หลังจากการหารืออันคร่ำเคร่งผ่านไปชั่วครู่ ก็ยังไม่มีผู้ใดอาสาเป็นหัวหน้ากลุ่มและยังไม่มีข้อสรุปว่าจะให้ผู้ใดรับหน้าที่ดังกล่าว สุดท้ายฉินอวี้โม่ผู้เป็นน้องใหม่และอ่อนวัยที่สุดในคณะจึงถูกเสนอให้ใช้ชื่อเป็นหัวหน้ากลุ่มเป็นการชั่วคราวไปก่อน เมื่อทุกอย่างลงตัวแล้วก็ถึงเวลาที่คนทั้งห้าได้ลงทะเบียนกับอาจารย์ลิ้วหยวยเสียที
เมื่อเห็นสมาชิกทั้งห้าคนของกลุ่มนี้ ลิ้วหยวยก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตะลึง ผู้เป็นอาจารย์ไล่สายตาไล่สายตาดูนักเรียนกลุ่มนี้ด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง ทว่าไม่นานนักเขาก็ดึงสติกลับมาได้และรีบก้มลงบันทึกชื่อของทุกคนไว้ในบัญชี
“เอาล่ะ นักเรียนที่ลงทะเบียนเสร็จแล้วก็กลับไปพักผ่อนได้ พรุ่งนี้ไปรวมตัวกันที่จัตุรัสกลางโรงเรียนในเวลาเดิม ข้าจะประกาศกฎและแนวทางการแข่งขันโดยละเอียดให้ได้ทราบกันวันพรุ่งนี้”
มู่อวิ๋นเองก็ลอบมองสมาชิกทั้งห้าของกลุ่มอวี้โม่อยู่ชั่ววูบเช่นกัน มุมปากของท่านอธิการแห่งโรงเรียนราชสำนักปรากฏรอยยิ้มบาง เมื่อเห็นนักเรียนที่เป็นสมาชิกกลุ่มทั้งห้าคนนี้ เขาก็บอกได้เลยว่าพวกเขาถือเป็นหนึ่งในกลุ่มที่น่าจับตามองมากที่สุด
นักเรียนทุกคนพยักหน้าโดยพร้อมเพรียง หลังจากจบคำกล่าวของท่านอธิการ นักเรียนบางคนก็เดินทางกลับหอพัก ทว่านักเรียนโดยส่วนใหญ่ยังคงรวมตัวกันหารือกับสมาชิกในกลุ่มอยู่ นั่นก็เพื่อการเตรียมตัวให้พร้อมที่สุดสำหรับศึกในวันรุ่งขึ้น
อย่างไรก็ตามนั่นคงจะไม่ใช่วิสัยทัศน์ของกลุ่มฉินอวี้โม่เพราะหลินซิวหยาประกาศให้สมาชิกกลุ่มใหม่ของเขาแยกย้ายกลับหอในทันที บุรุษร่างสูงใหญ่ให้เหตุผลว่ายังไม่ทราบรูปแบบและกติกาการแข่งขันจึงไม่มีสิ่งใดที่ต้องหารืออีก แต่เจียงหลิวเยว่กระซิบกับรุ่นน้องคนเล็กในกลุ่มว่าเพราะบุรุษผู้กระหายการใช้กำลังผิดหวังจนไม่ใคร่อยากรั้งรออยู่นานเสียมากกว่า เขาอยากจะกลับไปพักจะได้ถึงวันพรุ่งนี้เสียที
…
เช้าวันรุ่งขึ้น ศิษย์น้อยใหญ่แห่งโรงเรียนราชสำนักต่างก็รีบมารวมตัวกันที่จัตุรัสกลางโรงเรียนอย่างพร้อมหน้า ทันทีที่มาถึงทุกคนก็เห็นว่าท่านอธิการและเหล่าอาจารย์ทั้งหลายยืนรอกันอยู่ก่อนแล้ว
เมื่อกวาดตามองจนแน่ใจว่านักเรียนทุกคนพร้อม มู๋อวิ๋นก็ยกมือขึ้นโบกไปในอากาศครั้งหนึ่ง ทันใดนั้นแผ่นป้ายขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ก็ปรากฏอยู่บนมือของสมาชิกผู้เป็นหัวหน้าในแต่ละกลุ่ม
เนื่องจากนักเรียนเกินกว่าครึ่งในโรงเรียนล้วนเข้ามามีส่วนร่วมกับการแข่งขันแบบหมู่คณะในครั้งนี้ ทำให้จำนวนกลุ่มนักเรียนที่ลงทะเบียนเข้าแข่งขันมีมากถึงสี่สิบแปดกลุ่ม ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่มากโขทีเดียว
“กติกาการแข่งขันครั้งนี้มีสองข้อ ข้อแรกก็คือ ปกป้องป้ายแผ่นนั้น ส่วนข้อสองคือ ค้นหาของสิ่งหนึ่งให้เจอ”
“โดยหลังจากนี้พวกเจ้าทุกคนจะถูกส่งไปยังสถานที่พิเศษที่มีชื่อว่า ‘ป่าเหมันต์’ ในระหว่างที่อยู่ที่นั่น จงจำไว้ว่าให้รักษาแผ่นป้ายให้ดี อย่าให้กลุ่มอื่นแย่งเอาไปได้และที่สำคัญคืออย่าทำสูญหาย หากพวกเจ้าสูญเสียแผ่นป้ายไป แล้วตามหาหรือนำกลับมาภายในสิบสองชั่วยามไม่ได้ กลุ่มของพวกเจ้าทั้งหมดจะถูกส่งตัวกลับมาที่โรงเรียนโดยไร้เงื่อนไข”
“สำหรับข้อที่สอง สิ่งของที่พวกเจ้าต้องหาให้เจอมีชื่อเรียกว่า ‘ผลเยือกมณี’ ในป่าเหมันต์แห่งนี้มีผลเยือกมณีซุกซ่อนอยู่ กลุ่มใดที่นำผลไม้ศักดิ์สิทธิ์นั้นกลับมาได้จะถือว่าเป็นผู้ชนะ ซึ่งกลุ่มที่ชนะจะได้รับรางวัลสุดพิเศษที่ทางโรงเรียนเตรียมไว้ นั่นก็คือโอสถผสานสวรรค์ !”
เมื่อได้ยินว่ารางวัลชนะเลิศการแข่งขันคือโอสถในตำนาน เหล่านักเรียนทั้งหลายก็เริ่มตื่นเต้นกันเป็นอย่างมาก เวลานี้ดูเหมือนว่าบรรยากาศในจัตุรัสกลางโรงเรียนจะเริ่มลุกเป็นไฟขึ้นมาแล้ว ทุกคนต่างก็กระหายชัยชนะ เจตจำนงแห่งการต่อสู้ก่อตัวขึ้นมาในหัวใจของทุกคน
เพื่อให้ได้รับโอสถผสานสวรรค์อันล้ำค่านั้นมา พวกเขาล้วนก็ยอมทุ่มเทสุดชีวิต
มู่อวิ๋นยิ้มชอบใจก่อนจะโบกมืออีกครั้ง ฉับพลันกำแพงที่อยู่ด้านหลังร่างของเขาก็มีแสงแห่งค่ายกลเคลื่อนย้ายปรากฏขึ้นมาให้เห็น
แน่นอนว่าค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้จัดทำโดยโรงเรียนราชสำนัก ทว่าผู้ที่สร้างมันขึ้นมาไม่ใช่ท่านอธิการ บุคคลที่จะสร้างค่ายกลที่เคลื่อนย้ายคนจำนวนมากมายถึงเพียงนี้ได้ในคราเดียว ไม่เพียงแต่จะต้องแข็งแกร่งจนชวนตกตะลึง แต่จะต้องเป็นผู้วางข่ายอาคมซึ่งมีพลังวิญญาณอันแกร่งกล้าอีกทั้งยังต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับข่ายอาคมอันซับซ้อนด้วย ในดินแดนอันไพศาลแห่งนี้ผู้วางข่ายอาคมนั้นหาได้ยากมาก แน่นอนว่าผู้ที่แข็งแกร่งจนถึงระดับดังกล่าวก็ยิ่งมีน้อยแสนน้อย แต่ฉินอวี้โม่กลับไม่ทราบเลยว่าคนผู้นั้นเป็นใคร อย่างไรก็ตามเมื่อนึกถึงข่ายอาคมอดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูก็อดคิดถึงเสี่ยวโร่วไม่ได้
“ป่าเหมันต์นี้กว้างใหญ่ไพศาล ขนาดของมันไม่ด้อยกว่าป่าแสงจันทร์แม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นป่าเหมันต์ยังถือเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมมากเพราะที่นั่นมีทั้งโอกาสและวาสนามากมายให้พวกเจ้าได้ไขว่คว้า และถ้าหากโชคดีพอ บางทีพวกเจ้าอาจจะได้ของล้ำค่ามาครอบครอง การแข่งขันแบบหมู่คณะในครั้งนี้จะใช้เวลาทั้งหมดหนึ่งเดือน หลังจากครบหนึ่งเดือน ไม่ว่าพวกเจ้าจะได้ผลเยือกมณีมาหรือไม่ก็ตาม ทุกคนก็จะถูกส่งตัวกลับมาทันที”
มู่อวิ๋นกล่าวอธิบายเพิ่ม เขากวาดสายตาดูความพร้อมของนักเรียนทุกคนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะสั่งให้เปิดใช้งานค่ายกลเคลื่อนย้าย
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ พอจะเข้าใจกฎกติกาและรูปแบบในการแข่งขันแบบหมู่คณะนี้แล้ว ทุกคนยืดตัวตรงมองไปด้านหน้าอย่างรอคอย
หลังจากค่ายกลเคลื่อนย้ายทำงาน นักเรียนแต่ละกลุ่มจะถูกส่งออกไปปรากฏตัวแบบสุ่ม กระจัดกระจายไปทุกซอกทุกมุมของป่าเหมันต์ บางกลุ่มอาจจะถูกส่งไปยังเขตชายป่า บางกลุ่มอาจจะถูกส่งไปยังใจกลาง แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดที่ทราบว่าผลเยือกมณีนั้นอยู่ในจุดใด ทางโรงเรียนได้ออกแบบการแข่งครั้งนี้เอาไว้อย่างรัดกุมที่สุด ดังนั้นในตอนนี้จึงไม่มีกลุ่มใดที่ได้เปรียบหรือเสียเปรียบ
ยิ่งกว่านั้นตามกฎแล้วการแข่งขันจะไม่มีทางจบก่อนครบหนึ่งเดือน นั่นคือต่อให้มีกลุ่มหนึ่งหาผลเยือกมณีมาได้ แต่หากไม่สามารถปกป้องผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวหรือป้ายประจำกลุ่มของตนได้จนครบเวลาหนึ่งเดือนก็จะไม่ได้รับชัยชนะ
ไม่ว่าผลเยือกมณีจะตกไปอยู่ในมือของผู้เข้าแข่งขันกลุ่มใด กลุ่มอื่น ๆ ก็สามารถต่อสู้เพื่อแย่งชิงมันมาได้เสมอจนกว่าเวลาในการแข่งขันจะสิ้นสุด ในวันที่การแข่งขันจบลง หากผลเยือกมณีอยู่ในมือของนักเรียนกลุ่มใด กลุ่มนั้นก็จะถือว่าเป็นผู้ชนะที่แท้จริง
ไม่เพียงเท่านั้น ความโหดร้ายในกฎของการแข่งยังมีอีกประการ นั่นก็คือแต่ละกลุ่มจะได้รับแผ่นป้ายประจำกลุ่มจำนวนหนึ่งแผ่น โดยพวกเขาจะเลือกให้สมาชิกคนใดในกลุ่มเป็นผู้เก็บรักษาก็ตามแต่จะตกลงกัน แต่ถ้าหากแผ่นป้ายถูกแย่งชิงไปและไม่สามารถชิงกลับคืนมาได้ภายในหนึ่งวัน คนในกลุ่มนั้นทั้งหมดก็จะถูกคัดออกและถือว่าพ่ายแพ้การแข่งขันในทันที
ซึ่งก็แน่นอนว่าอันดับที่ได้ก็จะถูกเรียงตามลำดับการถูกคัดออกนี้ เป็นต้นว่า กลุ่มที่ถูกคัดออกเป็นกลุ่มแรกก็จะได้อันดับสุดท้ายของการแข่ง
ในเมื่อเข้าใจกติกากันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว สมาชิกทั้งห้าของกลุ่มฉินอวี้โม่ก็ไม่มีสิ่งใดต้องหารือกัน บัดนี้แววตาแต่ละคนเต็มไปด้วยเปลวไฟแห่งความมุ่งมั่นที่ลุกโชน
หลังจากเกิดแสงสว่างเจิดจ้าปกคลุมไปทั่วบริเวณ ในพริบตาถัดมาพวกเขาทั้งห้าก็พบว่าตัวเองอยู่ในป่าแห่งหนึ่งแล้ว
ป่าแห่งนี้หนาวเย็นสมชื่อป่าเหมันต์โดยแท้ แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ที่มีร่างกายอันแสนพิเศษอย่างฉินอวี้โม่ก็ยังรู้สึกหนาวเหน็บ ป่าเหมันต์แห่งนี้ไม่ว่าจะมองไปที่ใดก็ล้วนแต่มองเห็นเป็นสีขาวโพลนเพราะทั้งบนกิ่งไม้หรือบนพื้นก็ล้วนปกคลุมไปด้วยหิมะจำนวนมาก ซึ่งนี่ก็ทำให้ความยากของภารกิจตามหาผลไม้ศักดิ์สิทธิ์นั้นเพิ่มมากขึ้นอีกระดับ
“ป่าเหมันต์แห่งนี้ดูเหมือนจะเป็นป่าที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของแผ่นดินใหญ่ สภาพอากาศของที่นี่จัดว่าเลวร้ายมาก มันหนาวเย็นตลอดทั้งปี ยิ่งกว่านั้นยังมีอันตรายอยู่รอบตัว สัตว์อสูรที่แข็งแกร่งก็ซ่อนกายอยู่นับไม่ถ้วน ปกติแล้วไม่ค่อยมีนักผจญภัยเข้ามาที่แบบนี้กันนักหรอก”
หลี่จิ้งบุรุษผู้ชื่นชอบการผจญภัยและแทบไม่เคยปรากฏกายในโรงเรียนกล่าวขึ้น ดูเหมือนว่าเขาจะพอรู้จักสถานที่อันหนาวเหน็บแห่งนี้อยู่บ้าง
ฉินอวี้โม่พยักหน้า สภาพแวดล้อมของป่าเหมันต์แห่งนี้ไม่เหมาะสมสำหรับการฝึกฝนแม้แต่น้อย ยิ่งกว่านั้นในแผ่นดินนี้ก็มีข้อมูลเกี่ยวกับป่าเหมันต์น้อยเหลือเกิน กล่าวกันว่า ในแผ่นนี้ผู้ที่รู้ข้อมูลของป่ากว้างใหญ่นี้โดยละเอียดอาจไม่มีตัวตนอยู่เลยด้วยซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้นคือยังไม่มีข้อพิสูจน์หรือหลักฐานยืนยันที่แน่ชัดว่าป่าเหมันต์เป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งในดินแดนหวนหลิงจริง ๆ ดังนั้นการที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายของโรงเรียนสามารถส่งนักเรียนจำนวนมากมายตรงมาในสถานที่แห่งนี้ได้นับเป็นเรื่องน่าตกใจไม่น้อย
“คาดว่าผลเยือกมณีน่าจะอยู่ในจุดใดจุดหนึ่งที่เป็นส่วนอันตรายของป่าแห่งนี้ และก็คงจะเป็นจุดที่มีสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งปกป้องอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ว่าตอนนี้เรายังไม่รู้ว่ากลุ่มของเราอยู่ส่วนใดของป่าและไม่ทราบว่ามีกลุ่มอื่นอยู่ใกล้ ๆ นี้ด้วยหรือไม่ ดังนั้น ข้าคิดว่าพวกเราควรจะต้องระมัดระวังกันให้มาก”
เนี่ยหรูเฟิงวิเคราะห์สถานการณ์ พวกเขาไม่มีแผนที่ เมื่อมองไปรอบ ๆ ก็เห็นเพียงต้นไม้ที่ไร้ใบขึ้นอยู่ประปราย ไม่มีทางรู้เลยว่าเวลานี้พวกเขากำลังอยู่ ณ จุดใด
“พวกเจ้าดูโน่นสิ ทางทิศเหนือมีต้นไม้เบาบางกว่า เป็นไปได้ว่าทางด้านนั้นคงจะใกล้เขตชายป่าด้านบน ในเมื่อก็ไม่มีแนวทางอื่นอีกแล้ว เหตุใดพวกเราไม่ลองเดินลงใต้ อย่างไรพวกเราก็มีผู้ฝึกสัตว์อสูร ขอเพียงจับอสูรมาได้ก็ทำให้พวกมันเชื่องได้ไม่ยาก แล้วพวกมันก็จะเป็นประโยชน์ได้อย่างมหาศาล ข้าคิดว่าเราควรใช้เวลาในช่วงนี้สำรวจป่าเหมันต์เพื่อให้เข้าในสภาพการณ์โดยรวมก่อน”
เจียงหลิวเยว่เสนอแนะด้วยรอยยิ้มสดใส นางคิดว่ากลุ่มของพวกเขามีความได้เปรียบอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือฉินอวี้โม่นั้นเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูร ขอเพียงจับอสูรมายาในป่านี้ได้รุ่นน้องสาวก็จะสามารถทำให้มันเชื่องได้ในทันที และถ้าหากทำให้อสูรมายาเชื่องได้แล้วก็สามารถสอบถามมันเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ หรือจะขอข้อมูลอื่น ๆ ก็คงไม่ยากเย็นนัก
“เป็นความคิดที่ดี ว่าแต่ในพวกเรามีใครเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรด้วยอย่างนั้นหรือ ?”
เมื่อได้ยินข้อเสนอของเจียงหลิวเยว่ หลินซิวหยาก็นึกประหลาดใจ เรื่องที่มีผู้ฝึกสัตว์อสูรอยู่ในกลุ่ม ตัวเขาไม่รู้มาก่อนเลย
“อวี้โม่ไง แถมระดับยังไม่ใช่น้อย ๆ เลยด้วย”
เจียงหลิวเยว่ยิ้ม และเอ่ยชื่อฉินอวี้โม่ออกไปอย่างไม่รอช้า
ฉินอวี้โม่เองก็ยิ้มอ่อน ๆ ทว่าก็ไม่ได้กล่าวปฏิเสธ ในเมื่อต้องร่วมมือกันแล้ว นางก็ควรจะทำประโยชน์ให้กับกลุ่มให้ได้มากที่สุด ยิ่งกว่านั้นความคิดของเจียงหลิวเยว่ถือว่าน่าสนใจไม่น้อย ขอเพียงทำให้อสูรมายาเชื่องได้พวกเขาก็จะเข้าใจสภาพการณ์ของป่าอันกว้างใหญ่และหนาวเย็นแห่งนี้ในทันที
“ที่แท้รุ่นน้องอวี้โม่ก็เป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรนี่เอง อา~ ข้าไม่สงสัยแล้วว่าเหตุใดหลายคนถึงบอกว่าพรสวรรค์ของเจ้าสูงระดับสัตว์ประหลาด อย่างนี้ถ้าข้าสู้กับเจ้าแล้วเจ้าเรียกกองทัพอสูรออกมา โอกาสชนะของข้าจะไม่เป็นศูนย์ไปเลยรึ ?”
หลินซิวหยาขมวดคิ้วมุ่นครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงทดท้อใบหน้าห่อเหี่ยว
ซึ่งนั่นก็ทำให้สมาชิกอีกสี่คนที่เหลือได้แต่ถอนหายใจให้กับความรักในการต่อสู้จนเข้าขั้นบ้าของคนผู้นี้ โดยเฉพาะเจียงหลิวเยว่ที่แทบจะกลอกตามองสูง …แม้แต่ในสถานที่เช่นนี้เขาก็ยังมิวายคิดถึงแต่เรื่องประลองยุทธ์อีกหรือ ?
สมาชิกทั้งห้าเดินทางมุ่งหน้าลงไปทางทิศใต้ เนื่องจากหิมะใต้ฝ่าเท้าค่อนข้างหนาทำให้เวลาเดินเกิดเสียงดังน่ารำคาญ อันที่จริงถ้าหากไม่นับเสียงที่อาจจะเรียกความสนใจของบรรดาอสูรหรือผู้เข้าแข่งขันกลุ่มอื่นให้เข้ามาทำร้ายได้ การเดินย่ำบนหิมะหนา ๆ เช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องลำบากยากเย็นเลยสำหรับจอมยุทธ์ ตรงกันข้ามมันทำให้พวกเขารู้สึกสบายเสียด้วยซ้ำ
“ไหนบอกว่าที่นี่มีสัตว์อสูรอยู่มากไม่ใช่หรือ ?”
หลังจากใช้เวลาเดินทางกันมากว่าหนึ่งชั่วยามแล้ว พวกเขาทั้งหมดก็ยังไม่พบสัตว์อสูรเลยสักตัว แม้แต่ร่องรอยของพวกมัน อย่างเช่นรอยเท้าหรือร่องรอยการล่าเหยื่อก็ไม่มีให้เห็น หลิวซิวหยาจึงอดถามออกมาไม่ได้
เขาจำได้ว่าตามที่อธิการมู๋อวิ๋นกล่าว ป่าแห่งนี้ขนาดไม่ได้ด้อยไปกว่าป่าแสงจันทร์ หากว่าพวกเขาเดินทางกันอย่างไร้จุดหมาย คาดว่าต่อให้ใช้เวลาทั้งเดือนก็คงไม่พบผลเยือกมณีเป็นแน่
“ไม่ต้องห่วงไป ในเมื่อท่านอธิการจัดให้พวกเรามาแข่งขันกันที่นี่ นั่นแสดงว่าป่าเหมันต์แห่งนี้ต้องไม่ธรรมดา ที่สำคัญผลเยือกมณียังเป็นสมบัติล้ำค่าที่มีระดับสูงมาก ในเมื่อที่นี่เป็นที่ที่มีสมบัติแห่งฟ้าดินเช่นนั้นซ่อนอยู่ แล้วจะไม่มีสัตว์อสูรอยู่เลยได้อย่างไร ?”
เจียงหลิวเยว่ยิ้มและกล่าวอย่างมั่นใจ ในฐานะที่คลุกคลีอยู่กับวงการประมูลมานาน นางจึงรู้จักสมบัติล้ำค่าแทบจะทั้งหมดในแผ่นดิน
ผลเยือกมณีถือเป็นหนึ่งในสมบัติแสนล้ำค่า กล่าวกันว่ามันเป็นดั่งผลไม้แห่งฟ้าดิน แม้ว่าจะยังไม่ทราบถึงประโยชน์ที่แน่ชัดของมัน และตามธรรมดาของผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่จะต้องดึงดูดเอาสัตว์อสูรให้มารวมตัวกันได้มาก ฉะนั้นแล้วจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ป่าเหมันต์แห่งนี้จะไม่มีสัตว์อสูร
ฉินอวี้โม่เองก็พยักหน้าเห็นด้วย “ที่หลิวเยว่พูดมามีเหตุผล ที่ป่าเหมันต์จะต้องมีสัตว์อสูรอยู่ไม่น้อย แค่เรายังไม่พบมันเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นหากข้าคาดการณ์ไม่ผิด อสูรในป่าแห่งนี้จะต้องแข็งแกร่งกว่าอสูรในระดับเดียวกันที่อยู่ภายนอกแน่”
การที่อสูรมายาจะเติบโตและอยู่รอดในสถานที่ที่มีสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายเช่นนี้ได้ พวกมันก็จะต้องแข็งแกร่งกว่าปกติอยู่แล้ว ไม่เพียงแต่ ‘น่าจะแข็งแกร่งกว่าตัวที่อยู่ภายนอกอยู่บ้าง’ แต่มัน ‘ควรจะแข็งแกร่งกว่าอย่างเทียบกันไม่ได้’ เลยต่างหาก
หลิวซิวหยาพยักหน้า เขาเห็นด้วยกับความคิดของเจียงหลิวเยว่และฉินอวี้โม่
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง เหล่านักเรียนที่ถูกส่งไปปรากฏตัวตามจุดต่าง ๆ ของป่าเหมันต์ก็เริ่มออกสำรวจป่ากันอย่างจริงจังแล้ว
ขณะที่กลุ่มของฉินอวี้โม่เดินกันมาเกือบทั้งวันก็ยังไม่พบอสูรแม้แต่ตัวเดียว ทว่าบางกลุ่มกลับโชคร้ายเดินไม่กี่ก้าวก็เจอฝูงสัตว์อสูรแสนดุร้ายเข้าแล้ว หากว่าพวกเขาหนีไม่เร็วพอก็คงได้ทิ้งชีวิตไว้ใต้หิมะในป่าเหมันต์นี้เป็นแน่
เช่นเดียวกับกลุ่มของเยว่ชิงเฉิง สมาชิกทั้งห้าของกลุ่มนี้เจอเข้ากับอสูรเทวะราชันเก้าดาราที่แข็งแกร่ง
หากเป็นอสูรเทวะราชันปกติทั่วไป พวกเขาห้าคนคงร่วมมือกันเอาชนะมันได้ไม่ยาก
อย่างไรก็ตาม อสูรเทวะราชันเก้าดาราของป่าเหมันต์แข็งแกร่งเทียบเท่ากับอสูรสวรรค์ที่พื้นที่ภายนอก กว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลเยว่และสมาชิกคนอื่น ๆ ในกลุ่มจะเอาชนะมันได้ก็ลำบากไม่น้อย แต่ก็น่าเสียดายที่พวกนางไม่มีผู้ฝึกสัตว์อสูรอยู่ด้วยเลยจึงทำได้เพียงสังหารมันและเก็บเอาแก่นมายาและแกนชีวิตของมันมาเท่านั้น
“อสูรมายาของป่าหนาว ๆ นี้น่ากลัวจริง ๆ !”
เยว่ชิงเฉิงกล่าวขึ้น แม้จะหนาวจนเข้ากระดูกแต่ร่างบางของนางมีเหงื่อไหลโทรมและยังหอบหายใจไม่หยุดจากการต้องรับมือกับเจ้าตัวน่ากลัวนั่น หลังจากเอาชนะอสูรตัวแรกได้อย่างยากลำบาก ในเวลานี้ กลุ่มของนางก็มาหาที่ปลอดภัยเพื่อซ่อนตัว
“ใช่ ดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าภายนอกเป็นสองเท่าเลย น่ากลัวมากจริง ๆ”
แม้แต่บุรุษที่เดินทางรอนแรมในป่ามาถึงห้าปีจนมีสมญานามว่า ‘ลมอ่อนแห่งป่าแสงจันทร์’ อย่างโอวหยางชิงเฟิงก็ยังรู้สึกหวั่นเกรง อสูรมายาในป่าแห่งนี้ดุร้ายและแข็งแกร่งกว่าป่าแห่งอื่นอย่างเทียบกันไม่ได้ ไม่คิดเลยว่าทางโรงเรียนจะใช้สถานที่อันตรายเช่นนี้เป็นสนามแข่งขัน แต่นั่นก็ช่วยอธิบายได้เป็นอย่างดีว่าเหตุใดจึงให้จับกลุ่มกันถึงห้าคน
“งั้นเราคงต้องระมัดระวังกันให้มากกว่านี้ ในหมู่พวกเราห้าคนมีคนที่อยู่ขอบเขตมายาบรรพชนสามคนและนภมายาเก้าดาราสองคน อย่างมากพวกเราก็รับมือได้แค่อสูรเทวะราชันเก้าดาราสองตัว ถ้าเจอพร้อมกันมากกว่านั้นเราต้องหนีเอาตัวรอดก่อน อย่าผลีผลามทำอะไรเสี่ยง ๆ เด็ดขาด”
หลิงเฟิงเอ่ยเตือนด้วยใบหน้าติดจะเคร่งเครียด ไม่ใช่เพียงแต่มีพลังที่แข็งแกร่ง แต่เขายังมีจิตใจอันเข้มแข็งและเป็นที่พึ่งพาของเหล่าสหายได้ ในตอนนี้ราชนิกุลหนุ่มเองก็อยู่ขอบเขตมายาบรรพชนเช่นกัน
ถึงแม้จะเป็นความจริงที่ว่าเยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิงก็อยู่ในขอบเขตมายาบรรพชนเช่นกัน แต่นั่นเป็นเพราะทั้งสองได้ความช่วยเหลือจากโอสถก่อมายา ดังนั้นหากจะนับให้ถูกต้องแล้ว ผู้ที่ทะลวงได้โดยธรรมชาติอย่างหลิงเฟิงจึงย่อมแข็งแกร่งกว่าพวกเขา
โอวหยางชิงเฟิงและสหายสาวอีกสามคนพยักหน้าเห็นด้วยกับคำเตือนของหลิงเฟิง ต่อจากนี้พวกเขาจะต้องใช้ความระมัดระวังในทุกย่างก้าว
ในเวลาเดียวกับที่กลุ่มของเยว่ชิงเฉิงตัดสินใจได้ กลุ่มอื่น ๆ อีกหลายกลุ่มเองก็กำลังตกที่นั่งลำบาก อสูรมายาทั้งป่าแห่งนี้ล้วนแข็งแกร่งน่ากลัว แทบทุกกลุ่มจึงเปลี่ยนมาใช้ความระมัดระวังในระดับสูงสุดแล้ว
ในตอนนั้นเองก็มีบางกลุ่มที่โชคร้ายไปเจออสูรมายาที่อยู่รวมกันเป็นฝูง พวกเขาได้รับบาดเจ็บแต่ก็ยังไม่มีผู้ใดถึงแก่ความตาย ทว่าคนเหล่านั้นก็ตกอยู่ในสภาวะเสียขวัญจนไม่สามารถต่อสู้ได้ เวลานี้พวกเขาได้แต่หาที่ซ่อนตัวและยุติการออกสำรวจป่าเหมันต์
ทางด้านกลุ่มของฉินอวี้โม่หลังจากเดินมากว่าครึ่งค่อนวัน ในที่สุดคนทั้งห้าก็ได้พบเจอบางอย่างที่น่าสนใจเข้าแล้ว…
.