เมื่อพวกเขาตามรอยเท้ามาได้สักพักก็พบว่าพื้นที่ลานกว้างที่อยู่เบื้องหน้ามีคนกลุ่มหนึ่งกำลังถูกคนนับสิบล้อมเอาไว้
“ส่งบัวหิมะพันปีที่พวกเจ้าได้มาให้เราซะ ไม่งั้นอย่าหาว่าข้าใจร้ายที่ต้องแย่งชิงป้ายของพวกเจ้า”
ผู้ที่กล่าววาจาข่มขู่คือคนที่ฉินอวี้โม่รู้จักเป็นอย่างดี เขาก็คือจีชางบุรุษจอมอวดดีที่เคยพ่ายแพ้ให้กับนางในวันเปิดเรียนวันแรก นอกจากนี้ที่ข้างกายจีชางก็ยังมีจีหย่งยืนอยู่ด้วย แม้ว่าจะไม่ได้เปิดปากเอ่ยวาจาแต่เขาก็ปลดปล่อยสภาวะพลังออกมาจากร่างกายเพื่อกดดันให้กลุ่มคนที่ถูกล้อมอยู่เกรงกลัว
อีกคนที่ฉินอวี้โม่รู้จักและกำลังยืนอยู่ข้างจีหย่งก็คือปู้เฟยเทียน ยอดฝีมืออันดับหกแห่งทำเนียบนภาจ้องมองเหยื่อของตนเองไม่วางตาเช่นกัน
ส่วนกลุ่มคนที่กำลังถูกล้อมอยู่นั้น ฉินอวี้โม่ไม่รู้จักชื่อ ถึงแม้จะมั่นใจว่าเป็นพวกเขาเป็นนักเรียนเข้าใหม่และมีบางคนที่รู้สึกคุ้นหน้าอยู่บ้างแต่ก็ไม่เคยพูดคุยหรือมีปฏิสัมพันธ์ใด ๆ กับพวกเขา
“รุ่นพี่จีชาง กว่าจะได้บัวหิมะพันปีนี่มาพวกเราพยายามแทบแย่ พวกเราล้วนเป็นนักเรียนใหม่ที่ฐานะทางครอบครัวไม่ดี บัวหิมะนี่สามารถพลิกชีวิตของพวกเราได้และช่วยให้เรามีโอกาสในการพัฒนา ต่อให้รุ่นพี่ขู่จะแย่งชิงแผ่นป้ายของเราไป พวกเราก็จะไม่ยอมส่งมันให้ !”
บุรุษผู้หนึ่งในกลุ่มกัดฟันกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ขณะเดียวกันเขาก็จ้องมองจีชางอย่างเคร่งเครียด
บัวหิมะพันปีเป็นสิ่งที่พวกเขาพยายามอยู่นานกว่าจะได้มาและเพื่อให้ได้มันมามีสหายของเขาต้องบาดเจ็บไม่น้อย ถ้าเขายอมส่งมันให้อันธพาลตรงหน้าก็เท่ากับว่าหยาดเหงื่อและความเจ็บปวดที่ต้องแลกมานั้นสูญเปล่า เรื่องนี้เขายอมรับไม่ได้
พวกเขาทุกคนเป็นนักเรียนหน้าใหม่ พรสวรรค์อยู่ในระดับกลางและไม่ได้มีภูมิหลังจากครอบครัวที่ดีนัก เพื่อที่จะได้เข้ามาเรียนในโรงเรียนราชสำนัก นอกจากความพยายามที่ทุ่มเทเกินร้อยแล้วพวกเขายังต้องยอมรับว่าโชควาสนาของตนเอื้ออำนวยด้วยส่วนหนึ่ง ถ้าพวกเขาสามารถนำบัวหิมะพันปีนี้กลับไปและนำไปขายให้โรงรับประมูลได้ ทุกคนก็จะมีทุนทรัพย์เอาไว้สำหรับพัฒนาตัวเอง เวลานี้พวกเขายังอยู่ขอบเขตนภมายา หากมีเงินก็สามารถหาซื้อโอสถก่อมายามาใช้และกลายเป็นจอมยุทธ์มายาบรรพชนได้ นี่คือโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่จะพัฒนาตัวเอง แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่มีทางปล่อยให้โอกาสหลุดมือเป็นแน่
เมื่อจีชางได้ยินวาจาอันหนักแน่นของหนึ่งในเหยื่อ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป บุรุษจอมอันธพาลตวาดลั่นอย่างเดือดดาล
“เหอะ เจ้าคิดหรือว่าเพียงแค่เจ้าไม่ยอมส่งมันมาแล้วพวกเราจะชิงมันมาเองไม่ได้ ?”
หลังจากหยุดไปชั่วครู่ บุรุษสกุลจีผู้น้องก็เผยรอยยิ้มชั่วร้ายก่อนจะกล่าว “แค่พวกเราฆ่าพวกเจ้าทิ้งแล้วชิงแหวนมิติมาเสีย เท่านี้บัวหิมะนั่นก็เป็นของพวกเราอย่างง่ายดาย พวกเจ้าคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์เลือกอย่างนั้นรึ ? ที่ข้าถามเพราะเมตตาสงสารต้องการจะไว้ชีวิตพวกเจ้า หากไม่ยอมเชื่อฟังแต่โดยดีก็เตรียมตัวตาย !”
แม้จะสังหารเด็กน่าสมเพชเหล่านี้ไป อย่างไรทางโรงเรียนก็ไม่มีหลักฐานว่าเป็นฝีมือของพวกเขา ยิ่งกว่านั้นในสถานที่ที่มีแต่หิมะขาวโพลนเช่นนี้ แม้ว่าจะสังหารพวกเขาแล้วฝังไว้พร้อม ๆ กันก็คงไม่มีผู้ใดหาศพพวกเขาพบ ต่อให้ทางโรงเรียนออกตามหาอย่างจริงจังก็คงไม่มีทางหาเจอได้โดยง่าย หรือต่อให้มีใครพบศพก็คงคิดว่าคนพวกนี้ถูกอสูรทำร้ายจนบาดเจ็บและแข็งตายท่ามกลางหิมะไปเอง
“จีชาง นี่คิดจะแหกกฎของโรงเรียนด้วยการทำร้ายนักเรียนด้วยกันอย่างนั้นรึ ?!
เมื่อได้ยินวาจาของจีชาง สีหน้าของนักเรียนใหม่ผู้นั้นก็เปลี่ยนไป ทว่าเขาก็ยังถามออกไปอย่างไม่เกรงกลัว ความนอบน้อมที่เคยมีอยู่บ้าง บัดนี้มลายหายไปจนหมดสิ้น บุรุษน่ารังเกียจผู้นี้ไม่สมควรจะเป็นนักเรียนแห่งสถาบันอันทรงเกียรติอย่างโรงเรียนราชสำนักเลยด้วยซ้ำ
“ฮ่า ๆ ๆ กฎของโรงเรียน ? ตอนนี้เราอยู่ในป่าเหมันต์ไม่ใช่ในเขตโรงเรียน ต่อให้พวกเราฆ่าพวกเจ้าไปแล้วใครจะรู้ ตอนจบการแข่งขันถึงทางโรงเรียนจะพยายามตรวจสอบแต่ก็คงไม่มีหลักฐานอยู่ดีว่าพวกเจ้าถูกเราหรืออสูรมายาฆ่า ข้าชักจะโมโหแล้วนะ ถ้าพวกเจ้าไม่อยากตายเปล่าก็รีบ ๆ ส่งบัวหิมะมาซะ !”
จีชางแค่นหัวเราะด้วยความเหยียดหยาม น้ำเสียงของเขาในท้ายประโยคแฝงเร้นไปด้วยเจตนาสังหารเต็มเปี่ยม
“พี่ใหญ่ เหตุใดท่านไม่ส่งบัวหิมะให้พวกมันไปล่ะ ?”
หนึ่งในกลุ่มนักเรียนใหม่ผู้ถูกรังแกกล่าวออกมาด้วยสีหน้าหวาดกลัว
บุรุษที่ถูกเรียกขานเป็นพี่ใหญ่มีท่าทีลังเลอยู่ชั่วครู่ ทว่าไม่นานเขาก็รีบส่ายศีรษะและปฏิเสธ
“ไม่ ต่อให้พวกมันจะฆ่าข้า ข้าก็จะไม่ให้อะไรพวกมัน”
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่คิดเลยว่าจะมีจิตใจที่แน่วแน่อะไรเช่นนี้ ไม่อยากอยู่ดูโลกในวันพรุ่งแล้วรึไง ?!”
จีชางหัวเราะแล้วเอ่ยเสียงล้อเลียน กระนั้นเขาเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าเจ้าหนุ่มที่เป็นผู้นำของคนกลุ่มนั่นจะยอมตายมากกว่าส่งของให้พวกเขา
“เหอะ หากจะให้ข้ายอมยกมันให้ใครจริง ๆ คนผู้นั้นก็ต้องเป็นผู้ที่มีเกียรติ เขาจะต้องคู่ควรกับสมบัติล้ำค่าของข้าชิ้นนี้ ไม่ใช่พวกสารเลวอย่างเจ้า วาจาที่เจ้าพ่นออกมาต่ำช้าน่ารังเกียจยิ่งกว่าอุจจาระ มีแต่ทำให้โรงเรียนมัวหมอง ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าทางโรงเรียนปล่อยให้คนเลวอย่างพวกเจ้าเข้ามาเรียนได้ยังไง”
บุรุษผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มนักเรียนใหม่จ้องมองจีชางด้วยแววตาเคียดแค้น น้ำเสียงและท่าทางของเขาก็ยังคงแน่วแน่เช่นเดิม ไม่ใช่เพราะเขาไม่กลัว แท้จริงแล้วเขายอมรับเลยว่ากำลังหวาดหวั่นจับใจ ทว่าหากต้องยอมก้มหัวให้บุคคลชั่วช้าและยอมมอบบัวหิมะให้พวกมันไป ตัวเขาก็ขอยอมตายเสียดีกว่า ไม่ว่าจะกลัวเพียงใดก็ยังน้อยกว่าเกียรติยศศักดิ์ศรีและความแน่วแน่ของเขาหลายเท่านัก
“ฮ่า ๆ ๆ นี่สินะบัวหิมะพันปีที่พวกเจ้าต้องการ ก่อนที่จะถูกเจ้าฆ่า ข้าขอทำลายมันทิ้งด้วยมือของข้าเอง เจ้าจะไม่ได้อะไรจากพวกเราไปแน่ ยิ่งกว่านั้นต่อให้ข้าต้องตาย ข้าก็จะกลายเป็นผีตามหลอกหลอนเจ้าทุกค่ำคืน !”
วาจาจากปากผู้นำของฝ่ายตรงข้ามทำให้สีหน้าของจีหย่งและจีหยางเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง ในตอนนี้พวกเขาไม่สามารถปกปิดรังสีสังหารที่ออกมาจากดวงตาได้อีกแล้ว
“พี่ใหญ่ มันคุ้มกันแล้วหรือที่จะสละชีวิตเพราะบัวหิมะพันปีแค่ดอกเดียว ?”
แม้ว่าจะเป็นการตัดสินใจของผู้เป็นหัวหน้า แต่ลูกน้องทั้งสี่ก็ยังมีความลังเล พวกเขาไม่ได้มีจิตใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่เช่นเดียวกับพี่ใหญ่ของตนที่จะยอมสละชีวิตโดยไม่เสียดาย
“ฮ่า ๆ ๆ ใช่มันไม่คุ้มกันหรอก เมื่อก่อนข้าก็เคยคิดแบบนี้ แต่ตอนนี้ความคิดของข้าเปลี่ยนไปแล้ว ฉินอวี้โม่ที่เข้ามาในโรงเรียนพร้อมกับเราไม่เกรงกลัวทั้งจีหย่งและจีชาง อีกทั้งยังกล้าเผชิญหน้ากับอาราม ความกล้าเช่นนั้นทำให้ข้านึกชื่นชมนางจากใจ ข้าได้ยินว่าคนจากชั้นเรียนของอาจารย์ซ่างกวนก็มีความกล้าหาญและองอาจเหมือนกัน หัวใจของพวกเขาแข็งแกร่งมากไม่ว่าจะเผชิญกับสถานการณ์แบบไหน และถ้าหากเป็นคนเหล่านั้น ข้าเชื่อว่าพวกเขาไม่มีทางยอมมอบบัวหิมะให้คนพวกนี้แน่ ข้าเองก็เช่นกัน หากเป็นคนอื่นข้าก็อาจจะยอมพิจารณา แต่ถ้าเป็นคนที่กล้าขู่ข้าและยังเหยียดหยามข้าเหมือนกับไอ้สารเลวพวกนี้ ต่อให้ต้องตาย ข้าก็จะไม่ให้พวกมันได้สมบัติล้ำค่านี้ไปครอง !”
ในตอนนั้นเอง จู่ ๆ บุรุษผู้นำกลุ่มนักเรียนใหม่ก็เอ่ยถึงชื่อฉินอวี้โม่ ซึ่งนั่นก็เพราะฉินอวี้โม่เปรียบเสมือนตัวแทนแห่งเกียรติยศของนักเรียนใหม่ นางเป็นตัวตนที่นักเรียนร่วมรุ่นทุกคนภาคภูมิใจ
ส่วนจีชางและจีหย่งคือความอัปยศของโรงเรียน ด้วยนิสัยที่น่ารังเกียจของคนพวกนี้ หากลองคิดทบทวนดี ๆ ถึงจะยอมส่งบัวหิมะพันปีให้ไปก็ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายจะไว้ชีวิตพวกเขาหรือไม่ สุดท้ายคนต่ำช้าก็อาจจะสังหารพวกเขาอยู่ดีก็ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็ขอสู้ตายอย่างมีเกียรติดีกว่า และมันจะเป็นข้อพิสูจน์ให้โลกได้ประจักษ์ว่าพวกเขาไม่ใช่คนขี้ขลาดอ่อนแอ
ดูเหมือนว่าถ้อยคำของผู้เป็นหัวหน้าจะกระตุ้นอารมณ์ของทุกคนในกลุ่มได้ บัดนี้สีหน้าของพวกเขาแปรเปลี่ยนไปกลายเป็นความแน่วแน่ หัวหน้าของเขาพวกเขากล่าวถูกแล้ว ในเมื่อไม่มีทางเลือกแล้วงั้นพวกเขาเองก็จะขอสู้ตายด้วยเช่นกัน
“ตกลง พวกเราจะอยู่ข้างพี่ใหญ่ !”
ทุกคนพยักหน้าแล้วกล่าวขึ้นมา ในตอนนี้กำลังใจของพวกเขาเพิ่มขึ้นแล้ว
“ดี ดี พูดได้ดี !”
จู่ ๆ จีหย่งที่เงียบมานานก็ปรบมือพลางกล่าวชื่นชม
“ในเมื่อพวกเจ้าอยากจะตายกันนัก พวกเราก็จะช่วยสงเคราะห์ให้ ส่วนฉินอวี้โม่ที่พวกเจ้าเทิดทูน อีกไม่นานข้าก็จะส่งมันตามพวกเจ้าไปเอง”
สิ้นวาจาของบุรุษหัวกะทิผู้ครองตำแหน่งอันดับสามของโรงเรียน ก้อนแสงขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นในมือของเขาราวกับเตรียมจะโจมตีได้ทุกเมื่อ นักเรียนทั้งห้าคนที่ถูกล้อมอยู่หันหน้ามองกัน ก่อนที่บุรุษผู้เป็นหัวหน้าจะเอาบัวหิมะเข้าใกล้ปากและเตรียมจะกลืนมันเข้าไป
วิธีการทำลายสมุนไพรล้ำค่าที่ง่ายที่สุดก็คือกินมันเข้าไป ขอเพียงตกถึงท้อง น้ำย่อยภายในกระเพาะอาหารก็จะกัดกร่อนจนสูญเสียคุณค่าไปในทันที
“โอ้โห ที่นี่ช่างครึกครื้นดีจริง ๆ”
เมื่อทนเห็นภาพแสนอัปยศอดสูที่นักเรียนรุ่นพี่รังแกนักเรียนรุ่นน้องในสถาบันเดียวกันต่อไปไม่ไหว ฉินอวี้โม่และสมาชิกในกลุ่มของนางก็จำต้องแสดงตัวตนออกมา
เมื่อครู่กลุ่มของฉินอวี้โม่ตัดสินใจปิดกั้นพลังและตั้งใจจะซุ่มดูสถานการณ์เพียงเท่านั้น เพราะนี่คือการแข่งขัน พวกนางจึงมีความคิดว่าการประมือกันเป็นเรื่องธรรมดา ทว่าหลังจากได้ยินบทสนทนาของจีหย่งและคนอื่น ๆ อย่างชัดเจนแล้ว ความตั้งใจดั้งเดิมของทุกคนก็เปลี่ยนไปทันที
แน่นอนว่าวาจาองอาจกล้าหาญของทางฝ่ายนักเรียนหน้าใหม่นั้น ทุกคนในกลุ่มอวี้โม่ก็ได้ยินเช่นกัน ฉินอวี้โม่ยอมรับเลยว่าผู้ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มมีหัวใจอันแข็งแกร่งอย่างแท้จริง แต่นางก็ไม่เห็นด้วยกับความคิดของเขา บางครั้งคนเราก็ต้องยอมปล่อยวางทิฐิลงเสียบ้าง หากครั้งนี้ยอมแพ้ไปก่อนแล้วค่อยกลับมาเอาคืนก็ย่อมได้ ดั่งคำกล่าวที่ว่า ‘ลูกผู้ชายสิบปีล้างแค้นไม่สาย’ เมื่อมีความแข็งแกร่งมากพอแล้ว ถึงเวลานั้นจะเล่นงานอีกฝ่ายได้เจ็บแสบอย่างไรก็ย่อมไม่ยากเย็น
“ฉินอวี้โม่ เจ้าเองเหรอ !”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงหวานใสนุ่มนวลของฉินอวี้โม่ เหล่ากลุ่มนักเรียนปีหนึ่งที่โดนล้อม รวมถึงกลุ่มของจีหย่งและพรรคพวกก็หยุดชะงักไป คนทั้งหมดรีบหันมองกลุ่มคนผู้มาใหม่
“ไม่ได้เจอกันนาน พวกเจ้ายังน่ารังเกียจเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มก่อนจะกล่าวประโยคนั้นกับสองพี่น้องตระกูลจี ในตอนนั้นเอง สมาชิกในกลุ่มของฉินอวี้โม่ทั้งหมดก็ค่อย ๆ เดินเข้าไปหานักเรียนใหม่ทั้งห้า
“สวรรค์ นั่นคือกลุ่มของฉินอวี้โม่ ข้าไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม !”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และสมาชิกกลุ่มของนางปรากฏตัว เหล่านักเรียนปีหนึ่งที่กำลังถูกรังแกก็อดอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นไม่ได้ พวกเขารู้ว่ามันน่าเหลือเชื่อมาก ไม่คิดเลยว่าในตอนที่เตรียมใจว่าจะต้องตายอยู่นั้น จู่ ๆ สหายร่วมรุ่นผู้ที่พวกเขายึดถือเอาเป็นสัญลักษณ์ของความกล้าก็ปรากฏตัวต่อหน้า
“พวกเจ้าทุกคนโง่เขลามาก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามก็ควรจะรักษาชีวิตตัวเองไว้ก่อน ขอให้แข็งแกร่งขึ้นก่อนแล้วค่อยกลับมาเอาคืนก็ไม่สาย ไม่ว่าจะดูยังไงพวกเจ้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนพวกนั้น ถ้าข้าเป็นเจ้า ข้าจะยอมมอบบัวหิมะพันปีให้พวกเขาแต่โดยดี จากนั้นก็จะพยายามอย่างหนัก ฝึกฝนให้แข็งแกร่งขึ้นแล้วกลับมาเอาคืนให้สาสม”
ฉินอวี้โม่มองนักเรียนใหม่ทั้งห้าที่กำลังตื่นเต้นพลางออกปากตำหนิ
เมื่อได้ยินวาจาว่ากล่าวของบุคคลที่ตอนเทิดทูน นักเรียนเข้าใหม่ก็อึ้งไปเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาให้ดี สิ่งที่นางบอกก็ฟังดูมีเหตุผล มันสมควรจะเป็นเช่นนั้นมากกว่า เรื่องที่พวกเขาทำลงไปครั้งนี้ถือว่าไม่ได้คิดหน้าคิดหลังให้ดีพอ
“ฉินอวี้โม่ นี่ไม่ใช่เรื่องของเจ้า อย่าบังอาจสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องของพวกข้า !”
เมื่อจีหย่งและจีชางเห็นกลุ่มของฉินอวี้โม่ปรากฏตัว สีหน้าของพวกเขาก็ดูไม่ดีนัก แม้ว่าพวกนางจะมีเพียงห้าคนซึ่งน้อยกว่าคนของพวกเขา แต่สมาชิกแต่ละคนก็ล้วนแต่เป็นนักเรียนระดับหัวกะทิ
ที่นี่มีจีหย่งอยู่ด้วย บางทีจีหย่งอาจจะรับมือหลินซิวหยาและเจียงหลิวเยว่พร้อมกันได้ ขณะที่ปู้เฟยเทียนก็รับมือกับเนี่ยหรูเฟิง แต่ยังเหลือฉินอวี้โม่กับหลี่จิ้งที่เป็นปัญหาและน่าจะไม่อาจรับมือได้โดยง่าย
แม้ว่าจีหย่งจะอยู่ในอันดับสามของทำเนียบนภา แต่จากที่ได้เห็นฝีมือของนางเมื่อครั้งต่อกรกับคนของอาราม การจะรับมือกับฉินอวี้โม่ก็ไม่ง่ายนัก ดังนั้นแล้วทั้งจีหย่งและพวกพ้องจึงมีท่าทีลังเล พวกเขาไม่อยากเปิดฉากจู่โจมกลุ่มของฉินอวี้โม่
“เหอะ จริง ๆ เราก็ไม่อยากยุ่งเรื่องของพวกเจ้าหรอก แต่การที่พวกเจ้ากล้าคิดต่ำช้า จะลงมือสังหารนักเรียนของโรงเรียนนั่นถือว่าล้ำเส้นเกินไป การกระทำของพวกเจ้าไม่ต่างจากการเหยียดหยามนามแห่งโรงเรียนราชสำนักเลยสักนิด ยิ่งกว่านั้นเหมือนข้าจะได้ยินว่าจีหย่งจะจัดการข้าด้วยนะ ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเรื่องนี้ก็คงต้องนับเป็นเรื่องของข้าด้วยแล้วล่ะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชา เมื่อครู่วาจาที่กล่าวว่าจะจัดการฉินอวี้โม่ดังออกจากปากจีหย่งชัดเจน เวลานี้อดีตนักฆ่าสาวเองจึงอยากรู้เหลือเกินว่า อีกฝ่ายแข็งแกร่งพอจะทำเช่นนั้นได้หรือไม่
“พวกเจ้ามันชั่วเกินไปแล้ว แม้แต่รุ่นน้องในโรงเรียนเดียวกันที่อ่อนแอกว่ามากก็ยังคิดจะสังหาร ถ้าท่านอธิการและอาจารย์ทั้งหลายล่วงรู้เรื่องนี้เข้า ข้าก็ไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะจัดการพวกเจ้ายังไง !”
หลินซิวหยาตะโกนก้องด้วยความโกรธ เขาเป็นบุรุษตรงไปตรงมา ยึดมั่นในคุณธรรม นับถือความดีงาม แน่นอนว่าเมื่อได้เห็นเรื่องที่ต่ำช้าเช่นนี้เขาย่อมไม่อาจยอมรับได้
ยิ่งกว่านั้นที่ผ่านมาจีหย่งและพรรคพวกเที่ยวรังแกคนอ่อนแอกว่าไปทั่ว พวกเขาทำพฤติกรรมดังกล่าวมานานแล้ว เรื่องนี้ทำให้บุรุษผู้ชื่นชอบการต่อสู้รู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง และรู้สึกคันไม้คันมืออยากสั่งสอนอันธพาลพวกนี้ยิ่งนัก
“ถ้าพวกเจ้ามีความสามารถก็มาประลองตัวต่อตัวกับคู่ต่อสู้ที่เท่าเทียม อย่าไปลงมือกับคนไม่มีทางสู้เพราะมันน่าอาย !”
เนี่ยหรูเฟิงกวาดตามองคนกลุ่มนั้นด้วยแววตาดูถูกเหยียดหยาม ก่อนจะหยุดสายตาลงที่จีหย่งและจีชาง
ในเวลานี้ บรรยากาศรอบบริเวณกลับยิ่งทวีตึงเครียดมากขึ้น ทว่ากลุ่มผู้ที่ถูกกดดันไม่ใช่เหล่านักเรียนใหม่ แต่เปลี่ยนกลายเป็นนักเรียนรุ่นพี่ที่กำลังคิดจะรังแกพวกเขาแทน