บัดนี้ ความเงียบงันปกคลุมไปทั่วทั้งห้องโถงหลักของปราสาทเหมันต์ ทุกคนตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก บรรยากาศภายในสถานที่แห่งนี้ตึงเครียดเป็นอย่างยิ่ง
“ลั่วเฉินส่งยาถอนพิษมาให้ข้า ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้ข้าก็จะช่วยชางเอ๋อร์ก่อน”
จีหย่งจ้องฉินอวี้โม่ตาเขม็ง ก่อนจะหันไปมองลั่วเฉิน ใบหน้าและดวงตามีความวิงวอนปรากฏให้เห็น
“ไม่มียาถอนพิษ”
ลั่วเฉินตอบ ใบหน้าดูเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง
เมื่อเห็นท่าทางไม่ทุกข์ร้อนใด ๆ ของลั่วเฉิน จีหย่งก็กัดฟันแน่น
“ลั่วเฉิน เจ้าอย่าทำไขสือ รีบส่งยาถอนพิษมาเร็วเข้า ข้าต้องช่วยน้องชายข้าก่อน เรื่องอื่นเป็นเรื่องของอนาคต ไว้ค่อยหารือกันทีหลัง !”
จีหย่งมองเห็นมุมปากของฉินอวี้โม่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นชา ดาบคมที่กดลึกลงไปในเนื้อจีชางเสมือนกรีดลงกลางใจเขา ทว่าพี่ชายผู้รักน้องก็ทำได้เพียงหันไปมองลั่วเฉินอีกครั้ง
“ข้าไม่มียาถอนพิษแล้วจริง ๆ ที่เตรียมมาพวกเราก็ใช้ไปหมดแล้ว อย่างไรพิษนี้ก็อยู่ได้แค่สามชั่วยาม รอให้ถึงเวลานั้นฤทธิ์ของมันก็จะสลายไปเอง”
ลั่วเฉินเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ภายใต้ใบหน้าเรียบนิ่งนั้น ไม่มีผู้ใดทราบว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่
ด้วยความอับจนหนทาง ในที่สุดจีหย่งก็หันไปกล่าวคำอ้อนวอนต่อฉินอวี้โม่ “ฉินอวี้โม่ เจ้าได้ยินใช่ไหม พิษนี้อยู่ได้สามชั่วยามแล้วจะสลายไปเอง เจ้าปล่อยน้องชายข้าเถอะ”
ฉินอวี้โม่เหยียดยิ้มสมเพช คำพูดเมื่อครู่ของลั่วเฉินนางไม่มีข้อสงสัย
แต่สิ่งที่นางยังไม่เข้าใจก็คือหากลั่วเฉินต้องการสังหารพวกเขาจริง ๆ เหตุใดถึงต้องใช้พิษที่ไม่ทำอันตรายต่อร่างกาย มิสู้ใช้พิษที่รุนแรงถึงตายไปเลยไม่ง่ายดายกว่าหรอกหรือ ?
ยิ่งกว่านั้นหากคนผู้นี้คิดจะจัดการกับเหล่าพันธมิตรทางฝ่ายปิงเสวียน ที่ผ่านมาก็มีช่วงเวลาและโอกาสอยู่ตั้งมากมายที่จะทำได้ ทว่าก็ไม่เห็นว่าเขาจะมีทีท่าว่าจะลงมือแต่อย่างใด
ฉินอวี้โม่และสมาชิกในคณะพันธมิตรทั้งหกกลุ่มรู้สึกงุนงงกับการกระทำและเจตนาของลั่วเฉินเป็นอย่างมาก ไม่มีใครคาดเดาได้เลยว่าเขากำลังต้องการอะไรหรือแท้จริงแล้วคนลึกลับผู้นี้มีจุดประสงค์อย่างไรกันแน่
“จีหย่ง ในเมื่อเจ้าไม่มียาถอนพิษ งั้นก็ส่งผลเยือกมณีกับแผ่นป้ายของพวกเจ้ามา เรื่องแค่นี้เทียบกับสิ่งที่พวกเจ้าทำไว้กับเราคงไม่ถือว่ามากมายอะไรนัก”
ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยรอยยิ้ม นางยื่นเงื่อนไขออกไป
จีหย่งขมวดคิ้ว ในใจของเขารู้สึกไม่ยินยอมทว่าเมื่อได้มองดูที่ดาบคมในมือของฉินอวี้โม่พลางมองจีชางที่กำลังสั่นสะท้านด้วยความหวาดหวั่น เขาก็หมดสิ้นหนทาง
“ลั่วเฉิน ได้ยินแล้วใช่ไหม ส่งแผ่นป้ายและผลเยือกมณีของพวกเรามา”
ในหัวใจของจีหย่งไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าชีวิตของจีชางอีกแล้ว
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเป็นคนที่รักน้องชายมากขนาดนี้”
ลั่วเฉินจ้องมองจีชางพลางกล่าว ไม่ทราบเช่นกันว่าเขาจงใจจะเสียดสีหรือกำลังเอ่ยคำชื่นชม
“แต่…มันไม่ใช่เรื่องของข้า ทำไมข้าต้องมอบของที่พยายามหามาแทบตายให้เจ้าด้วย นั่นน้องชายของเจ้า ไม่ใช่น้องชายข้า เขาจะตายหรือไม่ตายก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า”
ประโยคที่เพิ่งจะหลุดจากปากของลั่วเฉินทำให้ใบหน้าของจีหย่งเปลี่ยนไปในทันที
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าไม่อยู่เล่นกับพวกเจ้าที่นี้แล้ว จีหย่ง ปู้เฟยเทียนเชิญพวกเจ้าเล่นสนุกต่อกันเองเถอะ”
ลั่วเฉินหัวเราะอย่างชั่วร้ายก่อนที่ร่างของเขาจะพุ่งตรงไปยังประตูทางออก สมาชิกอีกสี่คนในกลุ่มก็ตามไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน เพียงชั่วพริบตาร่างของสมาชิกกลุ่มลั่วเฉินก็หายลับไปจากสายตาของทุกคน
“ลั่วเฉิน เจ้าคนบัดซบ !”
ในที่สุดจีหย่งก็เข้าใจแล้วว่าตัวเองโง่งมมากเพียงใดที่หลงเชื่อใจลั่วเฉิน คนเลวทรามผู้นั้นไม่ได้ตั้งใจจะร่วมมือกับพวกเขาตั้งแต่แรกแล้ว สิ่งที่มันและพรรคพวกทำมาทั้งหมดก็เพียงเพราะต้องการเอาแผ่นป้ายและผลเยือกมณีของพวกเขาไป
การจากไปอย่างกะทันหันของกลุ่มลั่วเฉินทำให้ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็ชะงักไปชั่วครู่ พวกเขารู้สึกสับสนมากขึ้นกว่าเดิม
สถานการณ์ตรงหน้าเต็มไปด้วยสิ่งที่เป็นปริศนาและมีเรื่องที่คนทั้งหมดไม่เข้าใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ลั่วเฉินผู้นี้ต้องการอะไรกันแน่
“ฉินอวี้โม่ มันไม่ใช่เพราะข้าไม่อยากจะมอบป้ายกับผลเยือกมณีให้เจ้า แต่เป็นเพราะมันถูกลั่วเฉินชิงเอาไป ตอนนี้ข้าไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว เจ้าปล่อยน้องชายข้าได้แล้ว ถ้าเจ้ากล้าทำอะไรเขา ข้าผู้นี้ขอสาบานว่าจะให้เจ้าต้องชดใช้ด้วยชีวิต !”
จีหย่งจ้องมองฉินอวี้โม่ มือกำหมัดแน่น เขาพยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อควบคุมอารมณ์
กลุ่มของลั่วเฉินหนีไปแล้ว ถึงพวกเขาจะตามไปตอนนี้ก็คงจะไม่สามารถพบตัวคนเหล่านั้นได้โดยง่าย เวลานี้การที่ฉินอวี้โม่รั้งตัวจีชางเอาไว้ก็คงไม่มีประโยชน์อีก ยิ่งกว่านั้นนางก็คงไม่คิดจะฆ่าเขาจริง ๆ แน่
อย่างไรก็ตาม สำหรับคนอย่างฉินอวี้โม่อดีตนักฆ่าจากศตวรรษที่ 21 เป็นไปไม่ได้เลยที่จะปล่อยอีกฝ่ายไปโดยไม่ได้สิ่งใดแลกเปลี่ยน
“ฮ่า ๆ ๆ จีหย่งอย่ามาขู่ข้าดีกว่า คำขู่ของเจ้าไม่มีผลอะไรกับข้า ถ้าเจ้าต้องการให้ข้าปล่อยน้องชายเจ้าไปก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่เจ้าต้องเอาสิ่งที่มีค่าเทียบเท่ากันออกมาแลกเปลี่ยน”
ฉินอวี้โม่ยิ้ม นางไม่สนใจคำขู่ของจีหย่งเลยแม้แต่น้อย ทว่านางก็ไม่คิดจะฆ่าจีชางให้มือเปื้อนเลือด เพราะนางไม่อยากถูกไล่ออกจากโรงเรียนราชสำนักด้วยเหตุผลอย่างเช่นการสังหารคนโสโครกเหล่านี้ หากไม่มีกฎของโรงเรียนมาข้องเกี่ยว สตรีผู้เคยเป็นนักฆ่าระดับพระกาฬก็คงจะสังหารสองพี่น้องแซ่จีทิ้งไปนานแล้ว
“ฉินอวี้โม่ เจ้าอย่าโอหังให้มันมากเกินไป !”
จีหย่งพ่นวาจาผ่านฟันที่ขบแน่น ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวน่าเกลียด
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าน่ะหรือโอหังมากเกินไป ? พวกเจ้าเป็นคนเริ่มเองไม่ใช่หรือ ? เรื่องนี้ใคร ๆ ต่างก็รู้ เจ้าเองก็รู้อยู่แก่ใจ คิดให้ดีนะจีหย่งว่าชีวิตน้องชายของเจ้ามีค่ามากแค่ไหน ถ้าเจ้าไม่ตกลงข้าก็แค่ขยับดาบในมือ ข้าอาจจะเสียแรงสักหน่อยแต่น้องชายเจ้าเสียชีวิต จะเลือกอย่างไหนก็รีบ ๆ ตัดสินใจซะ !”
ฉินอวี้โม่สาดวาจาตอบโต้ ประโยคของนางเลือดเย็นจนชวนขนลุก สตรีโฉมงามไม่คิดจะยอมอีกฝ่ายเช่นกัน
จีหย่งมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาเคียดแค้น อย่างไรก็ตามเขาก็ไร้ทางเลือก บุรุษผู้รักน้องชายหยิบแหวนมิติออกมาแล้วโยนไปทางฉินอวี้โม่
คุณหนูสี่ตระกูลฉินรับมันมาไม่รอช้า ภายในแหวนมิติของจีหย่งมีสมบัติอยู่มากมาย ฉินอวี้โม่พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
“ถ้ามีครั้งหน้า ข้าจะฆ่าพวกเจ้าทิ้งโดยไม่มีข้อแม้ !”
— เพี๊ยะ ! —
สิ้นวาจาแสนเย็นชา ฉินอวี้โม่ก็ใช้ฝ่ามือฟาดหน้าจีชางไปครั้งหนึ่งก่อนจะเหวี่ยงร่างของเขาคืนกลับไปให้จีหย่ง
จีหย่งเองก็เคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว เขาพุ่งเข้ามารับตัวน้องชายอย่างแม่นยำ พร้อมกันนั้นก็เปิดฉากโจมตีฉินอวี้โม่โดยไม่ลังเล
อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทันจะเข้าไปใกล้ตัวศัตรู ผู้ครองอันดับสามแห่งทำเนียบนภาก็ถูกปิงเสวียนขัดขวางไว้เสียก่อน ฝ่ามือหนึ่งพุ่งตรงมาทางเขา
— ปัง ! —
จีหย่งกับปิงเสวียนปะทะกันทำให้เกิดเสียงดังกึกก้อง
ร่างของจีหย่งกระเด็นถอยหลังไปกว่าสิบก้าวก่อนจะหยุดยืนได้อย่างมั่นคง
ส่วนทางด้านปิงเสวียนนั้นเพียงถอยมาสองสามก้าวก็สามารถทรงตัวได้มั่นคงแล้ว
แม้ว่าจีหย่งจะอยู่ในอันดับสามที่ห่างจากอันดับหนึ่งของปิงเสวียนเพียงแค่สองอันดับ แต่ความแข็งแกร่งของทั้งสองคนกลับห่างชั้นกันมากพอสมควร
ปิงเสวียนใช้พลังเพียงแปดส่วนก็รับมือกับจีหย่งที่ใช้พลังทั้งหมดได้โดยง่ายแล้ว
ทันทีที่ผู้นำเปิดฉาก ปู้เฟยเทียนและสมาชิกที่เหลือของกลุ่มพันธมิตรจีหย่งก็พุ่งเข้าจู่โจมคนของกลุ่มหกพันธมิตรทันที
ในเมื่อตอนนี้แผ่นป้ายของพวกเขาถูกชิงไปแล้ว จะอย่างไรในอีกไม่กี่ชั่วยามทุกคนก็ต้องถูกคัดออกจากการแข่งขัน ฉะนั้นก็ใช้โอกาสนี้สู้ตายกับศัตรูตรงหน้า สะสางความแค้นที่มีไปเสียเลยดีกว่า
อย่างไรก็ตาม เนี่ยหรูเฟิง ลั่วอวิ๋น เพ่ยหลง หลินซิวหยาและหลินหยวน สมาชิกแห่งหกพันธมิตรที่ยังคงมีพละกำลังก็เข้าไปรับมือพวกเขาอย่างไม่ยากเย็น เพียงไม่กี่อึดใจ ปู้เฟยเทียนและเหล่าสหายก็ค้นพบว่าการจู่โจมของเขาล้มเหลวไม่เป็นท่า
“หึ ๆ จีหย่ง ข้าแนะนำให้เจ้าไปตามหารุ่นพี่ลั่วเฉินดีกว่า เขาอาจจะยอมคืนแผ่นป้ายให้เจ้าก็ได้ พวกเจ้ามัวแต่สู้กับพวกเราเช่นนี้ก็มีแต่เจ็บตัวเปล่า แม้ว่าเราจะถูกพิษจนพลังในร่างกายลดลงไปมาก แต่อย่างพวกเจ้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเราอยู่ดี”
ฉินอวี้โม่หัวเราะน้อย ๆ คนจากกลุ่มพันธมิตรจีหย่งดูอ่อนหัดยิ่งนักหากเทียบกับสมาชิกในกลุ่มของนาง
จีหย่งขมวดคิ้วแน่น แค่มองดูสถานการณ์เขาก็เข้าใจทุกอย่างได้
หลินซิวหยา หลินหยวนไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเท่าไหร่นัก ขณะที่ปิงเสวียนเหนือกว่าเขาพอสมควร เพ่ยหลงกับเนี่ยหรูเฟิงแข็งแกร่งพอ ๆ กับปู้เฟยเทียน ยิ่งกว่านั้นฝ่ายฉินอวี้โม่ยังมีจอมยุทธ์มายาบรรพเก้าดาราปริศนาเพิ่มมาอีกหนึ่งคน
การต่อสู้กับอีกฝ่ายในเวลานี้ โอกาสชนะของพวกเขามีไม่ถึงหนึ่งส่วน
แม้ว่าเมื่อนับเฉพาะคนที่ขยับตัวต่อสู้ได้ของฝ่ายนั้น ฝั่งของเขาจะมีจำนวนคนมากกว่า แต่ก็ยังไม่สามารถเติมเต็มช่องว่างของความห่างชั้นได้อยู่ดี ที่สำคัญหากสมาชิกของกลุ่มศัตรูที่มีสามสิบคนเรียกอสูรมายาออกมาทั้งหมด กองทัพอสูรมายาเหล่านั้นก็คงจับพวกเขากินเป็นอาหารได้ง่าย ๆ
“ไปกันได้แล้ว !”
จีหย่งหยุดเหล่าสหายด้วยคำสั่งถอนตัว
ก่อนจะออกไปจากห้องโถงหลักของปราสาทเหมันต์ บุรุษแซ่จีก็หันไปมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาเคียดแค้นพลางฝากคำพูดทิ้งท้าย “ฉินอวี้โม่ ข้าจะรอเจ้าในการแข่งขันประเภทเดี่ยว ถ้าเจ้าโชคร้ายต้องมาเจอกับข้า ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้เองว่าผลของการล่วงเกินจีหย่งผู้นี้นั้นเป็นอย่างไร”
กล่าวจบ จีหย่งก็พาคนของเขาจากไปอย่างรวดเร็ว พวกเขามุ่งไปในทิศทางที่ลั่วเฉินและสหายหายตัวไป ความเร็วเช่นนั้นราวกับกำลังเปิดฉากไล่ล่าสุดชีวิต
เมื่อได้ยินวาจาทิ้งท้ายของจีหย่ง คุณหนูสี่ตระกูลฉินก็ได้แต่หัวเราะเบา ๆ นางไม่คิดนำมันมาใส่ใจแม้แต่น้อย
ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันแบบหมู่คณะหรือแบบเดี่ยว นางก็ไม่เคยกลัวจีหย่ง ด้วยความแข็งแกร่งในตอนนี้ของนาง นอกจากปิงเสวียน ลั่วเฉิน หลินซิวหยา หลินหยวนและเพ่ยหลงแล้ว นางก็ไม่เกรงกลัวผู้ใดในโรงเรียนอีก
แม้ว่าหลินซิวหยา หลินหยวนและเพ่ยหลงจะครองอันดับต่ำกว่าจีหย่งในทำเนียบนภา แต่หลังจากที่ได้คลุกคลีกับพวกเขามาระยะหนึ่ง ฉินอวี้โม่ทราบดีว่ารุ่นพี่เหล่านี้มีไพ่ตายที่ไม่ธรรมดาซุกซ่อนอยู่ ขอเพียงพวกเขาเผยไพ่ตาย แม้แต่นางที่ครอบครองเพลิงของซิวก็ไม่แน่ว่าจะเอาชนะได้
ส่วนปิงเสวียนกับลั่วเฉินไม่มีอะไรต้องกล่าวถึง พวกเขาคือนักเรียนระดับสูงสุดของโรงเรียน ลั่วเฉินนั้นเห็นแล้วว่ามีความลึกลับมากมายที่ไม่อาจล่วงรู้ได้ ทว่าปิงเสวียนเองก็มีความสามารถอันไม่อาจหยั่งถึง แน่นอนว่าพวกเขาทั้งคู่ย่อมแข็งแกร่งจนน่าสะพรึงกลัว ในการเผชิญหน้ากับหนึ่งในสองคนนี้ หากจะทำให้ตนเองมีโอกาสชนะได้บ้าง ฉินอวี้โม่ก็ต้องใช้ไพ่ทุกใบที่มีอยู่ในมือ
“ตอนนี้พวกเราต้องรวมตัวกันไว้ ลั่วเฉินพูดเองว่าพิษนี้อยู่ได้สามชั่วยาม ข้าว่าพวกเราควรจะอยู่ที่นี่รอจนกว่าพิษจะสลายไป”
ปิงเสวียนร้องบอกทุกคน ครั้งนี้เขาคงต้องเชื่อวาจาของบุรุษลึกลับผู้นั้น เพราะถึงอย่างไรการกระจายกลุ่มออกไปทั้ง ๆ ที่ทุกคนยังติดพิษกันอยู่เช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องดี มังกรเหมันต์จะรั้งรอในจุดใดก็ไม่อาจทราบได้ สถานการณ์ทั้งหมดก็ยังคลุมเครือยิ่งนัก ดังนั้นเพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยของทุกคน ถึงจะอยู่รออีกสามชั่วยามก็คงไม่เสียหาย หากพ้นสามชั่วยามไปแล้วพิษในร่างกายจะสลายไปจริงหรือไม่ เวลานั้นก็ค่อยว่ากันอีกครา
ทุกคนหลับตาลงและเริ่มไหลเวียนพลังเพื่อขจัดพิษต่อ เพราะกายเทพมายาทำให้ฉินอวี้โม่ไม่ได้รับผลพวงจากพิษ คุณหนูสี่ตระกูลฉินจึงใช้เวลาในช่วงที่ตนว่างอยู่นี้เดินออกไปสำรวจพื้นที่บริเวณอื่นในหอคอย
‘นายหญิง ข้ารู้สึกได้ถึงพลังกระแสหนึ่งจากใจกลางหอคอยแห่งนี้’
ทันใดนั้นเสียงของมารยาก็ดังขึ้นมาในห้วงจิตของฉินอวี้โม่
คุณหนูตระกูลฉินทำตามคำแนะนำของมารยา อสูรสาวชี้นำเจ้านายของมันให้เดินมาถึงยังจุดที่เป็นบริเวณกึ่งกลางของหอคอยหลัก
ณ จุดที่อยู่ใจกลางหอคอยแห่งนี้มีลักษณะเป็นห้องทรงกลมที่ไม่กว้างมากนัก หากลองจินตนาการจากเส้นทางที่นางใช้เดินทางมา ห้องที่เป็นใจกลางของหอคอยที่นางกำลังยืนอยู่นี้ก็น่าจะอยู่ในส่วนล่างสุดของปราสาท
ห้องทรงกลมแห่งนี้โล่งมากจนน่าประหลาด เมื่อลองมองสำรวจจนทั่วพื้นที่ด้วยตาเปล่า ฉินอวี้โม่ก็พบเพียงผนังน้ำแข็งใสแวววาวที่หนามากเสียจนมองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ด้านนอก ทว่านอกเหนือจากนี้แล้วก็ไม่มีอย่างอื่นให้เห็นอีก
อย่างไรก็ตามในเมื่อมารยากล่าวเช่นนั้น ฉินอวี้โม่ก็เชื่อว่าจะต้องมีสิ่งไม่ธรรมดาซ่อนอยู่
‘นายหญิง ข้าสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังตรงจุดนั้น’
คุณหนูสี่ตระกูลฉินเดินไปยังจุดที่มารยาบอก
เมื่อยืนอยู่ยังจุดนั้นแล้ว สตรีโฉมงามก็หลับตาลงพร้อมกับส่งพลังวิญญาณออกไปสัมผัสกับสิ่งที่อยู่รอบกาย และก็เป็นไปตามคาด เหนือจุดที่นางยืนอยู่เล็กน้อยมีความผันผวนของพลังอันเข้มเข้นและรุนแรงปรากฏอยู่
ทว่าในทันใดนั้นเอง มือบางที่เคยว่างเปล่าของนางก็มีบางสิ่งปรากฏขึ้น ของสิ่งนั้นเสมือนร่วงลงมาจากด้านบน
เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง คุณหนูผู้งดงามก็ต้องประหลาดใจ
ในมือข้างหนึ่ง มีลูกปัดน้ำแข็งขนาดใหญ่กว่านิ้วหัวแม่มือเล็กน้อย ลูกปัดประหลาดเม็ดนี้ปลดปล่อยพลังธาตุน้ำแข็งออกมาอย่างต่อเนื่องราวกับว่าภายในมีพลังอันมหาศาลถูกบีบอัดเอาไว้ และพลังนั้นก็อัดแน่นเสียจนล้นทะลักออกมาด้านนอก
‘เหตุใดมันถึงได้ดูคุ้นตาข้านัก ?’
ทันทีที่ได้เห็นลูกปัดน้ำแข็งในมือของผู้เป็นนาย มารยาก็รู้สึกได้ถึงความคุ้นเคยอันแปลกประหลาด ทว่าแม้จะนึกอย่างไรในความทรงจำหลายพันปีของอสูรสาวก็ไม่มีเจ้าสิ่งนี้อยู่ อสูรผู้ใช้อาคมลวงตาบอกได้แต่เพียงว่าพลังธาตุน้ำแข็งที่พรั่งพรูออกมาอย่างต่อเนื่องนี้ เป็นสิ่งที่มันคุ้นเคยเหลือเกิน
ขณะที่ฉินอวี้โม่ กำลังจะใช้พลังวิญญาณตรวจสอบลูกปัดน้ำแข็งในมือก็มีเสียงร้องที่ฟังดูประหลาดใจอย่างเหลือล้นของใครบางคนดังมาจากห้องที่เหล่าสหายของนางพักอยู่
คุณหนูสี่ตระกูลฉินนำลูกปัดประหลาดใส่เข้าไปในแหวนมิติ ไม่ทราบเช่นกันว่าเป็นเพราะเหตุใด แต่ฉินอวี้โม่มีลางสังหรณ์ว่าลูกปัดน้ำแข็งเม็ดนี้ต้องมีความลับบางอย่างแอบแฝง อดีตนักฆ่าสาวจึงตัดสินใจซ่อนมันไว้ไม่ให้ผู้ใดได้เห็น
อึดใจต่อมา ร่างของฉินอวี้โม่ก็ปรากฏตัวยังจุดที่มีเสียงแห่งความประหลาดใจดังขึ้น ขณะนี้ในมือเพ่ยหลงมีแผ่นป้ายไม่ทราบที่มาจำนวนมาก นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีบางอย่างที่มีลักษณะคล้ายก้อนน้ำแข็งแวววาวขนาดใกล้เคียงกับผลผิงกั่วปรากฏอยู่ด้วย
“นักเรียนที่รักทุกคน ขณะนี้กลุ่มเพ่ยหลงได้ครอบครองผลเยือกมณีแล้ว กลุ่มของเพ่ยหลงจะขึ้นไปอยู่ในอันดับหนึ่งเป็นการชั่วคราว หากไม่มีกลุ่มใดชิงผลเยือกมณีจากพวกเขาได้ก่อนการแข่งขันจะสิ้นสุด กลุ่มเพ่ยหลงจะได้รับรางวัลชนะเลิศ”
เสียงประกาศของทางโรงเรียนดังขึ้น เวลานี้ไม่ใช่แต่เพียงฉินอวี้โม่และเพ่ยหลง หากแต่สหายคนอื่น ๆ ต่างก็ลืมตาขึ้นทั้งหมด ทุกคนจับจ้องไปยังสิ่งที่อยู่ในมือจอมยุทธ์สาวผู้ครองอันดับที่ห้าของทำเนียบนภา ทุกสายตาเบิกกว้างอย่างตกตะลึง !
.