขันกลับยังไม่เริ่มต้น อย่างไรก็ตามนี่ก็ไม่อาจนับว่าเลวร้ายเพราะยังถือเป็นข้อดีเสียอีกที่จะได้เวลาเตรียมความพร้อมมากขึ้นและยังมีเวลาสำหรับการจัดเตรียมกลุ่มที่จะถูกจัดตั้งขึ้นอย่างกะทันหันนี้ด้วย

หลังจากพยักหน้ารับทราบ เหล่านักเรียนทั้งหลายก็รีบหาสหายร่วมกลุ่มอย่างรวดเร็ว

โดยทั่วไปแล้ว ทุกคนก็มักจะเข้าร่วมกลุ่มกับบุคคลที่คุ้นเคยเพราะรู้จักโฉมหน้าและเคยคุ้นในพลังความสามารถ รวมไปถึงนิสัยใจคอของกันและกันเป็นอย่างดี มีไม่มากนักที่คิดว่าจะรวมกลุ่มกับผู้ใดก็ได้แม้จะไม่สนิทสนมก็ตาม

การชวนคนแปลกหน้าเข้าร่วมกลุ่มหรือขอร่วมกลุ่มกับคนไม่สนิทสนมโดยส่วนมากก็มักจะถูกปฏิเสธ ซึ่งเหตุผลของประเด็นนี้นั้นเข้าใจได้ง่ายเป็นอย่างยิ่ง นั่นก็คือ หากเป็นบุคคลที่ไม่รู้จักคุ้นเคย นอกจากความไม่สนิทใจแล้ว ความเข้าอกเข้าใจและการประสานงานก็จะย่ำแย่ลงด้วย

ในตอนที่ฉินอวี้โม่กำลังจะกล่าวบางอย่างออกมา เสียงของเยว่ชิงเฉิงก็ดังขึ้นขัดเสียก่อน

“ข้า ซวงเอ๋อร์ เซียนเอ๋อร์ ชิงเฟิงและหลิงเฟิงจะรวมกลุ่มกัน ส่วนคนอื่น ๆ ก็จัดกลุ่มกันเองนะ”

เยว่ชิงเฉิงรู้ดีว่าอย่างไรฉินอวี้โม่ก็คงจะร่วมกลุ่มกับพวกนางอย่างแน่นอน ทว่าคุณหนูตระกูลช่างหลอมรู้ตัวดีว่ากลุ่มของนางมีโอกาสชนะน้อยมาก หากฉินอวี้โม่มาร่วมด้วยนางก็กลัวว่าต้องให้สหายคนงามเป็นผู้แบกรับ พวกนางไม่อยากจะเป็นตัวถ่วงฉุดรั้งความสำเร็จของฉินอวี้โม่ แม้ว่าจะดูใจร้ายไปมากแต่สาวแกร่งตระกูลเยว่ก็จำใจต้องจงใจเว้นชื่อฉินอวี้โม่เอาไว้เพื่อให้สหายคนงามไปหาทีมที่แข็งแกร่งกว่านี้

“ลั่วอวิ๋น ข้า สือซานและสหายจะรวมกลุ่มกัน”

ฉีอวี้ยิ้มแล้วกล่าวออกมาบ้าง เขาเองก็รวมกลุ่มกับสหายได้อย่างรวดเร็ว

“ข้าไม่แข็งแกร่งพอ ฉะนั้นข้าจะไม่เข้าร่วมด้วย

ผู้อ่อนเยาว์ที่สุดในกลุ่มอย่างฉีฉีกล่าว นางได้หารือกับพี่ชายแล้วและนางไม่คิดจะเข้าร่วมกับการแข่งขันประเภทหมู่คณะ

ฉินอวี้โม่อึ้งไปชั่วขณะ เพียงแต่ได้ยินได้ฟังสิ่งที่เกิดขึ้นนางก็เดาเจตนาของเหล่าสหายออกจนหมดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นอดีตนักฆ่าสาวยังรู้อีกด้วยว่าคงไม่สามารถเปลี่ยนใจสหายของตนได้ เยว่ชิงเฉิงที่แม้ว่าบางครั้งจะยอมเชื่อฟังนางอยู่บ้าง แต่ในเวลาที่คุณหนูผู้ห้าวหาญตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวไปแล้วก็จะไม่ฟังใครและไม่ยอมเปลี่ยนใจอีก

ทางด้านเพ่ยหลงนั้นมีกลุ่มของตัวเองแล้ว นางไม่สามารถปฏิเสธเหล่าสหายรักได้

ทว่าบุรุษตัวโตอย่างหลินซิวหยากลับยังไม่มีเพื่อนร่วมกลุ่ม

“คือว่า … รุ่นน้องอวี้โม่ หากเจ้าไม่รังเกียจ พวกเราทั้งสองไปหาสมาชิกอีกสามคนมาแล้วจัดตั้งกลุ่มกันดีไหม ?”

หลินซิวหยาเอ่ยปากชวนด้วยรอยยิ้ม ในเมื่อเป็นการต่อสู้แบบหมู่คณะ ฉะนั้นโอกาสที่จะได้ประลองฝีมือกับฉินอวี้โม่ก็เรียกว่าน้อยแสนน้อย และตอนนี้ในเมื่อทั้งเขาและนางยังไร้กลุ่ม เช่นนั้นบุรุษผู้ชื่นชอบการต่อสู้จึงชักชวนรุ่นน้องที่นึกอยากสู้ด้วยมาร่วมกลุ่มเสียเลย

ฉินอวี้โม่ผู้ยังไม่มีที่ไปเมื่อได้รับคำชวนจากรุ่นพี่มากฝีมือก็พยักหน้าตอบรับได้อย่างไม่ยากเย็น แน่นอนว่านางย่อมไม่มีปัญหาในการร่วมกับบุรุษผู้คลั่งไคล้การต่อสู้ นี่ถือเป็นการดีเสียอีกที่มีคนเก่ง ๆ เช่นเขาเป็นสหายร่วมกลุ่ม

“ไม่ทราบว่าคนอย่างข้าพอจะมีวาสนาได้ต่อสู้เคียงข้างหลินซิวหยาและรุ่นน้องฉินอวี้โม่หรือไม่ ?”

กระแสเสียงที่ฟังดูสุภาพนุ่มลึกเสียงหนึ่งดังมา ผู้เอ่ยวาจานั้นเป็นบุรุษผู้หนึ่ง เขากำลังเดินเข้ามาหาฉินอวี้โม่และหลินซิวหยา คนผู้นี้คือบุรุษมากน้ำใจเนี่ยหรูเฟิง

ในตอนนี้หลายกลุ่มที่มีสมาชิกครบทั้งห้าคนแล้วต่างพากันเดินไปยังโต๊ะลงทะเบียน เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และหลินซิวหยายืนนิ่งกันอยู่เพียงสองคน แน่นอนว่าทุกคนย่อมมองออกว่ากลุ่มของทั้งคู่ยังมีสมาชิกไม่ครบ

เนี่ยหรูเฟิงยังไม่ตัดสินใจว่าจะไปร่วมกับสหายกลุ่มใด เมื่อเห็นดังนั้นจึงเดินเข้าไปหารุ่นพี่หนุ่มและรุ่นน้องสาวอย่างไม่ลังเล โอกาสจะได้เพื่อนร่วมกลุ่มที่แข็งแกร่งเช่นนี้หาไม่ง่ายนัก เดิมทีเขาคิดว่าทั้งคู่อาจจะไม่รับเขาเข้าร่วมเสียด้วยซ้ำ ทว่าผลกับตรงกันข้ามเพราะทั้งฉินอวี้โม่และหลินซิวหยาต่างก็รู้สึกดีใจที่บุรุษใจเพชรผู้นี้ตัดสินใจมาขอเข้ากลุ่ม ทั้งสองหันมามองหน้ากันก่อนจะรีบกล่าวรับ

“ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว หากมียอดฝีมืออย่างเนี่ยหรูเฟิงมาร่วมด้วยอีกคน กลุ่มเราคงแข็งแกร่งไม่น้อย”

หลินซิวหยาพยักหน้าแล้วกล่าว ฉินอวี้โม่เองก็พยักหน้าตามรุ่นพี่ผู้นี้ด้วยรอยยิ้ม

เนี่ยหรูเฟิงคือผู้ที่อยู่ในอันดับเจ็ดของทำเนียบนภา ถ้าได้เขาเข้าร่วมกลุ่มก็รับประกันได้เลยว่ากลุ่มอันแข็งแกร่งนี้ต้องได้อันดับดี ๆ เป็นแน่

“ขออภัย กลุ่มของพวกเจ้ากำลังขาดคนอย่างนั้นหรือ ?”

เสียงอีกเสียงดังขึ้น บุรุษหนุ่มผู้มีใบหน้าติดจะเย็นชาเล็กน้อยค่อย ๆ ย่างกายเข้ามาใกล้

เขาสะพายดาบใหญ่ไว้กลางหลัง กิริยาท่าทางและกลิ่นอายจากร่างกายนั้นแข็งแกร่งยิ่งยวด เมื่อบวกรวมเอาทั้งบรรยากาศที่ดูเยือกเย็นและสภาวะพลังอันแข็งแกร่งทำให้หลายคนไม่กล้าเข้าใกล้เขา

“พี่หลี่จิ้งกลับมาจากการหาประสบการณ์ข้างนอกแล้วอย่างนั้นหรือ ?”

หลินซิวหยากล่าวทักทาย

บุรุษผู้นี้คือหลี่จิ้ง อดีตยอดฝีมือผู้ครองอันดับที่สองแห่งทำเนียบพสุธา เขาเป็นผู้รักความสันโดษ แม้ว่าจะอยู่ในอันดับสองบนทำเนียบพสุธาและได้รับหินมายามามากแต่ก็แทบจะไม่ได้อยู่ในโรงเรียนหรือใช้หินมายาที่ได้มาเข้าไปฝึกฝนในหอคอยวิญญาณเลย ตรงกันข้ามบุรุษผู้นี้มักจะเลือกรับภารกิจประหลาดเพื่อให้ได้ออกไปท่องโลกภายนอกและหาประสบการณ์แปลกใหม่ นี่เป็นเหตุผลว่าเหตุใดจึงแทบจะไม่มีใครเห็นเขาในโรงเรียน และตอนนี้ก็ไม่มีผู้ใดทราบเลยว่าความแข็งแกร่งของเขาก้าวหน้าไปถึงระดับใดแล้ว

“ยินดีที่ได้พบพี่หลิว พี่เนี่ย รุ่นน้องฉินอวี้โม่”

หลี่จิ้งทักทายบุคคลทั้งสามด้วยรอยยิ้มชื่นมื่น

แม้ว่าเขาจะเหมือนกับหมาป่าเดียวดายที่แทบไม่เคยมาอยู่ในโรงเรียน แต่ในเมื่อเป็นงานใหญ่ที่จัดขึ้นทุกห้าปีอย่างศึกประชันยุทธ์เช่นนี้ เขาก็อดที่จะเข้ามามีส่วนร่วมไม่ได้ เมื่อแรกที่ได้ยินว่ารูปแบบถูกปรับเปลี่ยนมาเป็นการแข่งแบบหมู่คณะเขาก็รู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง ทว่าระหว่างที่กำลังลังเลก็ได้เห็นฉินอวี้โม่และหลิวซิวหยาที่ยังหาสมาชิกกลุ่มได้ไม่ครบจึงลองเสี่ยงเข้ามาทักทาย

แม้ว่าฉินอวี้โม่จะไม่รู้จักรุ่นพี่ผู้นี้ ทว่าทั้งเนี่ยหรูเฟิงและหลิวซิวหยานั้นรู้จักเขาเป็นอย่างดี อดีตนักฆ่าสาวจึงเอ่ยปากเชื้อเชิญ

“กลุ่มของเรายังขาดสมาชิกอยู่อีกสองคน รุ่นพี่หลี่จิ้งอยากจะเข้าร่วมกับพวกเราหรือไม่ ?”

ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยรอยยิ้ม ไม่ใช่แต่เพียงเป็นคนรู้จักของรุ่นพี่ทั้งสอง แต่นางยังสัมผัสได้ด้วยว่าความแข็งแกร่งของหลี่จิ้งผู้นี้ไม่ธรรมดา ยิ่งกว่านั้นแม้จะเพิ่งได้พบหน้าเขาเป็นครั้งแรก แต่ด้วยอัธยาศัยไมตรีและการแสดงออกโดยรวม นางก็คิดว่าเขาน่าจะเป็นคนน่าคบหาคนหนึ่ง

“เช่นนั้นช่วยรวมข้าเข้าไปด้วย”

หลี่จิ้งพยักหน้าอย่างไม่ลังเล

“งั้นคนสุดท้ายที่เหลือก็รวมข้าเข้าไปด้วยดีหรือไม่ ?”

ทันใดนั้นเสียงแสนไพเราะแห่งอิสตรีก็ดังขึ้น ก่อนที่ร่างบางที่ฉินอวี้โม่รู้สึกคุ้นหน้าจะปรากฏอยู่ในคลองสายตา

“หลิวเยว่ เจ้าก็เป็นนักเรียนของโรงเรียนเราด้วยอย่างนั้นรึ ?”

เมื่อได้เห็นเจียงหลิวเยว่ ฉินอวี้โม่ก็ประหลาดใจไปไม่น้อย

“ฮ่า ๆ อาจจะเป็นเพราะว่าข้าไม่ชอบทำตัวโดดเด่นและไม่ติดอยู่ในทำเนียบใดเลยจึงไม่เป็นที่กล่าวถึง”

แม้ว่า เมื่อครั้งที่เจียงหลิวเยว่ผู้นี้เข้าเรียนปีแรกในโรงเรียนราชสำนัก หลายคนจะรู้จักนางในนามโฉมงามอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน ทว่าด้วยการที่นางอยู่อย่างสงบและจงใจทำตัวให้เงียบเชียบที่สุด ในภายหลังเสียงร่ำลือเกี่ยวกับโฉมงามผู้นี้จึงแผ่วเบาลงไปจนกลายเป็นไม่เหลือผู้กล่าวถึงอีก

“ข้าอยู่เงียบ ๆ มาตลอด พอนานวันเข้า ทุกคนก็คงลืมกันไปหมดแล้ว ยิ่งกว่านั้นนักเรียนปีสี่อย่างข้าไม่มีชั้นเรียนให้เข้าแล้วด้วย ฉะนั้นแม้ว่าข้าจะอยู่ข้างนอกบ้างก็ไม่ผิดกฎอะไร ข้าเองก็เพิ่งจะกลับมาที่โรงเรียนเมื่อเดือนก่อน การที่เจ้าจะไม่รู้จักข้าก็ไม่แปลกสักนิด”

เจียงหลิวเยว่อธิบายด้วยรอยยิ้ม

ฉินอวี้โม่พยักหน้า แม้ว่านางจะไม่เคยเห็นความแข็งแกร่งของเจียงหลิวเยว่ แต่ในเมื่อนางเข้ามาอยู่ที่โรงเรียนแห่งนี้นานหลายปีนั่นย่อมแสดงว่าฝีมือก็คงจะไม่ใช่ธรรมดาแล้วเป็นแน่

หลังจากเจียงหลิวเยว่เข้าร่วมกลุ่ม กลุ่มของฉินอวี้โม่ก็มีสมาชิกครบห้าคนแล้ว

หลินซิวหยาและเนี่ยหรูเฟิงมองหน้ากันด้วยรอยยิ้ม พวกเขาไม่คิดเลยว่าจะได้กลุ่มที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ศึกครั้งนี้กลุ่มของพวกเขาจะต้องคว้าเอาอันดับที่ดีมาครอบครองได้อย่างแน่นอน

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 149 สมาชิกทั้งห้า

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 149 สมาชิกทั้งห้า

เช้าวันรุ่งขึ้น นักเรียนทั้งหลายล้วนตื่นตั้งแต่เช้าตรู่และไปรวมตัวกันที่ลานประลองใหญ่ของโรงเรียน ขึ้นชื่อว่าลานประลองใหญ่ก็มีขนาดใหญ่อย่างแท้จริง เพราะลานประลองแห่งนี้สามารถรองรับนักเรียนทั้งหมดของโรงเรียนราชสำนักได้ อีกทั้งยังเหลือพื้นที่ใช้สอยอันกว้างขวางอย่างไม่น่าเชื่ออีกด้วย

เวลานี้บนลานประลองเนืองแน่นไปด้วยนักเรียนทุกรุ่นทุกชั้นปีจำนวนมากมาย เมื่อได้ยืนอยู่บนลานประลองใหญ่ในงานประลองยุทธ์ที่รายล้อมไปด้วยคู่แข่งนับไม่ถ้วนเช่นนี้ นักเรียนทุกคนต่างก็รู้สึกตื่นเต้นกันขึ้นมาแล้ว

ในหัวใจของพวกเขาทั้งหมดคล้ายมีเปลวไฟอันร้อนเร่าลุกโชน สู้อุตส่าห์พยายามฝึกซ้อมมานานแรมปี แน่นอนว่าศึกครั้งนี้ไม่มีผู้ใดคิดจะยอมถอนตัวไปโดยง่าย

ฉินอวี้โม่มองเห็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาบนลานประลองแห่งนี้หลายคน มีทั้งเพื่อนร่วมชั้นเรียนและเหล่ารุ่นพี่ ทั้งที่เป็นมิตรและไม่เป็นมิตร ขณะนี้นักเรียนที่มีส่วนร่วมในการแข่งขันเกือบทั้งหมดได้มาถึงกันแล้ว

ปิงเสวียน ลั่วเฉิน จีหย่ง ยอดฝีมือสามอันดับแรกแห่งทำเนียบนภาหรืออาจจะกล่าวได้ว่าเป็นตัวเต็งในการแข่งขันกำลังยืนตั้งสมาธิอยู่กันคนละส่วนมุม ดวงตาของพวกเขาปิดสนิทอย่างสงบนิ่ง

ส่วนทางด้านหลินหยวนนั้น เมื่อมองเห็นฉินอวี้โม่เขาก็พยักหน้าพร้อมกับสิ่งยิ้มให้นางแทนคำทักทาย

ส่วนบุรุษเลือดนักสู้หลินซิวหยาอดไม่ได้ที่จะเดินเข้ามาทักทายรุ่นน้องผู้เป็นดาวเด่นของศึกในปีนี้อย่างเป็นกันเอง

“รุ่นน้องฉินอวี้โม่ ข้าไม่ได้เห็นหน้าเจ้ามากเกินครึ่งปีแล้วนะ ข้าอยากจะขอคำชี้แนะจากเจ้าแต่ก็ไม่มีโอกาสเลย ครั้งนี้หากโชคดีเราคงได้มีโอกาสได้วัดฝีมือกัน ข้าอยากจะลองสัมผัสความเก่งกาจของเจ้าด้วยพลังความสามารถและสองตาของข้าเองเต็มแก่แล้ว ฮ่า ๆ ๆ ๆ !”

หลินซิวหยากล่าวก่อนจะหัวเราะลั่นด้วยความเบิกบาน บุรุษผู้ชื่นชอบการต่อสู้อดใจแทบไม่ไหวที่จะได้ต่อสู้กับฉินอวี้โม่ยอดดวงรุ่งของปีนี้

ฉินอวี้โม่พยักหน้า “หากว่ามีโอกาสหวังว่ารุ่นพี่จะไม่ออมมือ ข้าเองก็จะพยายามอย่างเต็มที่เช่นกัน”

หลินซิวหยาพยักหน้า เขารู้สึกชื่นชมรุ่นน้องผู้นี้มากเป็นพิเศษ ในการรับมือกับผู้รุกรานจากอารามครั้งก่อนที่ป่านอกเขตโรงเรียน พลังที่ฉินอวี้โม่แสดงออกมานั้นทำให้เขาประทับใจอย่างเหลือล้น เขาจึงอยากจะลองประมือกับนางสักครั้งให้ได้

“หลินซิวหยา ข้าได้ยินมาว่าความแข็งแกร่งของเจ้าไปถึงระดับมายาบรรพชนเก้าดาราแล้วนี่”

เสียงสตรีที่ฉินอวี้โม่คุ้นเคยอีกเสียงหนึ่งดังมา เพ่ยหลงรุ่นพี่สาวที่เคยยืนหยัดอยู่ข้างนางเมื่อครั้งต้องรับมือกับจีชางและจีหย่งปรากฏตัวขึ้นข้างกายพวกเขา

“อะไรกัน เป็นถึงจอมยุทธ์มายาบรรพชนเก้าดารา แต่กลับมาท้าประลองกับรุ่นน้องอวี้โม่ที่เป็นสตรี นี่ไม่ถือว่ารังแกกันเกินไปหน่อยหรือ ?”

กล่าวหยอกล้อกับสหายตัวโตจบ เพ่ยหลงก็หันไปส่งยิ้มแล้วเอ่ยทักทายฉินอวี้โม่

ในครึ่งปีที่ผ่านมาระดับพลังของเพ่ยหลงก็รุดหน้าไปมากเช่นกัน ไม่นานมานี้ชื่อของเพ่ยหลงได้เลื่อนระดับขึ้นไปอยู่ในอันดับที่ห้าของทำเนียบนภาแล้ว ส่วนอันดับสี่ยังเป็นของหลินซิวหยาจอมยุทธ์ตัวยักษ์บ้าพลังที่คลั่งไคล้การต่อสู้เช่นเดิม

เพ่ยหลงผู้นี้นับเป็นหนึ่งในผู้ที่ก้าวหน้าอย่างเด่นชัดที่สุด

“เพ่ยหลง เจ้ายังไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งของรุ่นน้องอวี้โม่ ต่อให้เป็นข้าก็เถอะ หากประลองกันก็ยังไม่แน่ว่าจะเอาชนะได้ เจ้าเองก็เหมือนกัน ข้าเชื่อว่าตัวเจ้าก็ไม่มั่นใจว่าจะชนะนางได้เช่นกัน ใช่หรือไม่”

หลินซิวหยาไม่ได้โกรธเคือง เขายิ้มออกมาแล้วตอบกลับสหายสาวด้วยวาจาหยอกล้อเช่นกัน เขากับเพ่ยหลงสนิทสนมกันเป็นอย่างดี เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะขุ่นเคืองด้วยคำพูดของนาง

“ผิดแล้ว !”

เพ่ยหลงส่ายศีรษะ พลันเอ่ยเสียงแจ่มชัดด้วยรอยยิ้ม

“หากข้าได้ประลองกับนาง ไม่ใช่แค่ไม่มั่นใจว่าจะชนะ แต่ข้าคิดว่าข้าคงแพ้ราบคาบอย่างแน่นอน”

ความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่นั้นไม่ต้องสงสัยกันอีกแล้ว ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนยอมรับว่านางเป็นผู้มีพรสวรรค์อันหาตัวจับได้ยาก แม้เพ่ยหลงจะรู้ว่าตัวเองก็แข็งแกร่งเช่นกัน แต่นางก็ยังรู้สึกว่าหากต้องรับมือกับรุ่นน้องผู้นี้ตัวต่อตัว ตัวนางเองคงจะยังไม่สามารถเอาชนะได้

“พี่เพ่ยหลง พี่หลินซิวหยา ท่านทั้งสองถ่อมตัวเกินไปแล้ว ถ้าพวกเราได้ประมือกันจริง ข้าผู้น้อยขอรับคำชี้แนะจากพวกท่านด้วย ส่วนเรื่องที่ว่าใครจะชนะหรือไม่นั้น ข้าคิดว่าไม่ใช่ประเด็นสำคัญ”

แน่นอนว่าฉินอวี้โม่เป็นผู้มีความมั่นใจในตัวเอง นางมั่นใจในความสามารถที่มีอยู่อย่างเหลือล้น อย่างไรก็ตามงานประชันยุทธ์ครั้งนี้เป็นศึกใหญ่ที่นางตั้งความหวังไว้ที่รางวัลชนะเลิศ ฉะนั้นนางจะต้องไม่ประมาทผู้ใดโดยเด็ดขาด หลินซิวหยาและเพ่ยหลงเองก็เป็นนักเรียนระดับแนวหน้าของโรงเรียน พลังฝีมือของพวกเขาจึงไม่อาจจะมองข้ามได้เลยเช่นกัน

“อืม ฉินอวี้โม่กล่าวถูกแล้ว ชนะหรือแพ้นั้นไม่สำคัญ หากพวกเราได้ประชันฝีมือกัน ก็ขอให้เป็นการต่อสู้ที่ดีสมกับที่รอคอย”

หลินซิวหยายิ้มร่า วันนี้เป็นวันที่บุรุษผู้ชื่นชอบการต่อสู้มีความสุขเป็นพิเศษ

ในขณะกำลังสนทนากันอยู่นั้น พวกเขาก็มองเห็นอธิการมู่อวิ๋นและเหล่าผู้อาวุโสของโรงเรียนปรากฏตัวขึ้นบนเวทียกพื้นสูงกลางลานประลอง

“หึ ๆ นักเรียนทั้งหลาย ได้เห็นสีหน้าของทุกคน ข้าก็เชื่อแล้วว่าวันนี้พวกเจ้าทั้งหมดพร้อมสำหรับการต่อสู้อย่างเต็มที่ ทว่าหลังจากที่ข้าและเหล่าผู้อาวุโสของโรงเรียนได้หารือกันแล้ว พวกเราได้ข้อสรุปว่ารูปแบบการแข่งขันในครั้งนี้จะเปลี่ยนแปลงไปจากครั้งก่อน ๆ”

มู่อวิ๋นยิ้มบาง เมื่อวานนี้เขาใช้เวลาปรึกษาหารือกับเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายอยู่นาน ก่อนจะได้มติที่จะเปลี่ยนแปลงกฎของการแข่งขันใหญ่ของโรงเรียนในปีนี้ เนื่องจากครั้งนี้ศึกประชันยุทธ์คึกคักมากเป็นพิเศษ อีกทั้งยังเต็มไปด้วยนักเรียนผู้มีพรสวรรค์สูงจำนวนมากที่ร่วมแข่งขัน ทางโรงเรียนจึงคิดที่จะใช้กฎที่ทำให้ศึกประชันยุทธ์แห่งโรงเรียนราชสำนักครั้งนี้ดูน่าตื่นตาตื่นใจมากขึ้นกว่าเดิม

“ปีนี้ ศึกประชันยุทธ์ของโรงเรียนจะแบ่งการแข่งขันออกเป็นสองประเภท ประเภทแรกก็ประเภทเดี่ยว ส่วนอีกประเภทก็คือประเภทหมู่คณะ การแข่งขันประเภทเดี่ยวนั้นไม่ต้องพูดอะไรมากเพราะกฎกติกาทุกอย่างไม่ได้ต่างจากปีก่อน ๆ แต่ที่ข้าอยากจะเน้นย้ำและอธิบายก็คือการแข่งขันประเภทหมู่คณะ”

อธิการมู่อวิ๋นกล่าวถึงการแข่งขันแบบหมู่คณะขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

การแข่งขันประเภทหมู่คณะนี้ หนึ่งกลุ่มจะมีสมาชิกจำนวนห้าคน ซึ่งข้อกำหนดของคนทั้งห้ามีอยู่หนึ่งข้อนั่นก็คือ ‘ต้องเป็นนักเรียนที่มีใจอยากจะสู้ร่วมกันกับคนอื่น ๆ ในกลุ่ม’ สำหรับความแข็งแกร่งของสมาชิกกลุ่มทั้งห้าคนนั้น ทางโรงเรียนไม่ได้มีข้อกำจัดใด ๆ กล่าวอย่างง่าย ๆ ก็คือนักเรียนจะจับกลุ่มกันอย่างไรก็ได้เพื่อให้มีสมาชิกครบจำนวนห้าคน ขอเพียงมีห้าคนไม่ว่ากลุ่มนั้นจะประกอบด้วยนักเรียนรุ่นไหนชั้นปีใดก็สามารถลงแข่งขันได้ไม่จำกัดสิทธิ์

รูปแบบการแข่งขันจะเป็นไปในลักษณะของการ ‘คัดออก’ จนกว่าจะได้ผู้ชนะเลิศและสามารถจัดอันดับต่าง ๆ ได้

เนื่องจากการจัดอันดับในศึกประชันยุทธ์ของปีนี้มีสองส่วนคือทั้งส่วนที่เป็นหมู่คณะและแบบส่วนบุคคล นั่นหมายความว่ารางวัลก็จะถูกจัดสรรไว้สำหรับทั้งสองส่วน ดังนั้นการแข่งขันในปีนี้จึงดูจะเข้มข้นและน่าตื่นเต้นกว่าครั้งที่ผ่าน ๆ มาไม่น้อย

แน่นอนว่ารางวัลที่ทางโรงเรียนจัดเตรียมไว้ให้ก็ต้องยิ่งใหญ่กว่าครั้งที่แล้วมา ไม่ใช่แค่เพียงจำนวนหินมายาที่จะมากขึ้นเป็นสองเท่าเท่านั้น แต่รางวัลอื่น ๆ ก็มีมากมายและหลากหลายขึ้นด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนทุกคนพยายามกันอย่างเต็มที่มากที่สุด

“วันนี้จะไม่มีการแข่งขัน ทุกคนใช้เวลานี้หาเพื่อนที่จะเข้าร่วมกลุ่ม จากนั้นก็ไปลงทะเบียนกลุ่มที่อาจารย์ลิ้วหยวยได้เลย แน่นอนว่าทุกกลุ่มจะต้องเลือกหัวหน้ากลุ่มด้วย เพราะว่าชื่อของกลุ่มจะเรียกแทนด้วยชื่อของผู้เป็นหัวหน้ากลุ่ม”

ท่านอธิการแย้มรอยยิ้มอีกครั้งก่อนจะกล่าวเรื่องที่ชวนให้นักเรียนทั้งหลายได้แต่ทอแววตางุนงง พวกเขาเตรียมตัวกันอย่างเต็มที่และรอคอยมาทั้งปีทว่าในวันนี้การแข่งขันกลับยังไม่เริ่มต้น อย่างไรก็ตามนี่ก็ไม่อาจนับว่าเลวร้ายเพราะยังถือเป็นข้อดีเสียอีกที่จะได้เวลาเตรียมความพร้อมมากขึ้นและยังมีเวลาสำหรับการจัดเตรียมกลุ่มที่จะถูกจัดตั้งขึ้นอย่างกะทันหันนี้ด้วย

หลังจากพยักหน้ารับทราบ เหล่านักเรียนทั้งหลายก็รีบหาสหายร่วมกลุ่มอย่างรวดเร็ว

โดยทั่วไปแล้ว ทุกคนก็มักจะเข้าร่วมกลุ่มกับบุคคลที่คุ้นเคยเพราะรู้จักโฉมหน้าและเคยคุ้นในพลังความสามารถ รวมไปถึงนิสัยใจคอของกันและกันเป็นอย่างดี มีไม่มากนักที่คิดว่าจะรวมกลุ่มกับผู้ใดก็ได้แม้จะไม่สนิทสนมก็ตาม

การชวนคนแปลกหน้าเข้าร่วมกลุ่มหรือขอร่วมกลุ่มกับคนไม่สนิทสนมโดยส่วนมากก็มักจะถูกปฏิเสธ ซึ่งเหตุผลของประเด็นนี้นั้นเข้าใจได้ง่ายเป็นอย่างยิ่ง นั่นก็คือ หากเป็นบุคคลที่ไม่รู้จักคุ้นเคย นอกจากความไม่สนิทใจแล้ว ความเข้าอกเข้าใจและการประสานงานก็จะย่ำแย่ลงด้วย

ในตอนที่ฉินอวี้โม่กำลังจะกล่าวบางอย่างออกมา เสียงของเยว่ชิงเฉิงก็ดังขึ้นขัดเสียก่อน

“ข้า ซวงเอ๋อร์ เซียนเอ๋อร์ ชิงเฟิงและหลิงเฟิงจะรวมกลุ่มกัน ส่วนคนอื่น ๆ ก็จัดกลุ่มกันเองนะ”

เยว่ชิงเฉิงรู้ดีว่าอย่างไรฉินอวี้โม่ก็คงจะร่วมกลุ่มกับพวกนางอย่างแน่นอน ทว่าคุณหนูตระกูลช่างหลอมรู้ตัวดีว่ากลุ่มของนางมีโอกาสชนะน้อยมาก หากฉินอวี้โม่มาร่วมด้วยนางก็กลัวว่าต้องให้สหายคนงามเป็นผู้แบกรับ พวกนางไม่อยากจะเป็นตัวถ่วงฉุดรั้งความสำเร็จของฉินอวี้โม่ แม้ว่าจะดูใจร้ายไปมากแต่สาวแกร่งตระกูลเยว่ก็จำใจต้องจงใจเว้นชื่อฉินอวี้โม่เอาไว้เพื่อให้สหายคนงามไปหาทีมที่แข็งแกร่งกว่านี้

“ลั่วอวิ๋น ข้า สือซานและสหายจะรวมกลุ่มกัน”

ฉีอวี้ยิ้มแล้วกล่าวออกมาบ้าง เขาเองก็รวมกลุ่มกับสหายได้อย่างรวดเร็ว

“ข้าไม่แข็งแกร่งพอ ฉะนั้นข้าจะไม่เข้าร่วมด้วย

ผู้อ่อนเยาว์ที่สุดในกลุ่มอย่างฉีฉีกล่าว นางได้หารือกับพี่ชายแล้วและนางไม่คิดจะเข้าร่วมกับการแข่งขันประเภทหมู่คณะ

ฉินอวี้โม่อึ้งไปชั่วขณะ เพียงแต่ได้ยินได้ฟังสิ่งที่เกิดขึ้นนางก็เดาเจตนาของเหล่าสหายออกจนหมดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นอดีตนักฆ่าสาวยังรู้อีกด้วยว่าคงไม่สามารถเปลี่ยนใจสหายของตนได้ เยว่ชิงเฉิงที่แม้ว่าบางครั้งจะยอมเชื่อฟังนางอยู่บ้าง แต่ในเวลาที่คุณหนูผู้ห้าวหาญตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวไปแล้วก็จะไม่ฟังใครและไม่ยอมเปลี่ยนใจอีก

ทางด้านเพ่ยหลงนั้นมีกลุ่มของตัวเองแล้ว นางไม่สามารถปฏิเสธเหล่าสหายรักได้

ทว่าบุรุษตัวโตอย่างหลินซิวหยากลับยังไม่มีเพื่อนร่วมกลุ่ม

“คือว่า … รุ่นน้องอวี้โม่ หากเจ้าไม่รังเกียจ พวกเราทั้งสองไปหาสมาชิกอีกสามคนมาแล้วจัดตั้งกลุ่มกันดีไหม ?”

หลินซิวหยาเอ่ยปากชวนด้วยรอยยิ้ม ในเมื่อเป็นการต่อสู้แบบหมู่คณะ ฉะนั้นโอกาสที่จะได้ประลองฝีมือกับฉินอวี้โม่ก็เรียกว่าน้อยแสนน้อย และตอนนี้ในเมื่อทั้งเขาและนางยังไร้กลุ่ม เช่นนั้นบุรุษผู้ชื่นชอบการต่อสู้จึงชักชวนรุ่นน้องที่นึกอยากสู้ด้วยมาร่วมกลุ่มเสียเลย

ฉินอวี้โม่ผู้ยังไม่มีที่ไปเมื่อได้รับคำชวนจากรุ่นพี่มากฝีมือก็พยักหน้าตอบรับได้อย่างไม่ยากเย็น แน่นอนว่านางย่อมไม่มีปัญหาในการร่วมกับบุรุษผู้คลั่งไคล้การต่อสู้ นี่ถือเป็นการดีเสียอีกที่มีคนเก่ง ๆ เช่นเขาเป็นสหายร่วมกลุ่ม

“ไม่ทราบว่าคนอย่างข้าพอจะมีวาสนาได้ต่อสู้เคียงข้างหลินซิวหยาและรุ่นน้องฉินอวี้โม่หรือไม่ ?”

กระแสเสียงที่ฟังดูสุภาพนุ่มลึกเสียงหนึ่งดังมา ผู้เอ่ยวาจานั้นเป็นบุรุษผู้หนึ่ง เขากำลังเดินเข้ามาหาฉินอวี้โม่และหลินซิวหยา คนผู้นี้คือบุรุษมากน้ำใจเนี่ยหรูเฟิง

ในตอนนี้หลายกลุ่มที่มีสมาชิกครบทั้งห้าคนแล้วต่างพากันเดินไปยังโต๊ะลงทะเบียน เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และหลินซิวหยายืนนิ่งกันอยู่เพียงสองคน แน่นอนว่าทุกคนย่อมมองออกว่ากลุ่มของทั้งคู่ยังมีสมาชิกไม่ครบ

เนี่ยหรูเฟิงยังไม่ตัดสินใจว่าจะไปร่วมกับสหายกลุ่มใด เมื่อเห็นดังนั้นจึงเดินเข้าไปหารุ่นพี่หนุ่มและรุ่นน้องสาวอย่างไม่ลังเล โอกาสจะได้เพื่อนร่วมกลุ่มที่แข็งแกร่งเช่นนี้หาไม่ง่ายนัก เดิมทีเขาคิดว่าทั้งคู่อาจจะไม่รับเขาเข้าร่วมเสียด้วยซ้ำ ทว่าผลกับตรงกันข้ามเพราะทั้งฉินอวี้โม่และหลินซิวหยาต่างก็รู้สึกดีใจที่บุรุษใจเพชรผู้นี้ตัดสินใจมาขอเข้ากลุ่ม ทั้งสองหันมามองหน้ากันก่อนจะรีบกล่าวรับ

“ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว หากมียอดฝีมืออย่างเนี่ยหรูเฟิงมาร่วมด้วยอีกคน กลุ่มเราคงแข็งแกร่งไม่น้อย”

หลินซิวหยาพยักหน้าแล้วกล่าว ฉินอวี้โม่เองก็พยักหน้าตามรุ่นพี่ผู้นี้ด้วยรอยยิ้ม

เนี่ยหรูเฟิงคือผู้ที่อยู่ในอันดับเจ็ดของทำเนียบนภา ถ้าได้เขาเข้าร่วมกลุ่มก็รับประกันได้เลยว่ากลุ่มอันแข็งแกร่งนี้ต้องได้อันดับดี ๆ เป็นแน่

“ขออภัย กลุ่มของพวกเจ้ากำลังขาดคนอย่างนั้นหรือ ?”

เสียงอีกเสียงดังขึ้น บุรุษหนุ่มผู้มีใบหน้าติดจะเย็นชาเล็กน้อยค่อย ๆ ย่างกายเข้ามาใกล้

เขาสะพายดาบใหญ่ไว้กลางหลัง กิริยาท่าทางและกลิ่นอายจากร่างกายนั้นแข็งแกร่งยิ่งยวด เมื่อบวกรวมเอาทั้งบรรยากาศที่ดูเยือกเย็นและสภาวะพลังอันแข็งแกร่งทำให้หลายคนไม่กล้าเข้าใกล้เขา

“พี่หลี่จิ้งกลับมาจากการหาประสบการณ์ข้างนอกแล้วอย่างนั้นหรือ ?”

หลินซิวหยากล่าวทักทาย

บุรุษผู้นี้คือหลี่จิ้ง อดีตยอดฝีมือผู้ครองอันดับที่สองแห่งทำเนียบพสุธา เขาเป็นผู้รักความสันโดษ แม้ว่าจะอยู่ในอันดับสองบนทำเนียบพสุธาและได้รับหินมายามามากแต่ก็แทบจะไม่ได้อยู่ในโรงเรียนหรือใช้หินมายาที่ได้มาเข้าไปฝึกฝนในหอคอยวิญญาณเลย ตรงกันข้ามบุรุษผู้นี้มักจะเลือกรับภารกิจประหลาดเพื่อให้ได้ออกไปท่องโลกภายนอกและหาประสบการณ์แปลกใหม่ นี่เป็นเหตุผลว่าเหตุใดจึงแทบจะไม่มีใครเห็นเขาในโรงเรียน และตอนนี้ก็ไม่มีผู้ใดทราบเลยว่าความแข็งแกร่งของเขาก้าวหน้าไปถึงระดับใดแล้ว

“ยินดีที่ได้พบพี่หลิว พี่เนี่ย รุ่นน้องฉินอวี้โม่”

หลี่จิ้งทักทายบุคคลทั้งสามด้วยรอยยิ้มชื่นมื่น

แม้ว่าเขาจะเหมือนกับหมาป่าเดียวดายที่แทบไม่เคยมาอยู่ในโรงเรียน แต่ในเมื่อเป็นงานใหญ่ที่จัดขึ้นทุกห้าปีอย่างศึกประชันยุทธ์เช่นนี้ เขาก็อดที่จะเข้ามามีส่วนร่วมไม่ได้ เมื่อแรกที่ได้ยินว่ารูปแบบถูกปรับเปลี่ยนมาเป็นการแข่งแบบหมู่คณะเขาก็รู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง ทว่าระหว่างที่กำลังลังเลก็ได้เห็นฉินอวี้โม่และหลิวซิวหยาที่ยังหาสมาชิกกลุ่มได้ไม่ครบจึงลองเสี่ยงเข้ามาทักทาย

แม้ว่าฉินอวี้โม่จะไม่รู้จักรุ่นพี่ผู้นี้ ทว่าทั้งเนี่ยหรูเฟิงและหลิวซิวหยานั้นรู้จักเขาเป็นอย่างดี อดีตนักฆ่าสาวจึงเอ่ยปากเชื้อเชิญ

“กลุ่มของเรายังขาดสมาชิกอยู่อีกสองคน รุ่นพี่หลี่จิ้งอยากจะเข้าร่วมกับพวกเราหรือไม่ ?”

ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยรอยยิ้ม ไม่ใช่แต่เพียงเป็นคนรู้จักของรุ่นพี่ทั้งสอง แต่นางยังสัมผัสได้ด้วยว่าความแข็งแกร่งของหลี่จิ้งผู้นี้ไม่ธรรมดา ยิ่งกว่านั้นแม้จะเพิ่งได้พบหน้าเขาเป็นครั้งแรก แต่ด้วยอัธยาศัยไมตรีและการแสดงออกโดยรวม นางก็คิดว่าเขาน่าจะเป็นคนน่าคบหาคนหนึ่ง

“เช่นนั้นช่วยรวมข้าเข้าไปด้วย”

หลี่จิ้งพยักหน้าอย่างไม่ลังเล

“งั้นคนสุดท้ายที่เหลือก็รวมข้าเข้าไปด้วยดีหรือไม่ ?”

ทันใดนั้นเสียงแสนไพเราะแห่งอิสตรีก็ดังขึ้น ก่อนที่ร่างบางที่ฉินอวี้โม่รู้สึกคุ้นหน้าจะปรากฏอยู่ในคลองสายตา

“หลิวเยว่ เจ้าก็เป็นนักเรียนของโรงเรียนเราด้วยอย่างนั้นรึ ?”

เมื่อได้เห็นเจียงหลิวเยว่ ฉินอวี้โม่ก็ประหลาดใจไปไม่น้อย

“ฮ่า ๆ อาจจะเป็นเพราะว่าข้าไม่ชอบทำตัวโดดเด่นและไม่ติดอยู่ในทำเนียบใดเลยจึงไม่เป็นที่กล่าวถึง”

แม้ว่า เมื่อครั้งที่เจียงหลิวเยว่ผู้นี้เข้าเรียนปีแรกในโรงเรียนราชสำนัก หลายคนจะรู้จักนางในนามโฉมงามอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน ทว่าด้วยการที่นางอยู่อย่างสงบและจงใจทำตัวให้เงียบเชียบที่สุด ในภายหลังเสียงร่ำลือเกี่ยวกับโฉมงามผู้นี้จึงแผ่วเบาลงไปจนกลายเป็นไม่เหลือผู้กล่าวถึงอีก

“ข้าอยู่เงียบ ๆ มาตลอด พอนานวันเข้า ทุกคนก็คงลืมกันไปหมดแล้ว ยิ่งกว่านั้นนักเรียนปีสี่อย่างข้าไม่มีชั้นเรียนให้เข้าแล้วด้วย ฉะนั้นแม้ว่าข้าจะอยู่ข้างนอกบ้างก็ไม่ผิดกฎอะไร ข้าเองก็เพิ่งจะกลับมาที่โรงเรียนเมื่อเดือนก่อน การที่เจ้าจะไม่รู้จักข้าก็ไม่แปลกสักนิด”

เจียงหลิวเยว่อธิบายด้วยรอยยิ้ม

ฉินอวี้โม่พยักหน้า แม้ว่านางจะไม่เคยเห็นความแข็งแกร่งของเจียงหลิวเยว่ แต่ในเมื่อนางเข้ามาอยู่ที่โรงเรียนแห่งนี้นานหลายปีนั่นย่อมแสดงว่าฝีมือก็คงจะไม่ใช่ธรรมดาแล้วเป็นแน่

หลังจากเจียงหลิวเยว่เข้าร่วมกลุ่ม กลุ่มของฉินอวี้โม่ก็มีสมาชิกครบห้าคนแล้ว

หลินซิวหยาและเนี่ยหรูเฟิงมองหน้ากันด้วยรอยยิ้ม พวกเขาไม่คิดเลยว่าจะได้กลุ่มที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ศึกครั้งนี้กลุ่มของพวกเขาจะต้องคว้าเอาอันดับที่ดีมาครอบครองได้อย่างแน่นอน

Options

not work with dark mode
Reset